Creative Review : La La Land ดินแดนฝัน เพียงฉันและเธอ
คะแนน 49/50 !!!!!!!!!
มาอ่านกันว่าทำไมถึงโกยคะแนนมากมายขนาดนั้น
La La Land เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต เต็มไปด้วยความรู้สึก และความประทับใจ ดูแล้วทุกอย่างยังวนเวียนอยู่ในหัว ไม่อยากให้หายจากไปไหน เป็นหนังประเภทที่ว่าถ้ามีโอกาสอีกเมื่อไร ดูอีกรอบแน่ๆ
La La Land ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกออกมาผ่านงานภาพที่เคลื่อนไหว และแสงที่มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาดุจละครเวที ให้งานภาพที่มีสีสัน งดงาม ดุจโลกในความฝัน ที่พร้อมจะถ่ายทอดอารมณ์ทุกอารมณ์ในเรื่องไปอย่างสวยงาม หลายฉากหลายตอนในหนัง เป็นภาพจดจำที่แค่กลับมาเห็นก็ประทับใจในทันที เรียกว่าติดตรึงใจไปอีกแสนนาน
เพลงประกอบของ La La Land เรียกได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่แข็งแรงที่สุดของหนังเรื่องนี้เลย การร้อยเรียงเพลงที่ไพเราะงดงาม มาเสริมเติมแต่งด้วยภาพและเรื่องที่พาอารมณ์สอดประสานไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด ดนตรีทั้งหมดซึมลึกลงในใจให้เราหลงรักดนตรี Jazz กับบรรยากาศสุดเหงาแต่อบอุ่นของเพลง ที่แม้หนังจะจบแล้ว แต่เพลงนี้ยังดังก้องติดอยู่ในใจเราไปอีกนานแสนนาน
แม้ La La Land จะไม่ได้มีบทที่ซับซ้อนในแง่ของเรื่องราว แต่บทมีความลึกในแง่ของจิตวิญญาณ ความรู้สึกของคน (โดยเฉพาะเหล่าศิลปิน) ที่มีความฝัน มีไฟ วิ่งตามแสงดวงดาว ทำในสิ่งที่ตนเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ตนรัก ซ้ำบทยังเอาความฝันนี้มาปะทะกับความจริงที่ไม่หอมหวาน สร้าง Conflict ที่เป็นจุดร่วมที่คนที่โตแล้วแทบทุกคนต้องเคยเผชิญ แล้วบททั้งหมดหมุนอยู่รอบความสัมพันธ์ของพระเอกและนางเอก (Sebastian & Mia) ที่พาความรู้สึกคนดูขึ้นลง ตกอยู่ในมนต์เสน่ห์ของ La La Land ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ตัวละครถูกพัฒนาตลอดเรื่องอย่างมีมิติ และเมื่อได้การแสดงพร้อมรูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์ของทั้ง Ryan Gosling และ Emma Stone มาเสริมแล้ว ทำให้ตัวละครหลักทั้งสองมีชีวิตชีวา ทำให้คนดูตกหลุมรักในเสน่ห์ของตัวละคร และพาไปเรียนรู้เห็นมิติต่างๆของทั้ง Sebastian และ Mia ที่แม้จะมากด้วยเสน่ห์แต่ก็ห่างไกลจากคำว่าเพอร์เฟค
โดย Sebastian เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นสูง จนหลายๆทีเหมือนคนเพ้อฝัน และต้องเจอข้อจำกัดของตัวเองจากความเป็นจริงในชีวิตที่เข้ามาทำร้าย Contrast กับ Mia ที่พยายามไล่ตามความฝัน แต่ลึกๆยังขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ทำให้ยังติดในโลกความเป็นจริง ขาดความเชื่อลึกๆ จึงทำให้ไปยังไม่ถึงฝันสักที
