กลอนอัปยศ
รอนแรมลงจากหิมาลัยไม่ถึงสองวัน คณะหาคำกลอนก็เดินทางมาถึงเชิงเขาไกรลาสซึ่งเป็นป่าโปร่งสีรุ้งสลับกับทุ่งหญ้าเขียวสด สายลมอ่อนพัดหยอกล้อยอดหญ้าดูงดงามคล้ายระลอกคลื่น ท่ามกลางแสงแดดจ้า ณ ปลายเส้นขอบฟ้าไกลลิบ หญิงสาวเห็นนกสีขาวตัวใหญ่บินไปมาเต็มไปหมด
ไม่สิ...หากมองดูให้ดี จะเห็นได้ว่านกเหล่านั้นมีแขนขางอกออกมาเหมือนมนุษย์ด้วย
“กินรีจริงๆ เหรอ...” คนช่างสงสัยเปิดตากว้างเอ่ยถามเพื่อนซึ่งเดินมาด้วยกัน
ทั้งคู่ให้พ่อสิงห์รออยู่ในป่าก่อน ด้วยกลัวว่าชาวเมืองพิมพ์พิมานจะตกใจกลัวราชสีห์
“ใช่แล้ว กินรีจริงๆ แต่บางตนเป็นกินนรหนา” คนถูกถามทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอบ “รีบไปดูใกล้ๆ กันเถิด ข้าอยากเห็นยิ่งนัก เจ้ารู้ไหมว่านางปีกขาวพวกนี้งามโสภาปานนางฟ้านางสวรรค์”
“อืม” พลอยรีบสาวเท้าตาม
เดินผ่านทุ่งหญ้ามาพักใหญ่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นพิมพ์พิมาน แต่ทำไมคนมีปีกเหล่านั้นถึงได้พากันบินขึ้นบินลงไม่หยุด ก่อนที่พลอยจะได้ถาม สายตาก็มองเห็นเส้นสีครามเข้มตัดขอบฟ้าเหนือขึ้นไปจากทุ่งหญ้าสีเขียว
“ศตรรฆ นั่นอะไร”
“นั่นคือสระอโนดาต”
“หา! สระอโนดาต!” คนที่เพิ่งเคยเห็นสระในตำนานถึงกับตาโต “ทำไมถึงได้กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนทะเลแบบนี้ล่ะ”
ภาพสระจากจิตรกรรมฝาผนังที่มีนางกินรีมาถอดปีกถอดหางลงเล่นน้ำในสมองหายวับไปกับตา อโนดาตช่างยิ่งใหญ่นัก มิน่าเล่าศตรรฆถึงได้บอกว่าลำธารกว้างที่เขาลงเล่นน้ำในป่าเมื่อเช้า เป็นหนึ่งในหลายพันสายที่ไหลลงสู่สระซึ่งไม่มีวันเหือดแห้งแห่งนี้
แล้วเสียงเจ้านาคผู้เดินนำหน้าก็แว่วมา “มนุษย์นี่ก็แปลก สระอโนดาตกว้างลึกสี่แสนสามหมื่นวา จะให้เล็กเหมือน บ่อน้ำในถ้ำของปู่รึ”
และเมื่อทั้งคู่มาหยุดยืนอยู่ปลายสุดขอบทุ่งหญ้า
“มะ เมือง...กินรี!” สาวชาวโลกทำตาโตอีกรอบเมื่อมองลงไปยังเมืองใหญ่เบื้องล่าง ในขณะเดียวกันหนุ่มผิวเข้มก็เพลิดเพลินกับการมองเหล่านางกินรีที่บินผ่านไปมา
พิมพ์พิมานตั้งอยู่บนผาหินอ่อนสูงหลายร้อยเมตร กำแพงผาที่ว่าโค้งเข้าเป็นอ่าวขนาดยักษ์รูปครึ่งวงกลม ตรงกลาง มีน้ำตกใหญ่ไหลผ่า ละอองน้ำของมันสะท้อนแสงตะวันเป็นรุ้งงามพาดผ่านตัวเมือง เบื้องล่างไกลลิบคือเกลียวคลื่นถาโถมซัดหาดทรายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ส่วนบ้านเรือนสร้างจากการเจาะสกัดเข้าไปในผนังหิน มีประตูเป็นช่องวงกลมสำหรับบินเข้าออก ระเบียงหน้าบ้านต่างก็ประดับประดาด้วยงานสลักหินอ่อนงามวิจิตร ยิ่งหน้าบ้านไหนใหญ่ประติมากรรมก็ยิ่งพิลาสละลานตา
