La La Land - ฉันชอบเพลงแจ๊สแล้ว...เพราะคุณไง (Spoil)

ครั้งแรกที่ได้ทราบข่าวหนังเรื่องใหม่ของ Damien Chazelle เราไม่ได้ตื่นเต้นซักเท่าไหร่ เพราะเราเฉยๆมากกับผลงานชิ้นก่อนหน้าของเค้าอย่าง Whiplash

แต่เมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้จบ เรากลับชอบหนังเรื่องนี้มากๆ หนังดำเนินเรื่องสนุกมาก บทเพลงไพเราะและความหมายดีทุกเพลง งานภาพทำได้ยอดเยี่ยมท้ังมุมกล้องและแสงสี รวมไปถึงองค์ประกอบศิลป์ ส่วนด้านการแสดงทำได้ยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ ที่สำคัญหนังยังมีการสื่อสารประเด็นหลักได้อย่างมั่นคงมากๆ และตอนจบของหนังที่โคตรประทับใจและตราตรึงสุดๆ

La La Land ผลงานลำดับที่ 3 ของ Damien Chazelle ผู้กำกับวัยเพียง 31 ปี เรารู้สึกว่าเค้าก้าวไปไกลกว่าเดิมมากๆ การจะทำหนังเพลง ไม่ใช่เรื่องง่าย เรารู้สึกว่ามันมีหลายองค์ประกอบ จังหวะการเล่าเรื่อง ก็จะไม่เหมือนหนังทั่วไป ซึ่งเรารู้สึกว่าเค้าบาลานซ์ทุกอย่างได้ลงตัวมากๆ เรายอมรับเลยว่า Damien ร้ายกาจและเด็ดขาดจริงๆ

ดนตรีแจ๊สที่คนฟังเริ่มน้อยลงไปเรื่อยๆ ภาพยนตร์มิวสิคัลก็แทบจะไม่มีใครทำแล้ว ความทะเยอทะยานของ Damien คือพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นคุณค่าของบางสิ่งที่เราอาจมองข้ามหรืออาจลืมมันไปแล้ว

"นี่แหละแอลเอ เทิดทูนทุกอย่าง แต่ไม่รู้คุณค่าอะไรซักอย่าง"

เพลงประกอบและดนตรีประกอบยอดเยี่ยมสมกับที่เป็นหนังเพลงจริง เราชอบดนตรีสไตล์นี้มากๆ เพลงที่เราชอบในหนังคือเพลง City of Stars เราชอบเมโลดี้และเนื้อร้องเพลงนี้มาก รวมไปถึง "เพลงพิเศษ" ของเค้าทั้งสอง มันไพเราะและเต็มไปด้วยความรู้สึกสุดๆ

พาร์ทการแสดง เป็นสิ่งที่เราสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากทั้ง Ryan Gosling และ Emma Stone ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมากทั้งคู่ และเมื่อดูจบ ก็บอกได้เลยว่า คำชมที่ทั้งคู่ได้รับนั้น มันไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด เราไม่ค่อยมีโอกาสได้ชมผลงานการแสดงของ Ryan ซักเท่าไหร่ และเค้าก็ไม่ใช่นักแสดงที่เราชื่นชอบ แต่เราชอบผลงานของ Ryan ในเรื่องนี้นะ เค้าทำได้ดีมาก เรารู้สึกว่าบท Sebastian เป็นบทที่เล่นยากนะ ตัวละครมีช่วงเปลี่ยนแปลงอารมณ์และความคิดอยู่หลายช่วง ซึ่งเราคิดว่าเค้าสื่อสารได้ดี หากเล่นไม่สมูท มันจะทำให้หนังโดดไปโดดมาทันที และจะทำให้เราไม่เชื่อ เราชอบซีนที่เค้าคุยกับ Mia บนโต๊ะอาหารและเถียงกันเรื่องที่เค้าทิ้งความฝัน แล้วไปออกทัวร์กับวงของเค้า และสุดยอดซีนคือซีนจบ หลังเล่นเปียโนจบ สายตาที่ส่งมาให้ Mia รอยยิ้มที่ส่งมา และการพยักหน้าให้ Mia มันสุดยอดมากๆ

