La La Land เป็นหนังที่เข้าไปนั่งในใจเราทันทีหลังจากดูจบ
นอกเหนือจากภาพสวยๆ จากบทเพลง หรือเสน่ห์และความสามารถของตัวละคร
ประทับใจที่ตัวหนังพูดถึงทั้งความรัก ความฝัน และความจริงในเวลาเดียวกัน
สอนให้ได้คิดและให้น้ำหนักกับสามสิ่งนี้
ได้ทบทวนว่าอะไรคือ “สิ่งที่สำคัญกว่า” ในการเลือกดำเนินชีวิตของคนแต่ละคน
— — — — — — — —
Mia เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่อย่างหญิงสาวที่มุ่งมั่นทำตามความฝัน
จากวัยเด็กที่ได้ตามญาติไปดูกองถ่ายหนัง เห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ทำให้เธอจึงมีความฝันอยากเป็นนักแสดง
และพยายามทำตามความฝันนั้นมาโดยตลอด
ด้วยการไปแคสต์งาน ไปออดิชันนู่นนี่ต่างๆตามแต่ที่โอกาสจะอำนวย
แต่ก็ใช่ว่าเส้นทางฝันของเธอจะสำเร็จกันได้ง่ายๆ
เมื่อเธอเจอความจริงถึงความหินโหด คู่แข่งที่มากมาย กรรมการที่เข้มงวด
เราจึงได้เห็น Mia แอบท้อใจในบางครั้ง
ว่าบางทีเธอเองอาจจะไม่สวย ไม่ดี หรือไม่เก่งพอ สำหรับความฝันของตัวเอง
และบางทีก็อยากจะเลิกตามหามันไปซะดื้อๆ
และ Mia ก็คงเป็นเหมือนเด็กสาวหลายๆคนเช่นกัน
ที่ระหว่างที่เธอตามหา “ความฝัน” แล้วรู้สึกท้อหรือเหนื่อย
เธอก็อยากเจอใครซักคนที่ทำให้เธอรู้สึกได้ถึง “ความรัก”
คนที่รัก ดูแลอยู่ข้างๆกัน
และคอยสนับสนุน ให้กำลังใจกันในระหว่างที่เธอพยายามทำตามความฝันนั้นด้วย
เมื่อเพื่อนๆชวน Mia ไปงานปาร์ตี้ด้วยกัน
หวังให้เธอเจอใครซักคนที่อาจจะเป็นคนๆนั้นของเธอ
เราเห็นความในใจของ Mia ได้จากเพลงของเธอในวันนั้น..
[…] Watching while the world keeps spinning ‘round
Somewhere there’s a place where I find who I’m gonna be
A somewhere that’s just waiting to be found
Someone in the crowd will be the one you need to know
Someone who can lift you off the ground Someone in the crowd will take you where you want to go.
ในงานปาร์ตี้คืนนั้น
แม้เจอคนรายล้อมมากมาย
แต่เธอยังคงไม่เจอใครที่ทำให้รู้สึกว่าเป็น that someone in the crowd
— — — — — — — — — — —
ระหว่างที่เธอกำลังหาทางกลับบ้านอย่างเซ็งๆ เพราะรถถูกยก
(หนังให้เราเห็นภาพเธอเดิน “หลงทาง” และ “ไร้ทิศทาง”
ทั้งในทางกลับบ้านจริงๆ และกับชีวิตที่กำลังอยู่ในความสับสน)
เสียงเปียโนเพลง jazz ที่แว่วออกมาจากร้านอาหารแห่งนึง
ก็ทำให้เธอได้พบกับ Sabastian
ชายหนุ่มผู้ซึ่งหลายวันต่อมา เธอถึงได้มีโอกาสรู้จักเขามากขึ้น
Sebastian ชายหนุ่มผู้ซึ่งมีความฝัน และรักในสิ่งที่ตัวเองทำ
แต่ก็พบเจอกับความท้อใจครั้งแล้วครั้งเล่า
จนความมุ่งมั่นหดหาย ไม่กล้าทำตามความฝัน
เมื่อเจอกันบ่อยๆ