“อาจจะมีบันไดให้ผู้มาเยือนใช้...ไปหากันเถิด” เจ้านาคว่าแล้วก็ดึงมือหญิงสาวที่เอาแต่ยืนตะลึงให้เดินตาม
ไม่นานทั้งคู่ก็พบบันไดหินขนาดเล็กให้ไต่ลงไปด้านล่าง สาวชาวโลกเหลียวซ้ายทีขวาทีมองดูบ้านเรือนที่เห็นอย่างอัศจรรย์ใจ ชื่นชม ภูมิปัญญาของชนมีปีกว่าไม่ธรรมดาเลยที่ออกแบบให้มีคูส่งน้ำหล่อเลี้ยงเมืองอยู่ทั่วทุกส่วน
ลงบันไดไม่นานก็ถึงตลาดกลางเมืองซึ่งตั้งอยู่ในเวิ้งถ้ำขนาดใหญ่ ภายในเป็นอัฒจรรย์หินอ่อนสำหรับวางขายสินค้า เริ่มจากด้านบนในสุดลดหลั่นลงมาถึงด้านล่างซึ่งเป็นวงเวียนกว้างที่ทั้งสองยืนอยู่ กลางวงเวียนมีอ่างน้ำพุประดับรูปปั้นนางกินรีกำลังร่ายรำกลุ่มหนึ่ง นอกจากเหล่าชาวเมืองที่กำลังเลือกชมสินค้ายามบ่ายประปรายแล้วยังมีเผ่าพันธุ์อื่นปะปนบ้างไม่มากนัก ตลาดคงวายนานแล้ว
“ไปตรงนั้นเถิด” เจ้านาคสะกิดบอกคนที่เดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุดมองนั่นนี่ ก่อนเดินนำไปยังช่องประตูกลมบานใหญ่ข้างตลาดที่เห็นมีกินรีกินนรบินเข้าออกบ่อยๆ
ภายในประตูแห่งนี้เป็นห้องโถงกว้าง เพดานโค้งครึ่งวงกลมด้านบนเต็มไปด้วยผลึกแก้วห้อยระย้า มันสะท้อนแสง ซึ่งผ่านเข้ามาตามช่องอากาศสร้างสีรุ้งระยิบระยับไปทั่ว ส่วนพื้นมีตั่งกว้างวางกระจายอยู่ บางตั่งเต็มไปด้วยชาวเมืองที่ต่าง ยิ้มแย้มพูดคุยกันเสียงดัง บางตั่งก็เป็นเผ่าพันธุ์อื่นคล้ายมาเจรจาซื้อขายสินค้าดูเป็นการเป็นงาน มีบ้างที่หันมามองทั้งคู่แต่ก็ดูไม่ใส่ใจนัก
เจ้าหนุ่มผิวสีเดินไปนั่งบนตั่งซึ่งว่างอยู่แล้วชะเง้อมองหาผู้ว่างธุระให้มาคุยด้วย ในที่สุดเห็นกินนรหนุ่มใหญ่รูปงามเดินผ่านมาใกล้ เขาจึงรีบยกมือร้องทัก “ท่าน! ขอความกรุณาให้ข้าได้สอบถามบางสิ่งด้วยเถิด!”
ผู้ถูกเรียกหันมามอง เดินมานั่งบนตั่งพร้อมรอยยิ้ม “ท่านทั้งสองมีธุระอันใดกับข้ารึ”
“คือนางผู้นี้” ศตรรฆผายมือมาทางคนนั่งข้างๆ “นางรู้จักกลอนอยู่บทหนึ่ง อยากทราบว่าผู้ใดประพันธ์ขึ้น”
“ฮ่าๆๆ เช่นนั้นถามมาเถิด” ผู้ถูกถามหัวเราะร่วน ใช้สายตาสำรวจพิจารณาแขกแปลกหน้าด้วยแววตาประหลาด หากยังว่าต่อ “ข้า...นอกจากจะเชี่ยวชาญเรื่องโคลงฉันท์กาพย์กลอนของเหล่าเผ่าพันธุ์ตนเองแล้ว ข้ายังมีความรู้กว้างขวางเกี่ยวกับบทประพันธ์จากทุกสวรรค์ชั้นฟ้าอีกด้วย” หลังกล่าวชื่นชมตนเองจนพอใจแล้ว เขาก็หันมายิ้มให้พลอย “กลอนบทนั้น พรรณนาว่าอย่างไรเล่าแม่นาง”
“กลอนบทนั้นว่าอย่างนี้ค่ะ” อาจเป็นเพราะท่าทางเป็นกันเองของเขา คนถูกถามจึงไม่รู้สึกขัดเขินที่จะบอกบทกลอนของเธอออกไป “เจ้าเอย...ความฝัน ความหวัง พังแล้ว ความสุข ไร้วะ...แวว”
“หยุด!”