เราเคยเขียนถึง Emma Stone ตอนเราดูเรื่อง Irrational Man จบ เราเคยเขียนไว้ว่า "แต่ที่น่าประทับใจไม่แพ้กันคือการแสดงของ Emma Stone ผมรู้สึกว่าเธอพัฒนาการแสดงของเธอขึ้นเรื่อยๆ และดูแนวโน้มหากเธอยังได้รับบทและหนังที่ดีแบบนี้ไปเรื่อยๆ โอกาสที่เธอจะได้รางวัลในเวทีใหญ่ๆ ก็ไม่น่าจะไกลเกินเอื้อม"

มาถึงวันนี้ จากผลงานการแสดงของเธอในเรื่อง La La Land เราคิดว่าเธอมีโอกาสถึงขั้นจะได้รางวัล Best Actress ในเวที Oscar หรือ Golden Globe ได้เลยนะ เธอเล่นเรื่องนี้ได้มีเสน่ห์ถึงขีดสุดจริงๆ ทั้งการแสดง การร้องเพลง รวมไปถึงการเต้น ซึ่งฉากที่เล่นแบบมิวสิคัลแล้วตัดเข้าการแสดงแบบปกติ เธอเล่นได้เนียนมาก

มีซีนที่เราชอบการแสดงของเธอเยอะมาก ทั้งฉากที่ทะเลาะกับ Sebastian บนโต๊ะอาหาร ทั้งบทพูด สายตา การตัดพ้อของเธอทำได้เข้าถึงอารมณ์สุดๆ เราแทบน้ำตาซึมไปพร้อมๆเธอเลย ซีนที่เธอไปแคสงานครั้งสุดท้าย ก็สุดยอดมากเช่นกัน เรารับรู้ความรู้สึกลึกๆของเธอ รู้สึกถึงความฝัน ความมุ่งมั่น ความหวัง และความปวดร้าวของเธอในเวลาเดียวกัน

และซีนที่ผมชอบที่สุด คือซีนตอนจบ ที่เธอเดินเข้ามาในร้าน และเห็นชื่อร้าน Seb's ที่เธอเป็นคนคิดชื่อนี้ สายตาเธอสุดยอดมากซีนช่วงนี้ สายตาที่เธอนั่งมองไปที่ Sebastian ตอนที่เล่นเปียโน เต็มไปด้วยหลายความรู้สึก ในตอนท้ายที่เธอกำลังจะเดินออกจากประตูไป เธอหันมามอง Sebastian เค้าก็หันมามองเธอ พยักหน้าให้แล้วยิ้ม เธอยิ้มตอบ คือสุดยอดซีนที่เราจะไม่มีวันลืมเลย

La La Land เล่าเรื่องของ Mia หญิงสาวที่มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดง เธอมุ่งมั่นพยายามไปแคสงานแสดงอยู่ตลอด และ Sebastian ชายหนุ่มนักเปียโนผู้หลงใหลในดนตรีแจ๊สแบบสุดขั้ว พร้อมความมุ่งมั่นที่อยากจะเปิดไนท์คลับแจ๊สเป็นของตัวเอง เพื่อให้ดนตรีแจ๊สที่แท้จริงยังคงอยู่ต่อไป

Sebastian เค้าคลั่งไคล้ดนตรีแจ๊สมากๆ สิ่งที่เค้าเห็นตอนนี้คือ เพลงแจ๊สเริ่มมีคนฟังน้อยลงเรื่อยๆแล้ว บาร์แจ๊สก็ถูกปรับเปลี่ยนเป็นแนวอื่นๆไปเกือบหมดแล้ว ยิ่งคนฟังน้อยลง การจะใช้ดนตรีแจ๊สเพื่อหาเลี้ยงชีพ ก็ยากขึ้นเรื่อยๆ Sebastian เลยฝืนตัวเองไปเล่นดนตรีในร้านอาหาร ซึ่งถูกสั่งให้เล่นในแนวทั่วไปที่เค้าไม่ได้ชื่นชอบ สุดท้ายเค้าก็ฝืนตัวเองไม่ได้ เค้าขัดคำสั่งร้าน บรรเลงเพลงแจ๊สจนต้องถูกไล่ออกในที่สุด แต่ในคืนนั้นเอง...

