[SR] (Review) La La Land (2016) : ทรงพลัง งดงาม ท่ามกลางมหานครแห่งดวงดาว

La La Land : นครดารา (2016)

“ ละครชีวิตจริงไม่มีใครรู้ว่าเราจะเดินไปทางไหน... ท่ามกลางดวงดาวและความฝัน ”


     La La Land สุดยอดหนังดีท็อบฟอร์มประจำปีนี้ กวาดทุกเสียงจากเทศกาลหนัง รวมถึงเข้าชิงลูกโลกทองคำ และยังเป็นเต็งหนึ่งออสการ์อีกด้วย La La Land ถูกกำกับโดย Damien Chazelle เจ้าของหนังดนตรี Jazz สุดระห่ำอย่าง Whiplash 

     ณ ตอนนี้ แกก็ได้เปลี่ยนแนวมาทำหนัง Musical อย่าง La La Land ซึ่งก็สามารถเรียกได้ว่า 'La La Land' เป็นผลงานระดับขึ้นหิ้งของวงการภาพยนตร์เลย

     La La Land เล่าถึงความรักของ มีอา (Emma Stone) และ เซบาสเตียน (Ryan Gosling) กับความฝันอันยิ่งใหญ่ในมหานครลอสแอนเจลิส มีอา เป็นเด็กขายกาแฟในคาเฟ่แห่งหนึ่งและมีความฝันอยากจะเป็นดารา ส่วนเซบาสเตียน หนุ่มช่างฝันที่เชื่อในวิถีแห่งแจ๊สและอยากจะเป็นเจ้าของคาเฟ่แจ๊สแห่งหนึ่งในมหานครแห่งนี้ ทั้งคู่ได้เดินทางตามฝันแต่ในโลกของความเป็นจริงกลับไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้

La La Land หนังย้อนยุคที่ฉายในปี 2016

     La La Land คือ หนึ่งในหนังที่เยี่ยมที่สุดในปีนี้ นำภาพกลิ่นอายของภาพยนตร์ฮอลลีวูดช่วงราวยุค 50-60 มาคืนชีพในสไตล์ Romantic & Musical สำหรับเนื้อเรื่องของ La La Land ต้องขอบอกว่าไม่มีอะไรมาก เพราะเป็นเนื้อเรื่องที่เราเคยเห็นทั่วๆ ไปกันอยู่แล้ว แต่จุดที่สร้างความโดดเด่นคือ บทหนังที่ทำได้น่าติดตาม พร้อมกับการทำหนังเลียนแบบ Musical ย้อนยุค (แต่ช่วงเวลาในเรื่องจริงๆ คือยุคปัจจุบัน) เรียกได้ว่า Art มากเลยทีเดียว

     นอกจากนี้การกำกับก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำได้เยี่ยม เพราะวิสัยทัศน์ของเรื่อง แนวการดำเนินเรื่องทั้งในส่วนเนื้อเรื่องจริงกับส่วน Musical สามารถผสมผสานได้อย่างลงตัว อารมณ์ บทสนทนา ท่าเต้น จังหวะหนัง จังหวะเพลง องค์ประกอบเหล่านี้กลมกลืนกันอย่างสวยงาม จุดนี้ขอยกเครดิตให้ผู้กำกับที่สามารถคุมองค์ประกอบได้อย่างยอดเยี่ยม

La La Land และความเป็นศิลปะในทุกอณู

     ในส่วนงาน Production การกำกับฉากและแสงสีก็อยู่ในระดับห้าดาว มีการให้แสงสีต่างๆ แตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงอารมณ์ รวมถึงย้อมโทนสีให้คล้ายกับเหมือนเราย้อนกลับไปดูหนังฮอลลีวูดเก่าๆ อีกครั้ง (ถ้าเทียบกับหนังไทยสมัยใหม่ ก็โทนสีคล้ายเรื่อง 'ฟ้าทะลายโจร' แต่ไม่ฉูดฉาดเท่า) นอกจากนี้ ยังมีการใช้ Long Take มาประกอบในหนังอยู่บ่อยครั้ง ทำให้หนังมีมุมกล้องที่แปลกใหม่ เต็มไปด้วยเทคนิคอันแพรวพราวกระจายทั่วทั้งเรื่อง

    ส่วนภายในเรื่องเราจะพบฉากโทนย้อนยุคที่มีองค์ประกอบศิลป์งดงาม เช่น เสื้อผ้า การแต่งตัว การเต้นแบบ Musical (Contemporary Dance & Tap Dance) สไตล์ฮอลลีวูดย้อนยุค ดนตรีแจ๊ส เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ทำได้ประณีตและ Tribute หนังฮอลลีวูดยุคเก่าได้อย่างน่าประทับใจ