ยังไม่ทันฟังคำกลอนให้จบบาทผู้อ้างตนว่าเก่งกาจก็ตวาดใส่พลอยจนเธอสะดุ้ง ลุกขึ้นยืนกางปีกออกจนสุดคล้ายพร้อมจู่โจม ชี้นิ้วใส่หน้าเธอ ต่อว่าเสียงดังลั่น
“นี่เจ้ากล้าดีอย่างไร! จึงมาร่ายกลอนอัปยศบทนี้ที่นี่ได้!”
“อะ...อะไรนะ!” คนถูกชี้หน้าจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น รีบขยับเข้าไปเกาะแขนเจ้านาค
เสียงตวาดเมื่อครู่ใช่แต่จะสร้างความงุนงงให้กับผู้มาเยือนเท่านั้น ยังทำให้ทั้งห้องโถงเงียบลงทันใด ทุกอย่างหยุดนิ่ง สายตาทุกคู่ต่างจ้องมองมายังทั้งสาม
“เกิดอันใดขึ้นรึท่านอาจารย์” ผู้ทำลายความเงียบคือกินนรกำยำผู้หนึ่ง
“ฮึ!” กินนรผู้ถูกเรียกว่าอาจารย์แค่นเสียงดูถูก “ข้าไม่อยากเอ่ยให้เป็นเสนียดติดปาก” ว่าแล้วขยับปีกยกตัวบินผ่านประตูออกไป
“พวกเจ้าประสงค์สิ่งใดกันแน่ เหตุใดจึงได้หาญกล้าเอ่ยกลอนอัปยศบทนั้นกลางเมืองพวกข้าเช่นนี้ได้” กินรีสาวผู้นั่งอยู่ไม่ไหลเอ่ยแทรก นางคงได้ยินคำกลอนด้วย
“ใช่...ต้องการสิ่งใดรึ” และอีกหลายคำถามตามมาหลังจากนั้น ก่อนพากันล้อมวงเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึง มีที่บินขึ้นไปดักรอด้านบนด้วยซ้ำ
คนถูกกล่าวหาเห็นท่าไม่ดีรวบรวมความกล้าตอบไปว่า “กรุณาอย่าเข้าใจพวกเราผิดเลยค่ะ เอ่อ...คือ...เราเพียงแค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนแต่งกลอนบทนี้...ก็เท่านั้น”
“โกหก!” กินรีดูมีอายุนางหนึ่งกระทืบเท้าลงพื้น ขึ้นเสียงแหลมสูง “พวกเจ้าอยากจะรู้เรื่องบัดสีเช่นนั้นไปทำไมกัน! คิดว่าพวกข้ายังอับอายเผ่าพันธุ์อื่นไม่พออีกรึ!”
“เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว พวกข้าไม่อยากจำ ไม่อยากรื้อฟื้นหรือนึกถึงอีก” นางอีกตนหนึ่งเอ่ยรับ หลังจากนั้น เสียงขับไล่ข่มขู่ก็ดังขึ้นคำต่อคำไม่หยุด
พลอยกลัวจนหน้าซีด กระซิบถามเพื่อนคนเดียวของเธอ “เอายังไงดี”
“พวกเราคงต้องออกไป ไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าไม่อยากฆ่านกตายทั้งรัง” ศตรรฆยักไหล่กระซิบกลับ
ค่ำแล้ว นภาประดับจันทราและหมู่ดาว เสียงหริ่งเรไรร้องระงมไพร ข้างลำห้วยลึกกลางป่าเหนือเมืองกินรี สามร่างต่างเผ่าพันธุ์นั่งพักผ่อนอยู่
“ข้าละอยากรู้นัก ไอ้กลอนในความฝันอันใดของเจ้าน่ะ มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่”
เจ้านาคซึ่งนอนเอกเขนกอยู่ข้างกองไฟพยายามเอ่ยปากชวนหญิงสาวคุย เพราะตั้งแต่กลับขึ้นมาจากพิมพ์พิมาน พลอยก็เอาแต่นั่งซึม แม้หลายครั้งจะพยายามกางเชือกครอบตัวทำสมาธิแต่ไม่นานก็ถอนใจเก็บเชือกสวมคอเหมือนเดิม
“แม้เจ้าไม่อยากพูดแต่ก็กินอาหารเสียหน่อยเถิด เอ้า...นี่” เขาว่าแล้วก็หยิบเห็ดดอกโตที่ย่างสุกดีแล้วจากกองไฟส่งให้ “ข้าไม่ทำเช่นนี้ให้เจ้าทุกวันดอกหนา กินๆ เข้าไปเสีย”
พลอยขยับตัวมารับเห็ดจากเพื่อน ไม่ใช่แต่เจ้านาคเท่านั้นที่อยากรู้ เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเบื้องหลังกลอนบทนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ทำไมมันจึงเป็นที่รังเกียจของชาวเมืองพิมพ์พิมานนัก นี่เธอกำลังเกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับซับซ้อนอะไรหรือ และถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ต่อไป เมื่อไหร่เธอจะได้กลับบ้าน
แล้วจู่ๆ พ่อสิงห์ก็ลุกขึ้นคำรามลั่นจนนกป่าที่หลับอยู่แตกตื่นบินหนี หลังจากนั้น บางสิ่งบางอย่างก็ร่วงตกลงมาจากยอดไม้ ส่งเสียงดัง ตุ๊บ!