Mia ซึ่งเป็นคนที่ไม่ได้ชื่นชอบเพลงแจ๊ส แต่เสียงเปียโนเพลงแจ๊สที่ดังออกมาจากร้านอาหารที่ Sebastian เล่นอยู่ในคืนนั้น คงมีเสน่ห์บางอย่างที่สามารถดึงดูดให้เธอเดินเข้าไปหยุดฟังได้ มันคงเป็นอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่มันถูกส่งผ่านมาทางตัวโน๊ตเหล่านั้น เราเชื่อว่าดนตรีที่ Sebastian เล่นมีพลังงานบางอย่างที่ส่งออกมาด้วย ซึ่งมันไปดึงดูดคนที่มีพลังงานแบบเดียวกันเข้ามา ซึ่งนั่นก็คือ Mia และเพลงที่ Sebastian เล่นในคืนนั้น ก็กลายเป็น "เพลงพิเศษ" ของเค้าทั้งคู่ ที่จะไม่มีวันลืมตลอดไป

แม้ในคืนนั้นทั้งคู่จะไม่ได้พูดคุยกัน แต่แล้วอะไรบางอย่างก็ดึงดูดทั้งคู่ให้กลับมาเจอกันอีกครั้งจนได้
"แปลกดีนะ เราบังเอิญเจอกันตลอดเลย"
"มันอาจมีความหมายบางอย่าง"

ทั้งคู่จึงได้เริ่มทำความรู้จักกันและเริ่มพูดคุยเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ซึ่งทั้งคู่ต่างตื่นเต้น เมื่อได้ฟังความฝันของแต่ละฝ่าย และยังแสดงแววตาที่เชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายจะทำได้สำเร็จอีกด้วย และแม้ว่า Mia จะมีแฟนอยู่แล้ว แต่เรื่องราวที่แฟนของเธอพูดคุยกันกับน้องชายของเค้าบนโต๊ะอาหาร มันไม่ใช่สิ่งที่เธอชอบเลย เธอรู้สึกอึดอัดและไม่เป็นตัวเองสุดๆ และเมื่อเมโลดี้ "เพลงพิเศษ" นั้นดังขึ้น ก็ทำให้เธอแน่ใจเลยว่า คนที่เธอควรจะไปหาในคืนนั้นคือใคร เธอรีบออกจากร้านอาหารและมุ่งหน้าไปโรงหนังรีอัลโตทันที

จากนั้นทั้งสองเริ่มคบกันอย่างจริงจัง Mia มีความสามารถพิเศษที่แตกต่างจากนักแสดงคนอื่นๆ คือเธอสามารถเขียนบทได้เองด้วย Sebastian จึงส่งเสริมให้เธอ เขียนบทละครเองและเล่นเอง ในเมื่อไม่มีใครมองเห็นความสามารถในการแสดงเธอ ก็ไม่จำเป็นต้องไปเล่นบทที่คนอื่นสร้างขึ้นมา

แต่ Sebastian กลับทำสิ่งตรงกันข้ามกับ Mia แทนที่จะตั้งใจทำงานเก็บเงินเพื่อเปิดไนท์คลับแจ๊สอย่างที่ตั้งใจ เค้ากลับยังหางานทำที่มั่นคงไม่ได้ และเมื่อได้ยินสิ่งที่ Mia คุยโทรศัพท์กับแม่ของเธอ เค้าก็รู้สึกกดดันมาก จนยอมเข้าไปร่วมวงดนตรีกับคีธ ซึ่งแน่นอนว่า เค้าไม่ได้เล่นเพลงแจ๊สอย่างที่เค้าชอบแต่อย่างใด

แต่เราเข้าใจเค้านะ เมื่อชีวิตเรามาถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างเดินตามความฝันอย่างซื่อสัตย์มั่นคง หรือยอมรับกับโลกแห่งความเป็นจริง แล้วปรับตัวให้เข้ากับโลกจริงให้ได้ เราว่าชีวิตจริงมันเจ็บปวดมากนะ และมีน้อยคนมากจริงๆที่จะสามารถยืนหยัดบนเส้นทางของตัวเองได้ตลอดทาง