เริ่มทำความรู้จักตัวตน ศึกษากันและกัน
จากสิ่งที่ไม่ชอบ เริ่มกลายเป็นชอบ
สิ่งที่เป็นชีวิตของอีกคน
ได้รับกำลังใจและการสนับสนุนจากอีกคนให้ไขว่คว้า ให้ตามหา
— — — — — — — — — — — —
แม้ความฝันของเขาจะเคยหนักแน่นแค่ไหน
แต่เมื่อแอบได้ยินคนรักต้องบอกครอบครัวถึงอาชีพและรายได้ของคนที่เธอคุยด้วย
Sebastian เองก็รู้ดีว่า อาชีพนักดนตรี classical jazz อย่างเขานั้นไม่มั่นคงพอ
จึงตัดสินใจทิ้งความฝัน มุ่งมั่นเล่นเพลงตามกระแสที่ทำเงินได้มากกว่า
หวังสร้างเนื้อสร้างตัว
แต่ชีวิตที่เริ่มประสบความสำเร็จในอีกเส้นทางที่ตนไม่ได้วาดฝันไว้
กลับทำให้เขาต้องห่างบ้าน จนไม่ค่อยมีเวลาให้คนรัก
และก่อปัญหาให้กับความสัมพันธ์
ที่เรียกได้ว่าเป็นปัญหาคลาสสิคของคู่รักหลายๆคู่
อย่างการ “ไม่มีเวลาให้กัน”
ที่ทำให้ Mia อดรู้สึกไม่ได้ ว่ามันเป็นเพราะว่าเขา “ไม่มีเวลา” จริงๆ
หรือเขาเอง “รักเธอไม่มากพอ” ที่จะแบ่งเวลาให้กัน
จะว่าไปนี่มันเป็นสิทธิพิเศษของคนดูและ outsiders ล่ะเนอะ
ที่เราเห็นได้หมดเลยว่าใครคิดอะไรยังไง
จริงๆใครรักใคร ทุ่มเทแค่ไหน
ที่น่าเสียดายคือนางเอกหรือคนในความสัมพันธ์
เวลาเรามีปัญหากับคนรัก จะไม่มีใครมีทางรู้ จนกว่าอีกฝ่ายจะแสดงออกมา
บางทีถ้าคนเราทุกคนสามารถมองความสัมพันธ์แบบ outsiders ได้
เราอาจสามารถแก้ปัญหาทุกปัญหา จากการมองเห็นภาพอะไรได้ชัดเจนมากขึ้นก็ได้
— — — — — — — — — — —
ทุกอย่างถึงจุดแตกหัก
เมื่อ Sebastian งานยุ่งจนไม่สามารถไปร่วมคืนงานแสดงเดี่ยวของ Mia ที่เป็นต้นคิด
ที่เธอตัดสินใจจัดเอง จ่ายเอง และทุ่มความหวังทั้งหมดที่เธอมีเพื่อทำตามความฝัน
ซึ่งทำให้เธอรู้สึกอับอายและผิดหวังที่สุดในชีวิต
แม้เขาพยายามชดเชยความผิดนั้น
และยังคงให้กำลังใจเธอในการทำตามความฝันครั้งใหญ่ครั้งต่อมา
แต่เมื่อ Mia ถามเขาถึงอนาคต ว่าเขาเองจะคิดอย่างไร
กับการที่งานใหม่ที่เป็นความฝันของเธอนี้ อาจทำให้เธอต้องจากเขาไปไกล
เมื่อเขาไม่ได้รั้งเธอไว้
สุดท้าย Mia จึงตัดสินใจเลิกรอ
เธอประสบความสำเร็จ มีชีวิตใหม่
มีความรักครั้งใหม่ที่ดีพร้อมสมบูรณ์แบบ
ตอนจบของหนัง
ทำให้คนดูอย่างเรารับรู้ว่าที่ผ่านมานั้น Sebastian นั้นรัก Mia มากแค่ไหนก็จริง
แต่ถ้าเราเป็น Mia เราก็คงยังติดใจไปตลอดชีวิต
ว่าเป็นเพราะเขา ‘รัก’ เธอ แต่ไม่ได้ ‘รักมากพอ’ หรือเปล่า
ที่จะอยากให้เธอและเขา ได้เจรจา ต่อรอง ยอมลด ‘ความฝัน’ ของแต่ละฝ่ายลงบ้าง
เพื่อการได้มีกันและกันอยู่ในชีวิตที่เป็น ‘ความจริง’
ถ้าใครสักคนรักเราจริงๆ
เราอาจอยากให้เขาช่วยกันคิด แก้ปัญหา ยอมลดนิดปรับหน่อยเพื่อยังได้มีกัน
มากกว่าการปล่อยให้เราได้เดินตามทางที่เราชอบ โดยปราศจากเขาที่เรารักก็ได้..