“ผู้ใด!” ศตรรฆรีบพุ่งร่างพญานาคเลื้อยไปดู
“กรี๊ด! นาคราช!” มีเสียงกรีดร้องของสตรีดังตามมาทันที
“ใครกัน...” พลอยรีบลุกตามไปดูบ้างเพราะเห็นกาฬสีหะล้มตัวลงนั่งจึงคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องร้ายแรง
ไม่ไกลจากกองไฟนัก หลังต้นไม้สูง กินรีนางหนึ่งกำลังนั่งตัวสั่นอยู่บนพื้น ปากพร่ำกล่าวไม่หยุดว่า “ได้โปรดเถิด อย่าทำร้ายข้าเลย ข้ากลัวแล้วๆ”
นางดูน่าสงสารมากกว่ามีพิษภัย พลอยจึงเข้าไปปลอบ “ไม่เป็นไรหรอก อย่ากลัวไปเลย พวกเราไม่ทำร้ายเธอแน่”
ได้ผล...กินรีนางนั้นดูสงบลงแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพลอย แต่ยังดูเหมือนหวาดกลัวอยู่โดยเฉพาะกับศตรรฆที่เพิ่งคืนร่าง พลอยจึงได้เห็นว่าแม้ในความมืด หญิงสาวตรงหน้าก็งามโสภาจนแทบจะหาคำมาอธิบายไม่ได้ น่าอัศจรรย์นัก สวยอย่างนี้หรือเปล่าหนอที่สำนวนจีนเรียกว่างามล่มเมือง
“อย่ากลัวไปเลย ถึงอีตานาคราชนั่นจะดูน่ากลัว แต่ที่จริงแล้ว...เขาใจดีมาก” คำชมนั้นทำเอาผู้ที่แกล้งยืนทำหน้าดุยิ้มได้ บรรยากาศจึงดูผ่อนคลายขึ้น “ว่าแต่เธอ...เออ เจ้ามาหาพวกเราหรือ”
“คือ...ข้าได้ยินข่าวลือมาว่า พวกท่านกำลังตามหาผู้ประพันธ์กลอนอัปยศ” นางกินรีว่า
“กลอนอัปยศ...” หญิงสาวทวนคำ เหมือนตะกอนแห่งความเสียใจถูกกวนให้ขุ่นอีกครั้ง นี่กลอนในความฝันของเธอถูกเรียกว่ากลอนอัปยศอย่างนั้นหรือ มีเรื่องเลวร้ายอะไรกันแน่
คงเพราะท่าทีเศร้าลงของพลอยเป็นแน่ นางกินรีจึงยื่นมือเข้ามากำมือเธอไว้เหมือนปลอบใจ “ผู้ประพันธ์กลอนบทนั้นคือปณารี นางเป็นน้องสาวของท่านตาข้าเอง”
“จริงเหรอ!”