มันไม่เคยมีสูตรสำเร็จและคำตอบที่ตายตัว มันเคยมีมาแล้วทั้งคนที่ฝืนเดินตามความฝัน  แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า และก็เคยมีมาแล้ว คนที่กัดฟันอดทดอย่างยาวนาน และสุดท้ายก็ได้ตามสิ่งที่เค้าวาดไว้

วันที่ Mia ไปดูวงของ Sebastian เล่นสดกับวง เค้าแปลกใจมากที่เห็น Sebastian มาเล่นดนตรีแนวแบบนี้ ซึ่งเค้าเชื่อว่ามันไม่ใช่แนวที่ Sebastian ชอบแน่ๆ ตอนช่วงท้ายเพลง ผู้ชมที่กำลังสนุกกับดนตรีก็เบียดเสียดแย่งกันเข้ามาอยู่หน้าเวที Mia โดนดันออกห่างจากเวทีไปเรื่อยๆ ราวกับว่าเส้นทางชีวิตของ Mia ก็ถูกดันให้ออกห่างจากเส้นทางชีวิตของ Sebastian ไปเรื่อยๆเช่นกัน

ซีนที่ทรงพลังมากๆ คือ ซีนที่ Mia พูดคุยกับ Sebastian บนโต๊ะอาหาร เธอถามถึงความฝันและตัวตนของ Sebastian เธอสงสัยว่า เค้าชอบเพลงที่เค้าเล่นอยู่ไหม เธออยากรู้ว่า ความฝันที่จะเปิดไนท์คลับแจ๊สของตัวเอง มันเลือนหายไปรึยัง เราชอบสิ่งที่ Mia พูดกับ Sebastian มากๆ ซึ่งเราเชื่อว่า สิ่งที่ Mia ตั้งคำถาม มันถูกแทงลึกไปถึงขั้วหัวใจของ Sebastian แน่นอน บางครั้งบางที เราอาจเดินหลงเส้นทางไปบ้าง แต่เราเชื่อว่า จะมีใครคนหนึ่งจะเป็นนำพาให้เรากลับมาสู่เส้นทางของเราเสมอ

เราชอบประโยคที่ Mia ตอบกลับตอนที่ Sebastian บอกว่า เพลงแจ๊สมันไม่มีคนฟังแล้วสมัยนี้ แม้แต่ Mia เองก็ไม่ได้ชอบเพลงแจ๊ส
"ฉันชอบเพลงแจ๊สแล้ว...เพราะคุณไง"

ซีนที่ดูเผินๆอาจจะตลก แต่มันเป็นซีนที่โคตรปวดร้าวสำหรับเรา คือซีนที่มีช่างภาพมาถ่ายรูปวงดนตรี แล้วช่างภาพพยายามบอกให้ Sebastian ทำท่าทางแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ตัวตนของ Sebastian เลย เราโคตรอึดอัดและเจ็บปวดไปพร้อมเค้าเลย สุดท้ายพอช่างภาพบอกให้เล่นคีย์บอร์ดไปด้วย เค้าก็ตัดสินใจเลือกเล่น "เพลงพิเศษ" เพลงนั้น ซึ่งมันคงทำให้เค้ายังไม่ลืม สิ่งที่มันเรียกว่า "ความฝัน" นั่นเอง

ถึงวันสำคัญของ Mia คือวันที่เธอต้องแสดงละครเดี่ยวที่เธอเป็นคนเขียนบทเอง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ประสบความสำเร็จ มีคนดูทั้งโรงแค่ประมาณ 10 คน รวมไปถึงคำวิจารณ์ในทางลบของคนดูที่เธอแอบได้ยินในหลังเวที เธอรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง จนท้อและถอดใจ ยอมพับความฝันใส่กระเป๋าและหนีกลับไปพักใจที่บ้านของเธอ