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บทสรุปชีวิตอีกรูปแบบนี้ก็ทำให้ได้เห็นเช่นกันว่า
ความสุขของคนเรานั้นมีได้หลายเส้นทาง
ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรสำหรับคนที่ value และตัดสินใจเลือก ความฝัน มากกว่า ความรัก
และเราไม่ควรตัดสินใครเพียงเพราะเขาให้คุณค่ากับสิ่งใดแตกต่างจากที่เรามี
และถึงแม้ในบทสุดท้าย ทั้งสองคนที่รักกันจะไม่ได้ลงเอยด้วยการใช้ชีวิตร่วมกัน
แต่ทั้งสองคนก็ยังเป็นคนสำคัญในชีวิตของกันและกันได้ เมื่อเส้นทางชีวิตของพวกเขามาบรรจบกันอีกครั้ง
อย่างที่เค้าบอกกันว่า
"คนสำคัญ ถึงไม่ค่อยได้เจอกัน ก็ยังเป็นคนสำคัญอยู่ดี"
>> เพจรวมงานเขียนและรีวิวต่างๆเกี่ยวกับการศึกษา จิตวิทยา ภาพยนตร์ค่ะ
[CR] La La Land (2016) ลำดับความสำคัญของชีวิต ระหว่างความฝัน ความจริง และความรัก (*spoiler alert*)
นอกเหนือจากภาพสวยๆ จากบทเพลง หรือเสน่ห์และความสามารถของตัวละคร
ประทับใจที่ตัวหนังพูดถึงทั้งความรัก ความฝัน และความจริงในเวลาเดียวกัน
สอนให้ได้คิดและให้น้ำหนักกับสามสิ่งนี้
ได้ทบทวนว่าอะไรคือ “สิ่งที่สำคัญกว่า” ในการเลือกดำเนินชีวิตของคนแต่ละคน
— — — — — — — —
Mia เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่อย่างหญิงสาวที่มุ่งมั่นทำตามความฝัน
จากวัยเด็กที่ได้ตามญาติไปดูกองถ่ายหนัง เห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ทำให้เธอจึงมีความฝันอยากเป็นนักแสดง
และพยายามทำตามความฝันนั้นมาโดยตลอด
ด้วยการไปแคสต์งาน ไปออดิชันนู่นนี่ต่างๆตามแต่ที่โอกาสจะอำนวย
แต่ก็ใช่ว่าเส้นทางฝันของเธอจะสำเร็จกันได้ง่ายๆ
เมื่อเธอเจอความจริงถึงความหินโหด คู่แข่งที่มากมาย กรรมการที่เข้มงวด
เราจึงได้เห็น Mia แอบท้อใจในบางครั้ง
ว่าบางทีเธอเองอาจจะไม่สวย ไม่ดี หรือไม่เก่งพอ สำหรับความฝันของตัวเอง
และบางทีก็อยากจะเลิกตามหามันไปซะดื้อๆ
และ Mia ก็คงเป็นเหมือนเด็กสาวหลายๆคนเช่นกัน
ที่ระหว่างที่เธอตามหา “ความฝัน” แล้วรู้สึกท้อหรือเหนื่อย
เธอก็อยากเจอใครซักคนที่ทำให้เธอรู้สึกได้ถึง “ความรัก”
คนที่รัก ดูแลอยู่ข้างๆกัน
และคอยสนับสนุน ให้กำลังใจกันในระหว่างที่เธอพยายามทำตามความฝันนั้นด้วย
เมื่อเพื่อนๆชวน Mia ไปงานปาร์ตี้ด้วยกัน
หวังให้เธอเจอใครซักคนที่อาจจะเป็นคนๆนั้นของเธอ
เราเห็นความในใจของ Mia ได้จากเพลงของเธอในวันนั้น..