สองตัวละครหลักนี้เติมเต็มกัน และเคมีของ Ryan และ Emma ก็เป็นอะไรที่หาได้ยากในหนังยุคนี้ เป็นเคมีที่จะทำให้เราอินไปกับหนัง ลุ้นอยากให้ตัวละครทั้งสองสมหวัง เพราะเรารู้สึกว่าทั้งคู่ควรจะคู่กันจริงๆ
องค์ประกอบดีงามทั้งหมดที่ว่ามานี้ ถูกร้อยเรียงและกำกับออกมาเป็นหนังที่พิเศษที่สุดเรื่องหนึ่ง เป็นหนังชนิดที่ว่าแทบจะไม่มีใครทำกันแล้ว แถมยังทำได้ดีมากไม่แพ้สมัยก่อน และดีกว่าในหลายๆองค์ประกอบด้วยซ้ำ ตัวหนังพูดถึง ความฝัน ความรัก และการเติบโตของชีวิต ผ่านรูปแบบหนังปน Musical ได้อย่างงดงาม ต้องขอบคุณผู้กำกับ Damien Chazelle ที่สร้างผลงานสุดประทับใจนี้ ให้คนรุ่นหลังได้เสพย์หนังเพลงดีๆ ที่แทบจะไม่มีในตลาดวันนี้แล้ว ยิ่งฉากจบที่ทำได้ตื้นตันและจะประทับใจเราไปอีกนานแสนนาน ทำให้หนังเรื่องนี้ขึ้นหิ้ง Classic ได้เลย
สรุปสั้นๆว่า เป็นหนังที่ไพเราะ งดงาม ประทับใจ อยู่ในความทรงจำ
ให้รางวัลตัวเองที่เกิดมา มีตา มีหู มีสมอง มีจิตใจ และ มีความฝัน ด้วยการไปดูหนังเรื่องนี้ครับ
.
.
.
.
.
.
ใครชอบ Review ที่ลงไว้ ฝากติดตามเพจ
FB : Creative Review : สิ่งดีๆ ที่อยู่ในหนัง
https://www.facebook.com/Movie.Creative.Review
[CR] CREATIVE REVIEW : LA LA LAND ดินแดนฝัน เพียงฉันและเธอ
คะแนน 49/50 !!!!!!!!!
มาอ่านกันว่าทำไมถึงโกยคะแนนมากมายขนาดนั้น
La La Land เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิต เต็มไปด้วยความรู้สึก และความประทับใจ ดูแล้วทุกอย่างยังวนเวียนอยู่ในหัว ไม่อยากให้หายจากไปไหน เป็นหนังประเภทที่ว่าถ้ามีโอกาสอีกเมื่อไร ดูอีกรอบแน่ๆ
La La Land ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกออกมาผ่านงานภาพที่เคลื่อนไหว และแสงที่มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาดุจละครเวที ให้งานภาพที่มีสีสัน งดงาม ดุจโลกในความฝัน ที่พร้อมจะถ่ายทอดอารมณ์ทุกอารมณ์ในเรื่องไปอย่างสวยงาม หลายฉากหลายตอนในหนัง เป็นภาพจดจำที่แค่กลับมาเห็นก็ประทับใจในทันที เรียกว่าติดตรึงใจไปอีกแสนนาน
เพลงประกอบของ La La Land เรียกได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่แข็งแรงที่สุดของหนังเรื่องนี้เลย การร้อยเรียงเพลงที่ไพเราะงดงาม มาเสริมเติมแต่งด้วยภาพและเรื่องที่พาอารมณ์สอดประสานไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด ดนตรีทั้งหมดซึมลึกลงในใจให้เราหลงรักดนตรี Jazz กับบรรยากาศสุดเหงาแต่อบอุ่นของเพลง ที่แม้หนังจะจบแล้ว แต่เพลงนี้ยังดังก้องติดอยู่ในใจเราไปอีกนานแสนนาน