แต่สิ่งที่ยังยืนยันกับเราได้ดีเสมอมา คือเมื่อตัวเราชอบสิ่งที่เราทำแล้ว อย่างน้อยๆมันก็จะมีอีกซักคนแหละที่จะชื่นชอบสิ่งนั้นเหมือนกัน เพราะในคืนนั้นเอง มีคนที่ทำงานในวงการ มาดูละครของ Mia และประทับใจในการแสดงของ Mia มากๆ จนพยายามติดต่อให้เธอไปแคสงาน แต่ติดต่อไม่ได้ซักที จนสุดท้าย ก็สามารถติดต่อได้ผ่านมาทาง Sebastian แต่พอเค้าไปบอกเธอ เธอกลับไม่อยากได้โอกาสนั้นแล้ว เธอไม่เชื่ออีกแล้วว่าความฝันของเธอมันจะสามารถเป็นจริงได้ เธอล้มมานับครั้งไม่ถ้วน เธอไม่อยากเจ็บปวดแบบนั้นซ้ำๆอีกแล้ว

"ทำไมคุณถึงไม่อยากทำแล้ว" Sebastian ถาม
"เพราะมันเจ็บปวดเกินไป" Mia ตอบ

สุดท้ายแล้ว คนที่พูดให้ Mia ยอมฮึดสู้อีกครั้งก็คือ Sebastian เพราะ Sebastian เป็นคนที่เชื่อมาเสมอว่า Mia จะสามารถทำมันให้สำเร็จได้ เพราะตัวเค้าเองที่เริ่มกลับมาเดินตามความฝันอย่างเชื่อมั่นอยู่ ก็เพราะคำพูดของ Mia เองนั่นแหละที่พูดกับเค้าบนโต๊ะอาหารคืนนั้น ตอนนี้เค้ากำลังส่งคืนพลังนั้นกลับไปให้ Mia บ้าง

"คุณจะได้ไปปารีส ที่นั่นมีเพลงแจ๊สดีๆให้ฟัง ...คุณชอบเพลงแจ๊สแล้วนี่"

"ชั้นรักคุณเสมอนะ"
"ผมก็รักคุณเสมอเช่นกัน"

เราเชื่อว่าการเดินตามความฝันมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ซึ่งเราก็เห็นมาแล้วทั้ง Mia และ Sebastian ที่เกือบจะพับความฝันเก็บใส่กล่องความทรงจำเก็บไปแล้ว แต่เราเชื่อในพลังจากใครบางคน เราเชื่อว่าการจะเดินตามความฝันได้สำเร็จนั้น สิ่งสำคัญที่พาเราไปถึงตรงนั้นได้ คือ "ใครคนหนึ่ง"
คนที่ยื่นมือฉุดเราขึ้นมา...ในวันที่เราล้มลง
คนที่กล้าต่อว่าเรา...ในวันที่เรากำลังงอแงที่จะไม่ก้าวเดินต่อ
คนที่นั่งเงียบๆเคียงข้างและโอบไหล่เรา...ในวันที่เราร้องไห้
คนที่ยิ้มตามหลังเรา...ในวันที่เราก้าวเดินไปข้างหน้า
และคนที่เชื่อ...เชื่ออยู่เสมอว่าเราต้องทำได้
แม้สุดท้ายปลายทางฝันนั้น จะมีใครคนนั้นอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม

ในวันที่เราประสบความสำเร็จตามที่ฝันไว้แล้ว แม้ว่าจะไม่มีเค้าคนนั้นอยู่ข้างๆแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เราย้อนไปนึกถึง จะยังมีเค้าอยู่ตรงนั้นเสมอ และเมื่อวันหนึ่งหากได้มีโอกาสกลับมาเจอเค้าคนนั้นอีกครั้ง เราก็คงจะส่งสายตาและรอยยิ้มที่สื่อสารความหมายและความรู้สึกบางอย่างไปให้เค้าคนนั้น ซึ่งจะเป็นสายตาและรอยยิ้มที่มีแค่เราสองคนเท่านั้นที่รับรู้ความหมายนี้ได้

"ความฝัน กับ ความรัก มันสามารถเดินทางเคียงคู่ไปด้วยกันได้ไหม"

เราคิดว่าสายตาและรอยยิ้มที่ Mia กับ Sebastian ส่งให้กันในซีนสุดท้าย มันน่าจะตอบคำถามนี้ได้ดี เพราะเรารู้สึกได้ว่า มันไม่เคยจางหายไปเลย...จริงๆ

"ฉันชอบเพลงแจ๊สแล้ว...เพราะคุณไง"

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่