ภาพรวมหนัง

' รื่นเริงในตอนแรก และขมขื่นในฉากสุดท้าย '
     ภาพรวมหนังเป็นไปตามคอนเซ็ปต์ของเรื่องคือ เริ่มต้นด้วยการตามล่าฝันของชายหญิงที่มีความกล้าอย่างเต็มเปี่ยม ไปจนถึงฉากสุดท้ายที่ทั้งมีอาและเซบาสเตียนต่างสมหวังในบางอย่างและผิดหวังลึกๆ ในบางอย่าง บทสรุปของหนังเป็นไปตามแนวคิดว่า

     "ท้ายที่สุดแล้ว ใน 'มหานครแห่งฝัน (City of Stars)' แห่งนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ทุกคนต่างต้องเดินหน้าเพื่อเติมเต็มความฝันของตัวเอง ซึ่งในจุดนี้ก็มีบางอย่างที่ต้องสละทิ้งไปเพื่อแลกกับสิ่งที่ดีกว่ามา"

     ดังนั้นทั้งหมดที่ว่ามานี้ต้องขอชื่นชมในความบ้าบิ่นของผู้กำกับ เพราะ La La Land เป็นหนังที่ทำยาก และโอกาสพลาดก็มีสูง (ถ้าแป๊กก็เจ๊งสนิท) แต่ในแง่คุณภาพหนัง La La Land เต็มไปด้วยของตื่นตาตื่นใจที่คนดูไม่เคยพบเห็นและเกินความคาดหมาย ในขณะเดียวกันหนังก็มีข้อเสียในแง่ที่ว่า ไม่เหมาะกับผู้ชมที่ชื่นชอบหนังกระแสหลัก เพราะ La La Land ก็ไม่ใช่หนังดูง่าย ออกไปทางหนังอาร์ตและเฉพาะทางอยู่พอสมควร ทั้งการดำเนินเรื่องก็ไม่ได้เดินเรื่องแบบปกติ ดังนั้นบางคนก็อาจจะอินไปเลย หรือไม่ชอบไปเลย

     ถึงนักวิจารณ์อาจจะยกย่องมากมาย แต่สุดท้ายมันก็อาจจะไม่ใช่สไตล์หนังอย่างที่เราชอบดูกัน...

นักแสดง : คุณภาพนักแสดงในระดับ Oscar ต้องจับตามอง
Emma Stone (Mia) และ Ryan Goshing (Sebastian)

     การแสดงของ Emma Stone น่าจับตามองในระดับเต็ง Oscar เนื่องด้วยบท Mia ไม่ใช่บทที่เล่นได้ง่ายนัก จึงเป็นการโชว์ศักยภาพของ Emma ให้เฉิดฉายอย่างเต็มที่ ช็อตที่ตรึงใจกับการแสดงของเธอมากที่สุด ก็คงไม่พ้นซีนดราม่าในฉาก Audition ครั้งสุดท้าย (The Fools Who Dream) เชื่อว่าใครที่ได้ดูฉากนี้ ก็คงเทคะแนนให้เธออย่างเต็มที่ ด้วยคุณภาพการแสดงของเธอ ที่เราเคยเห็นจากเรื่องอื่นแล้ว (อย่าง Birdman) ทั้งยังทำคะแนนได้ดีในเรื่องนี้ ผสานกับบทหนังที่ดันเธอให้เด่นที่สุดในเรื่อง เชื่อว่าเธอมีคุณสมบัติดีพอที่จะคว้า Oscar ในปีนี้ไปครองได้อย่างแน่นอน

     ส่วน Ryan Goshing (Sebastian) ก็แสดงได้ดี สมบทบาทในมาดหนุ่มติสท์ บื้อ โรแมนติก มาดเข้ม แอ๊คหล่อแต่ก็แอบตลก (ตามคาแรคเตอร์พระเอกฮอลลีวูดสมัยก่อน) เพียงแต่ว่า หนังไม่ได้ดันบทของ Ryan ให้แสดงอารมณ์ที่หลากหลายมากเท่ากับ Emma จึงคิดว่าอย่างมากแกคงได้เข้าชิง

     อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ทั้งสองก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงลูกโลกทองคำไปแล้ว ด้วยคุณภาพของทั้งคู่ที่ได้ทุ่มเทการแสดงอย่างเต็มที่ ทั้งแสดงเต้น ร้อง !