[…] Watching while the world keeps spinning ‘round
Somewhere there’s a place where I find who I’m gonna be
A somewhere that’s just waiting to be found
Someone in the crowd will be the one you need to know
Someone who can lift you off the ground Someone in the crowd will take you where you want to go.
ในงานปาร์ตี้คืนนั้น
แม้เจอคนรายล้อมมากมาย
แต่เธอยังคงไม่เจอใครที่ทำให้รู้สึกว่าเป็น that someone in the crowd
— — — — — — — — — — —
ระหว่างที่เธอกำลังหาทางกลับบ้านอย่างเซ็งๆ เพราะรถถูกยก
(หนังให้เราเห็นภาพเธอเดิน “หลงทาง” และ “ไร้ทิศทาง”
ทั้งในทางกลับบ้านจริงๆ และกับชีวิตที่กำลังอยู่ในความสับสน)
เสียงเปียโนเพลง jazz ที่แว่วออกมาจากร้านอาหารแห่งนึง
ก็ทำให้เธอได้พบกับ Sabastian
ชายหนุ่มผู้ซึ่งหลายวันต่อมา เธอถึงได้มีโอกาสรู้จักเขามากขึ้น
Sebastian ชายหนุ่มผู้ซึ่งมีความฝัน และรักในสิ่งที่ตัวเองทำ
แต่ก็พบเจอกับความท้อใจครั้งแล้วครั้งเล่า
จนความมุ่งมั่นหดหาย ไม่กล้าทำตามความฝัน
เมื่อเจอกันบ่อยๆ
เริ่มทำความรู้จักตัวตน ศึกษากันและกัน
จากสิ่งที่ไม่ชอบ เริ่มกลายเป็นชอบ
สิ่งที่เป็นชีวิตของอีกคน
ได้รับกำลังใจและการสนับสนุนจากอีกคนให้ไขว่คว้า ให้ตามหา
— — — — — — — — — — — —
แม้ความฝันของเขาจะเคยหนักแน่นแค่ไหน
แต่เมื่อแอบได้ยินคนรักต้องบอกครอบครัวถึงอาชีพและรายได้ของคนที่เธอคุยด้วย
Sebastian เองก็รู้ดีว่า อาชีพนักดนตรี classical jazz อย่างเขานั้นไม่มั่นคงพอ
จึงตัดสินใจทิ้งความฝัน มุ่งมั่นเล่นเพลงตามกระแสที่ทำเงินได้มากกว่า
หวังสร้างเนื้อสร้างตัว
แต่ชีวิตที่เริ่มประสบความสำเร็จในอีกเส้นทางที่ตนไม่ได้วาดฝันไว้
กลับทำให้เขาต้องห่างบ้าน จนไม่ค่อยมีเวลาให้คนรัก
และก่อปัญหาให้กับความสัมพันธ์
ที่เรียกได้ว่าเป็นปัญหาคลาสสิคของคู่รักหลายๆคู่
อย่างการ “ไม่มีเวลาให้กัน”
ที่ทำให้ Mia อดรู้สึกไม่ได้ ว่ามันเป็นเพราะว่าเขา “ไม่มีเวลา” จริงๆ
หรือเขาเอง “รักเธอไม่มากพอ” ที่จะแบ่งเวลาให้กัน
จะว่าไปนี่มันเป็นสิทธิพิเศษของคนดูและ outsiders ล่ะเนอะ
ที่เราเห็นได้หมดเลยว่าใครคิดอะไรยังไง
จริงๆใครรักใคร ทุ่มเทแค่ไหน
ที่น่าเสียดายคือนางเอกหรือคนในความสัมพันธ์
เวลาเรามีปัญหากับคนรัก จะไม่มีใครมีทางรู้ จนกว่าอีกฝ่ายจะแสดงออกมา