“เจ้าว่ากระไรนะ!” พลอยและศตรรฆอุทานขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวของข้าจึงอยากจะเชิญท่านทั้งสองไปที่บ้าน ท่านแม่ไม่อยากให้พวกท่านรับฟังเรื่องราวผิดๆ จากผู้ที่รังเกียจพวกเรา”
“ไปซิ! ไปกันเดี๋ยวนี้เลย” คนที่ดั้นด้นมาตามหาคำกลอนตอบรับทันที ตื่นเต้นจนเผลอบีบมือนางกินรีอย่างแรง
ปีกหิมพานต์...4 กลอนอัปยศ
กลอนอัปยศ
รอนแรมลงจากหิมาลัยไม่ถึงสองวัน คณะหาคำกลอนก็เดินทางมาถึงเชิงเขาไกรลาสซึ่งเป็นป่าโปร่งสีรุ้งสลับกับทุ่งหญ้าเขียวสด สายลมอ่อนพัดหยอกล้อยอดหญ้าดูงดงามคล้ายระลอกคลื่น ท่ามกลางแสงแดดจ้า ณ ปลายเส้นขอบฟ้าไกลลิบ หญิงสาวเห็นนกสีขาวตัวใหญ่บินไปมาเต็มไปหมด
ไม่สิ...หากมองดูให้ดี จะเห็นได้ว่านกเหล่านั้นมีแขนขางอกออกมาเหมือนมนุษย์ด้วย
“กินรีจริงๆ เหรอ...” คนช่างสงสัยเปิดตากว้างเอ่ยถามเพื่อนซึ่งเดินมาด้วยกัน
ทั้งคู่ให้พ่อสิงห์รออยู่ในป่าก่อน ด้วยกลัวว่าชาวเมืองพิมพ์พิมานจะตกใจกลัวราชสีห์
“ใช่แล้ว กินรีจริงๆ แต่บางตนเป็นกินนรหนา” คนถูกถามทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอบ “รีบไปดูใกล้ๆ กันเถิด ข้าอยากเห็นยิ่งนัก เจ้ารู้ไหมว่านางปีกขาวพวกนี้งามโสภาปานนางฟ้านางสวรรค์”
“อืม” พลอยรีบสาวเท้าตาม
เดินผ่านทุ่งหญ้ามาพักใหญ่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นพิมพ์พิมาน แต่ทำไมคนมีปีกเหล่านั้นถึงได้พากันบินขึ้นบินลงไม่หยุด ก่อนที่พลอยจะได้ถาม สายตาก็มองเห็นเส้นสีครามเข้มตัดขอบฟ้าเหนือขึ้นไปจากทุ่งหญ้าสีเขียว
“ศตรรฆ นั่นอะไร”
“นั่นคือสระอโนดาต”
“หา! สระอโนดาต!” คนที่เพิ่งเคยเห็นสระในตำนานถึงกับตาโต “ทำไมถึงได้กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนทะเลแบบนี้ล่ะ”
ภาพสระจากจิตรกรรมฝาผนังที่มีนางกินรีมาถอดปีกถอดหางลงเล่นน้ำในสมองหายวับไปกับตา อโนดาตช่างยิ่งใหญ่นัก มิน่าเล่าศตรรฆถึงได้บอกว่าลำธารกว้างที่เขาลงเล่นน้ำในป่าเมื่อเช้า เป็นหนึ่งในหลายพันสายที่ไหลลงสู่สระซึ่งไม่มีวันเหือดแห้งแห่งนี้
แล้วเสียงเจ้านาคผู้เดินนำหน้าก็แว่วมา “มนุษย์นี่ก็แปลก สระอโนดาตกว้างลึกสี่แสนสามหมื่นวา จะให้เล็กเหมือน บ่อน้ำในถ้ำของปู่รึ”
และเมื่อทั้งคู่มาหยุดยืนอยู่ปลายสุดขอบทุ่งหญ้า
“มะ เมือง...กินรี!” สาวชาวโลกทำตาโตอีกรอบเมื่อมองลงไปยังเมืองใหญ่เบื้องล่าง ในขณะเดียวกันหนุ่มผิวเข้มก็เพลิดเพลินกับการมองเหล่านางกินรีที่บินผ่านไปมา
พิมพ์พิมานตั้งอยู่บนผาหินอ่อนสูงหลายร้อยเมตร กำแพงผาที่ว่าโค้งเข้าเป็นอ่าวขนาดยักษ์รูปครึ่งวงกลม ตรงกลาง มีน้ำตกใหญ่ไหลผ่า ละอองน้ำของมันสะท้อนแสงตะวันเป็นรุ้งงามพาดผ่านตัวเมือง เบื้องล่างไกลลิบคือเกลียวคลื่นถาโถมซัดหาดทรายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ส่วนบ้านเรือนสร้างจากการเจาะสกัดเข้าไปในผนังหิน มีประตูเป็นช่องวงกลมสำหรับบินเข้าออก ระเบียงหน้าบ้านต่างก็ประดับประดาด้วยงานสลักหินอ่อนงามวิจิตร ยิ่งหน้าบ้านไหนใหญ่ประติมากรรมก็ยิ่งพิลาสละลานตา