แม้ La La Land จะไม่ได้มีบทที่ซับซ้อนในแง่ของเรื่องราว แต่บทมีความลึกในแง่ของจิตวิญญาณ ความรู้สึกของคน (โดยเฉพาะเหล่าศิลปิน) ที่มีความฝัน มีไฟ วิ่งตามแสงดวงดาว ทำในสิ่งที่ตนเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ตนรัก ซ้ำบทยังเอาความฝันนี้มาปะทะกับความจริงที่ไม่หอมหวาน สร้าง Conflict ที่เป็นจุดร่วมที่คนที่โตแล้วแทบทุกคนต้องเคยเผชิญ แล้วบททั้งหมดหมุนอยู่รอบความสัมพันธ์ของพระเอกและนางเอก (Sebastian & Mia) ที่พาความรู้สึกคนดูขึ้นลง ตกอยู่ในมนต์เสน่ห์ของ La La Land ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ตัวละครถูกพัฒนาตลอดเรื่องอย่างมีมิติ และเมื่อได้การแสดงพร้อมรูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์ของทั้ง Ryan Gosling และ Emma Stone มาเสริมแล้ว ทำให้ตัวละครหลักทั้งสองมีชีวิตชีวา ทำให้คนดูตกหลุมรักในเสน่ห์ของตัวละคร และพาไปเรียนรู้เห็นมิติต่างๆของทั้ง Sebastian และ Mia ที่แม้จะมากด้วยเสน่ห์แต่ก็ห่างไกลจากคำว่าเพอร์เฟค
โดย Sebastian เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นสูง จนหลายๆทีเหมือนคนเพ้อฝัน และต้องเจอข้อจำกัดของตัวเองจากความเป็นจริงในชีวิตที่เข้ามาทำร้าย Contrast กับ Mia ที่พยายามไล่ตามความฝัน แต่ลึกๆยังขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ทำให้ยังติดในโลกความเป็นจริง ขาดความเชื่อลึกๆ จึงทำให้ไปยังไม่ถึงฝันสักที
สองตัวละครหลักนี้เติมเต็มกัน และเคมีของ Ryan และ Emma ก็เป็นอะไรที่หาได้ยากในหนังยุคนี้ เป็นเคมีที่จะทำให้เราอินไปกับหนัง ลุ้นอยากให้ตัวละครทั้งสองสมหวัง เพราะเรารู้สึกว่าทั้งคู่ควรจะคู่กันจริงๆ
องค์ประกอบดีงามทั้งหมดที่ว่ามานี้ ถูกร้อยเรียงและกำกับออกมาเป็นหนังที่พิเศษที่สุดเรื่องหนึ่ง เป็นหนังชนิดที่ว่าแทบจะไม่มีใครทำกันแล้ว แถมยังทำได้ดีมากไม่แพ้สมัยก่อน และดีกว่าในหลายๆองค์ประกอบด้วยซ้ำ ตัวหนังพูดถึง ความฝัน ความรัก และการเติบโตของชีวิต ผ่านรูปแบบหนังปน Musical ได้อย่างงดงาม ต้องขอบคุณผู้กำกับ Damien Chazelle ที่สร้างผลงานสุดประทับใจนี้ ให้คนรุ่นหลังได้เสพย์หนังเพลงดีๆ ที่แทบจะไม่มีในตลาดวันนี้แล้ว ยิ่งฉากจบที่ทำได้ตื้นตันและจะประทับใจเราไปอีกนานแสนนาน ทำให้หนังเรื่องนี้ขึ้นหิ้ง Classic ได้เลย
สรุปสั้นๆว่า เป็นหนังที่ไพเราะ งดงาม ประทับใจ อยู่ในความทรงจำ
ให้รางวัลตัวเองที่เกิดมา มีตา มีหู มีสมอง มีจิตใจ และ มีความฝัน ด้วยการไปดูหนังเรื่องนี้ครับ
.
.
.
.
.
.
ใครชอบ Review ที่ลงไว้ ฝากติดตามเพจ
FB : Creative Review : สิ่งดีๆ ที่อยู่ในหนัง
https://www.facebook.com/Movie.Creative.Review