บางทีถ้าคนเราทุกคนสามารถมองความสัมพันธ์แบบ outsiders ได้
เราอาจสามารถแก้ปัญหาทุกปัญหา จากการมองเห็นภาพอะไรได้ชัดเจนมากขึ้นก็ได้
— — — — — — — — — — —
ทุกอย่างถึงจุดแตกหัก
เมื่อ Sebastian งานยุ่งจนไม่สามารถไปร่วมคืนงานแสดงเดี่ยวของ Mia ที่เป็นต้นคิด
ที่เธอตัดสินใจจัดเอง จ่ายเอง และทุ่มความหวังทั้งหมดที่เธอมีเพื่อทำตามความฝัน
ซึ่งทำให้เธอรู้สึกอับอายและผิดหวังที่สุดในชีวิต
แม้เขาพยายามชดเชยความผิดนั้น
และยังคงให้กำลังใจเธอในการทำตามความฝันครั้งใหญ่ครั้งต่อมา
แต่เมื่อ Mia ถามเขาถึงอนาคต ว่าเขาเองจะคิดอย่างไร
กับการที่งานใหม่ที่เป็นความฝันของเธอนี้ อาจทำให้เธอต้องจากเขาไปไกล
เมื่อเขาไม่ได้รั้งเธอไว้
สุดท้าย Mia จึงตัดสินใจเลิกรอ
เธอประสบความสำเร็จ มีชีวิตใหม่
มีความรักครั้งใหม่ที่ดีพร้อมสมบูรณ์แบบ
ตอนจบของหนัง
ทำให้คนดูอย่างเรารับรู้ว่าที่ผ่านมานั้น Sebastian นั้นรัก Mia มากแค่ไหนก็จริง
แต่ถ้าเราเป็น Mia เราก็คงยังติดใจไปตลอดชีวิต
ว่าเป็นเพราะเขา ‘รัก’ เธอ แต่ไม่ได้ ‘รักมากพอ’ หรือเปล่า
ที่จะอยากให้เธอและเขา ได้เจรจา ต่อรอง ยอมลด ‘ความฝัน’ ของแต่ละฝ่ายลงบ้าง
เพื่อการได้มีกันและกันอยู่ในชีวิตที่เป็น ‘ความจริง’
ถ้าใครสักคนรักเราจริงๆ
เราอาจอยากให้เขาช่วยกันคิด แก้ปัญหา ยอมลดนิดปรับหน่อยเพื่อยังได้มีกัน
มากกว่าการปล่อยให้เราได้เดินตามทางที่เราชอบ โดยปราศจากเขาที่เรารักก็ได้..
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บทสรุปชีวิตอีกรูปแบบนี้ก็ทำให้ได้เห็นเช่นกันว่า
ความสุขของคนเรานั้นมีได้หลายเส้นทาง
ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรสำหรับคนที่ value และตัดสินใจเลือก ความฝัน มากกว่า ความรัก
และเราไม่ควรตัดสินใครเพียงเพราะเขาให้คุณค่ากับสิ่งใดแตกต่างจากที่เรามี
และถึงแม้ในบทสุดท้าย ทั้งสองคนที่รักกันจะไม่ได้ลงเอยด้วยการใช้ชีวิตร่วมกัน
แต่ทั้งสองคนก็ยังเป็นคนสำคัญในชีวิตของกันและกันได้ เมื่อเส้นทางชีวิตของพวกเขามาบรรจบกันอีกครั้ง
อย่างที่เค้าบอกกันว่า
"คนสำคัญ ถึงไม่ค่อยได้เจอกัน ก็ยังเป็นคนสำคัญอยู่ดี"
-------------------------------
สำหรับรีวิวหนังเรื่องอื่นๆ หาดูที่นี่ได้นะคะ
1) http://medium.com/@dearestdeariz
2) http://facebook.com/pattharinterest >> เพจรวมงานเขียนและรีวิวต่างๆเกี่ยวกับการศึกษา จิตวิทยา ภาพยนตร์ค่ะ