“อาจจะมีบันไดให้ผู้มาเยือนใช้...ไปหากันเถิด” เจ้านาคว่าแล้วก็ดึงมือหญิงสาวที่เอาแต่ยืนตะลึงให้เดินตาม
ไม่นานทั้งคู่ก็พบบันไดหินขนาดเล็กให้ไต่ลงไปด้านล่าง สาวชาวโลกเหลียวซ้ายทีขวาทีมองดูบ้านเรือนที่เห็นอย่างอัศจรรย์ใจ ชื่นชม ภูมิปัญญาของชนมีปีกว่าไม่ธรรมดาเลยที่ออกแบบให้มีคูส่งน้ำหล่อเลี้ยงเมืองอยู่ทั่วทุกส่วน
ลงบันไดไม่นานก็ถึงตลาดกลางเมืองซึ่งตั้งอยู่ในเวิ้งถ้ำขนาดใหญ่ ภายในเป็นอัฒจรรย์หินอ่อนสำหรับวางขายสินค้า เริ่มจากด้านบนในสุดลดหลั่นลงมาถึงด้านล่างซึ่งเป็นวงเวียนกว้างที่ทั้งสองยืนอยู่ กลางวงเวียนมีอ่างน้ำพุประดับรูปปั้นนางกินรีกำลังร่ายรำกลุ่มหนึ่ง นอกจากเหล่าชาวเมืองที่กำลังเลือกชมสินค้ายามบ่ายประปรายแล้วยังมีเผ่าพันธุ์อื่นปะปนบ้างไม่มากนัก ตลาดคงวายนานแล้ว
“ไปตรงนั้นเถิด” เจ้านาคสะกิดบอกคนที่เดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุดมองนั่นนี่ ก่อนเดินนำไปยังช่องประตูกลมบานใหญ่ข้างตลาดที่เห็นมีกินรีกินนรบินเข้าออกบ่อยๆ
ภายในประตูแห่งนี้เป็นห้องโถงกว้าง เพดานโค้งครึ่งวงกลมด้านบนเต็มไปด้วยผลึกแก้วห้อยระย้า มันสะท้อนแสง ซึ่งผ่านเข้ามาตามช่องอากาศสร้างสีรุ้งระยิบระยับไปทั่ว ส่วนพื้นมีตั่งกว้างวางกระจายอยู่ บางตั่งเต็มไปด้วยชาวเมืองที่ต่าง ยิ้มแย้มพูดคุยกันเสียงดัง บางตั่งก็เป็นเผ่าพันธุ์อื่นคล้ายมาเจรจาซื้อขายสินค้าดูเป็นการเป็นงาน มีบ้างที่หันมามองทั้งคู่แต่ก็ดูไม่ใส่ใจนัก
เจ้าหนุ่มผิวสีเดินไปนั่งบนตั่งซึ่งว่างอยู่แล้วชะเง้อมองหาผู้ว่างธุระให้มาคุยด้วย ในที่สุดเห็นกินนรหนุ่มใหญ่รูปงามเดินผ่านมาใกล้ เขาจึงรีบยกมือร้องทัก “ท่าน! ขอความกรุณาให้ข้าได้สอบถามบางสิ่งด้วยเถิด!”
ผู้ถูกเรียกหันมามอง เดินมานั่งบนตั่งพร้อมรอยยิ้ม “ท่านทั้งสองมีธุระอันใดกับข้ารึ”
“คือนางผู้นี้” ศตรรฆผายมือมาทางคนนั่งข้างๆ “นางรู้จักกลอนอยู่บทหนึ่ง อยากทราบว่าผู้ใดประพันธ์ขึ้น”
“ฮ่าๆๆ เช่นนั้นถามมาเถิด” ผู้ถูกถามหัวเราะร่วน ใช้สายตาสำรวจพิจารณาแขกแปลกหน้าด้วยแววตาประหลาด หากยังว่าต่อ “ข้า...นอกจากจะเชี่ยวชาญเรื่องโคลงฉันท์กาพย์กลอนของเหล่าเผ่าพันธุ์ตนเองแล้ว ข้ายังมีความรู้กว้างขวางเกี่ยวกับบทประพันธ์จากทุกสวรรค์ชั้นฟ้าอีกด้วย” หลังกล่าวชื่นชมตนเองจนพอใจแล้ว เขาก็หันมายิ้มให้พลอย “กลอนบทนั้น พรรณนาว่าอย่างไรเล่าแม่นาง”
“กลอนบทนั้นว่าอย่างนี้ค่ะ” อาจเป็นเพราะท่าทางเป็นกันเองของเขา คนถูกถามจึงไม่รู้สึกขัดเขินที่จะบอกบทกลอนของเธอออกไป “เจ้าเอย...ความฝัน ความหวัง พังแล้ว ความสุข ไร้วะ...แวว”
“หยุด!”