     [ มีอีกอย่างที่ผมไม่รู้ว่าผู้กำกับจงใจหรือเปล่า คือ การเลือก J.K. Simmons มาร่วมแสดงด้วยในบทเจ้าของคาเฟ่ที่เซบาสเตียนทำงานอยู่ ถ้าใครเคยดู Whiplash จะคุ้นเคยในความโหดของแกดีว่า แกโหดแค่ไหนในบทสอนครูดนตรี ทันทีๆ ที่แกโผล่ออกมา ผมก็นึกขำอยู่เหมือนกันในคาแรคเตอร์เตอร์ที่คล้ายกับเรื่องที่แล้ว คือ นิสัยโหดเหมือนเดิม (บางทีแกอาจจะตกงานจาก Whiplash แล้วมาเปิดคาเฟ่ใน La La Land ละมั้ง ) ]

ดนตรีประกอบภาพยนตร์ : งดงาม ทรงพลังในวิถีแห่ง Jazz
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
La La Land Soundtrack - Epilogue (Justin Hurwitz)

     La La Land ได้รับการประพันธ์ดนตรีโดย Justin Hurwitz งานประพันธ์ชิ้นนี้ผมขอยกให้ว่า "โคตรดีระดับ 5 ดาว" ทั้งเพลงและดนตรีประกอบ มีธีมดนตรีที่ติดหูและยังสื่อถึงบรรยกาศหนังได้ดี ทั้งในแง่เศร้า สนุก ขมขื่น โรแมนติก ภาพของดวงดาวและมหานครแห่งความฝัน

     ด้านเพลงประกอบหนัง 'City of the Stars' ก็ยอดเยี่ยม ด้วยทำนองที่โดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงาและที่สำคัญ เป็นบทสรุปของหนังที่หนังต้องการจะบอกเรา
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
“City Of Stars” เพลงประกอบภาพยนตร์ La La Land นครดารา (ซับไทย)
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
La La Land - Someone in the Crowd - Lyrics

สรุป
     “ละครชีวิตจริงไม่มีใครรู้ว่าเราจะเดินไปทางไหน... ท่ามกลางมหานครแห่งความฝัน” ความฝันกับความจริงเป็นสิ่งที่บรรจบกันได้ยาก แต่ถึงอย่างไรมนุษย์ก็เกิดมาเพื่อมีฝัน ไม่อย่างงั้นเราจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ถึงแม้ว่าฝันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม

     สำหรับ La La Land ผมให้ 9.5/10 (งดงาม กลมกล่อม แปลกใหม่และทรงพลัง) มันเป็นหนึ่งในหนัง 5 ดาวที่ดีที่สุดในปีนี้และยังสามาถขึ้นแท่นหนังแนวหน้าของวงการภาพยนตร์ ทั้งแหวกแนวมีความเป็นศิลปะสูง มีสไตล์ของตัวเองที่โดดเด่น (ซึ่งก็ไม่ได้ดูง่ายสักทีเดียว) เราจะได้สัมผัสถึงฉากย้อนยุคคลาสสิค การคารวะหนังเก่าอย่างมีชั้นเชิง เทคนิคอันแพรวพราวของหนัง นักแสดงเต็งออสการ์และดนตรีประกอบที่พร้อมขับกล่อมพาเราเข้าไปในความฝัน ประณีตทุกองค์ประกอบราวกับเนรมิตขึ้นมา

     หากคุณชอบดูหนังแปลกใหม่ / Musical / ย้อนยุค โรแมนติคหรือหนังที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน ความรัก ความโรแมนติก ดวงดาวอันเจิดจ้า การตามล่าเพื่อไขว้คว้าฝันในนครแห่งดารา พร้อมกับดราม่าในระดับสะเทือนใจ La La Land คือ หนังระดับห้าดาวที่คุณห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

“ละครชีวิตจริงไม่มีใครรู้ว่าเราจะเดินไปทางไหน ท่ามกลางดวงดาวและความฝัน”

9.5/10
ปล.ฉากที่ผมประทับใจที่สุดมีอยู่ 2 ฉาก (Spoil)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

คำแนะนำในการดู

     ก่อนดูเรื่องนี้ ผมแนะนำให้ไปวอร์มดูหนังฮอลลีวูดแนว Musical ย้อนยุคมาก่อนก็ดี ไม่งั้นอาจจะปรับอารมณ์ไม่ทัน เพราะ ปกติเราจะชินแต่การดำเนินเรื่องแบบหนังยุคปัจจุบันมากกว่า นอกจากนี้ถ้าเราดูหนังฮอลลีวู้ดย้อนยุคมา เราจะสามารถเก็บรายละเอียดและสนุกในเวลาที่มีการพูดถึงหนังเหล่านี้

    อีกอย่างเพื่ออรรถรสในการดู ถ้าคล่องภาษาอังกฤษด้วยก็จะยิ่งดี เพราะ ในฉากสำคัญหนังสนทนาโต้ตอบเป็นเพลง บางเพลงต้องตีความ บางช่วงไว บางช่วงช้าๆ หากมัวแต่อ่านซับไปด้วย อาจทำให้อินกับอารมณ์หนังและนักแสดงน้อยลง

อัพเดท 7 WINNERS GOLDEN GLOBES

อัพเดท 14 Academy Award Nominations
ชื่อสินค้า:   LA LA LAND
คะแนน:     
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่