ยังไม่ทันฟังคำกลอนให้จบบาทผู้อ้างตนว่าเก่งกาจก็ตวาดใส่พลอยจนเธอสะดุ้ง ลุกขึ้นยืนกางปีกออกจนสุดคล้ายพร้อมจู่โจม ชี้นิ้วใส่หน้าเธอ ต่อว่าเสียงดังลั่น
“นี่เจ้ากล้าดีอย่างไร! จึงมาร่ายกลอนอัปยศบทนี้ที่นี่ได้!”
“อะ...อะไรนะ!” คนถูกชี้หน้าจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น รีบขยับเข้าไปเกาะแขนเจ้านาค
เสียงตวาดเมื่อครู่ใช่แต่จะสร้างความงุนงงให้กับผู้มาเยือนเท่านั้น ยังทำให้ทั้งห้องโถงเงียบลงทันใด ทุกอย่างหยุดนิ่ง สายตาทุกคู่ต่างจ้องมองมายังทั้งสาม
“เกิดอันใดขึ้นรึท่านอาจารย์” ผู้ทำลายความเงียบคือกินนรกำยำผู้หนึ่ง
“ฮึ!” กินนรผู้ถูกเรียกว่าอาจารย์แค่นเสียงดูถูก “ข้าไม่อยากเอ่ยให้เป็นเสนียดติดปาก” ว่าแล้วขยับปีกยกตัวบินผ่านประตูออกไป
“พวกเจ้าประสงค์สิ่งใดกันแน่ เหตุใดจึงได้หาญกล้าเอ่ยกลอนอัปยศบทนั้นกลางเมืองพวกข้าเช่นนี้ได้” กินรีสาวผู้นั่งอยู่ไม่ไหลเอ่ยแทรก นางคงได้ยินคำกลอนด้วย
“ใช่...ต้องการสิ่งใดรึ” และอีกหลายคำถามตามมาหลังจากนั้น ก่อนพากันล้อมวงเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึง มีที่บินขึ้นไปดักรอด้านบนด้วยซ้ำ
คนถูกกล่าวหาเห็นท่าไม่ดีรวบรวมความกล้าตอบไปว่า “กรุณาอย่าเข้าใจพวกเราผิดเลยค่ะ เอ่อ...คือ...เราเพียงแค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนแต่งกลอนบทนี้...ก็เท่านั้น”
“โกหก!” กินรีดูมีอายุนางหนึ่งกระทืบเท้าลงพื้น ขึ้นเสียงแหลมสูง “พวกเจ้าอยากจะรู้เรื่องบัดสีเช่นนั้นไปทำไมกัน! คิดว่าพวกข้ายังอับอายเผ่าพันธุ์อื่นไม่พออีกรึ!”
“เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว พวกข้าไม่อยากจำ ไม่อยากรื้อฟื้นหรือนึกถึงอีก” นางอีกตนหนึ่งเอ่ยรับ หลังจากนั้น เสียงขับไล่ข่มขู่ก็ดังขึ้นคำต่อคำไม่หยุด
พลอยกลัวจนหน้าซีด กระซิบถามเพื่อนคนเดียวของเธอ “เอายังไงดี”
“พวกเราคงต้องออกไป ไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าไม่อยากฆ่านกตายทั้งรัง” ศตรรฆยักไหล่กระซิบกลับ
ค่ำแล้ว นภาประดับจันทราและหมู่ดาว เสียงหริ่งเรไรร้องระงมไพร ข้างลำห้วยลึกกลางป่าเหนือเมืองกินรี สามร่างต่างเผ่าพันธุ์นั่งพักผ่อนอยู่
“ข้าละอยากรู้นัก ไอ้กลอนในความฝันอันใดของเจ้าน่ะ มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่”
เจ้านาคซึ่งนอนเอกเขนกอยู่ข้างกองไฟพยายามเอ่ยปากชวนหญิงสาวคุย เพราะตั้งแต่กลับขึ้นมาจากพิมพ์พิมาน พลอยก็เอาแต่นั่งซึม แม้หลายครั้งจะพยายามกางเชือกครอบตัวทำสมาธิแต่ไม่นานก็ถอนใจเก็บเชือกสวมคอเหมือนเดิม
“แม้เจ้าไม่อยากพูดแต่ก็กินอาหารเสียหน่อยเถิด เอ้า...นี่” เขาว่าแล้วก็หยิบเห็ดดอกโตที่ย่างสุกดีแล้วจากกองไฟส่งให้ “ข้าไม่ทำเช่นนี้ให้เจ้าทุกวันดอกหนา กินๆ เข้าไปเสีย”
พลอยขยับตัวมารับเห็ดจากเพื่อน ไม่ใช่แต่เจ้านาคเท่านั้นที่อยากรู้ เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเบื้องหลังกลอนบทนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ทำไมมันจึงเป็นที่รังเกียจของชาวเมืองพิมพ์พิมานนัก นี่เธอกำลังเกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับซับซ้อนอะไรหรือ และถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ต่อไป เมื่อไหร่เธอจะได้กลับบ้าน
แล้วจู่ๆ พ่อสิงห์ก็ลุกขึ้นคำรามลั่นจนนกป่าที่หลับอยู่แตกตื่นบินหนี หลังจากนั้น บางสิ่งบางอย่างก็ร่วงตกลงมาจากยอดไม้ ส่งเสียงดัง ตุ๊บ!
“ผู้ใด!” ศตรรฆรีบพุ่งร่างพญานาคเลื้อยไปดู
“กรี๊ด! นาคราช!” มีเสียงกรีดร้องของสตรีดังตามมาทันที
“ใครกัน...” พลอยรีบลุกตามไปดูบ้างเพราะเห็นกาฬสีหะล้มตัวลงนั่งจึงคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องร้ายแรง
ไม่ไกลจากกองไฟนัก หลังต้นไม้สูง กินรีนางหนึ่งกำลังนั่งตัวสั่นอยู่บนพื้น ปากพร่ำกล่าวไม่หยุดว่า “ได้โปรดเถิด อย่าทำร้ายข้าเลย ข้ากลัวแล้วๆ”
นางดูน่าสงสารมากกว่ามีพิษภัย พลอยจึงเข้าไปปลอบ “ไม่เป็นไรหรอก อย่ากลัวไปเลย พวกเราไม่ทำร้ายเธอแน่”
ได้ผล...กินรีนางนั้นดูสงบลงแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพลอย แต่ยังดูเหมือนหวาดกลัวอยู่โดยเฉพาะกับศตรรฆที่เพิ่งคืนร่าง พลอยจึงได้เห็นว่าแม้ในความมืด หญิงสาวตรงหน้าก็งามโสภาจนแทบจะหาคำมาอธิบายไม่ได้ น่าอัศจรรย์นัก สวยอย่างนี้หรือเปล่าหนอที่สำนวนจีนเรียกว่างามล่มเมือง
“อย่ากลัวไปเลย ถึงอีตานาคราชนั่นจะดูน่ากลัว แต่ที่จริงแล้ว...เขาใจดีมาก” คำชมนั้นทำเอาผู้ที่แกล้งยืนทำหน้าดุยิ้มได้ บรรยากาศจึงดูผ่อนคลายขึ้น “ว่าแต่เธอ...เออ เจ้ามาหาพวกเราหรือ”
“คือ...ข้าได้ยินข่าวลือมาว่า พวกท่านกำลังตามหาผู้ประพันธ์กลอนอัปยศ” นางกินรีว่า
“กลอนอัปยศ...” หญิงสาวทวนคำ เหมือนตะกอนแห่งความเสียใจถูกกวนให้ขุ่นอีกครั้ง นี่กลอนในความฝันของเธอถูกเรียกว่ากลอนอัปยศอย่างนั้นหรือ มีเรื่องเลวร้ายอะไรกันแน่
คงเพราะท่าทีเศร้าลงของพลอยเป็นแน่ นางกินรีจึงยื่นมือเข้ามากำมือเธอไว้เหมือนปลอบใจ “ผู้ประพันธ์กลอนบทนั้นคือปณารี นางเป็นน้องสาวของท่านตาข้าเอง”
“จริงเหรอ!”
“เจ้าว่ากระไรนะ!” พลอยและศตรรฆอุทานขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวของข้าจึงอยากจะเชิญท่านทั้งสองไปที่บ้าน ท่านแม่ไม่อยากให้พวกท่านรับฟังเรื่องราวผิดๆ จากผู้ที่รังเกียจพวกเรา”
“ไปซิ! ไปกันเดี๋ยวนี้เลย” คนที่ดั้นด้นมาตามหาคำกลอนตอบรับทันที ตื่นเต้นจนเผลอบีบมือนางกินรีอย่างแรง