ผมเคยตั้งกระทู้ทำนองเดียวกันนี้ เมื่อสองปีก่อนที่ลิงค์นี้
http://ppantip.com/topic/33115062 แต่ปีที่แล้วเว้นไป ปีนี้ขอกลับมาเตือนอีกครั้ง เพราะคิดว่า ยังมีคนไม่ทราบเรื่องนี้อีกมาก คือ ช่วงนี้มีผู้วางแผนจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน เป็นจำนวนมาก ผมจึงอยากเตือนให้ท่านทราบว่า หากท่านต้องเดินทางไปประเทศนอกเอเชีย เช่น ยุโรป ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ในช่วงวันที่ 25 มี.ค. - 17 เม.ย. 2560 ควรตระหนักถึงสองเรื่องต่อไปนี้ด้วยครับ
1) เรื่องการปรับเวลาตาม Daylight Saving Time
หลายๆประเทศ รวมถึงประเทศส่วนใหญ่ในเอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา เช่น เมืองไทยของเรา เลือกที่จะไม่มีการปรับเวลาตามระบบ Daylight Saving Time แต่ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปออสเตรเลีย (ต้องเช็คดูว่า ประเทศไหนใช้บ้าง) จะมีการปรับเวลาตามระบบ Daylight Saving Time โดยวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม คือ
วันอาทิตย์ที่ 26 มี.ค.2560 เป็นวันปรับเวลาเลื่อนให้เร็วขึ้น 1 ช.ม. (Daylight Saving Time Begins) ของเกือบทุกประเทศในยุโรป ปกติก่อนเข้านอนตอนคืนวันเสาร์ที่ 25 มี.ค. ควรปรับนาฬิกาปลุกหรือนาฬิกาข้อมือให้เร็วขึ้น 1 ช.ม.ไว้เลย จะได้ไม่พลาดเวลาตื่นนอน เช่น จะเข้านอนเวลา 22.00 น. ก็ให้ปรับนาฬิกาเป็น 23.00 น. แล้วตั้งนาฬิกาปลุกตามเวลาที่ต้องการ
หากท่านลืมปรับนาฬิกา เมื่อตื่นเวลา 7.00 น.ตามเวลาเดิม จะกลายเป็น 8.00 น.ตามเวลาใหม่ อาจทำให้ตกเครื่องบินหรือรถไฟได้ หากท่านมีกำหนดต้องเดินทางในวันอาทิตย์ที่ 26 มี.ค.นั้น เพราะเครื่องบิน รถไฟ จะออกตามเวลาใหม่ที่ปรับแล้ว
สำหรับ พวกคอมพิวเตอร์ iPhone iPad จะปรับเวลาเองโดยอัตโนมัติ ตามเวลาท้องถิ่นนั้นๆ
ทั้งนี้ ณ วันที่ปรับเวลา จะมีผลทำให้เหมือนว่าสว่างช้าลง 1 ช.ม. และมืดช้าลง 1 ช.ม.ด้วย เช่น จากที่เคยพระอาทิตย์ขึ้นเวลา 6.00 น. จะกลายเป็นพระอาทิตย์ขึ้นเวลา 7.00 น. หรือ จากที่เคยพระอาทิตย์ตกเวลา 18.00 น. จะกลายเป็นมืดเวลา 19.00 น. (หลังจากวันที่ 26 มี.ค.เป็นต้นไป พระอาทิตย์จะขึ้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ และพระอาทิตย์จะตกช้าลงเรื่อยๆ ทำให้มีช่วงกลางวันที่ยาวมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 21 มิ.ย. จะเป็นช่วงที่มีกลางวันยาวนานที่สุดและกลางคืนสั้นที่สุดในรอบปี แล้วจากนั้น พระอาทิตย์ก็จะขึ้นช้าลงเรื่อยๆ พร้อมกับพระอาทิตย์ตกเร็วขึ้นเรื่อยๆ ช่วงกลางวันก็จะหดสั้นลงเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 21 ธันวาคม จะเป็นช่วงที่มีกลางวันสั้นที่สุด และกลางคืนยาวที่สุดในรอบปี)
ที่กล่าวไปข้างต้นนั้น สำหรับเฉพาะประเทศในยุโรปเท่านั้น หากเป็นอเมริกาเหนือ ได้แก่ สหรัฐ และ แคนาดา จะต่างไป กล่าวคือ ในทั้งสองประเทศ หากเป็นรัฐที่ใช้ Daylight Saving Time (บางรัฐไม่ใช้ ต้องตรวจสอบก่อน) จะปรับเวลาเร็วขึ้น 1 ช.ม.ในวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนมีนาคม คือ วันอาทิตย์ที่ 12 มี.ค.2560
2) เทศกาลอีสเตอร์
ประเทศที่นับถือคริสตศาสนาเป็นหลัก จะให้ความสำคัญกับเทศกาลอีสเตอร์มาก และประกาศเป็นวันหยุดราชการในช่วงนี้ แต่เทศกาลอีสเตอร์ของคริสตศาสนานิกายคาทอลิค และนิกายออร์โธดอกซ์ (เช่น กรีซ รัสเซีย) บางปีก็ตรงกัน บางปีก็ไม่ตรงกัน อย่างปี 2559 ไม่ตรงกัน แต่ปีหน้า 2560 จะตรงกัน โชคดีไป ไม่งงในส่วนนี้
ปกติเทศกาลอีสเตอร์ในแต่ละปี จะเปลี่ยนวันที่ไปมา บางปี เช่น ปี2559 อยู่ในเดือนมีนาคม แต่ส่วนใหญ่มักตกในช่วงเดือนเมษายน โดยปีหน้าจะอยู่ในช่วง
วันที่ 13-17 เม.ย.2560 วันที่สำคัญของศาสนาคริสต์ ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ คือ วันศุกร์ที่ 14 เม.ย. ที่เรียกว่า Good Friday กับ วันอาทิตย์ที่ 16 เม.ย. ที่เรียกว่า Easter Sunday เป็นผลให้สถานที่เที่ยวพวกโบสถ์ หรือศาสนสถาน อาจปิดใน 2 วันนี้ บางแห่งวันเสาร์ที่ 15 เม.ย.อาจจะเปิด แต่บางแห่งอาจปิด 3 วันรวดเลย ที่เที่ยวที่ไม่ใช่ศาสนสถานก็อาจปิดด้วย
แต่การประกาศเป็นวันหยุดประจำชาตินั้น จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ไม่ค่อยเหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าคุณจะไปประเทศไหน ก็ควรต้องเช็คข้อมูลวันหยุดของประเทศนั้นนะครับ
-บางประเทศ เช่น อาร์เจนตินา แคนาดา จะกำหนดให้วันศุกร์ที่ 14 เม.ย. (Good Friday) เป็นวันหยุดวันเดียว จึงหยุดยาว 3 วัน คือ วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์
-บางประเทศ เช่น ชิลี กำหนดให้วันศุกร์ที่ 14 และ เสาร์ที่ 15 เม.ย. เป็นวันหยุด จึงหยุด 3 วัน เช่นกัน คือ วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์
-บางประเทศ เช่น อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ เชค กรีซ ออสเตรเลีย กำหนดให้ทั้ง วันศุกร์ที่ 14 เม.ย. และวันจันทร์ที่ 17 เม.ย. (Easter Monday) เป็นวันหยุด จึงหยุดยาว 4 วัน คือ วันศุกร์ถึงวันจันทร์
-บางประเทศ เช่น อิตาลี ออสเตรีย กำหนดให้เฉพาะวันอาทิตย์ที่ 16 และวันจันทร์ที่ 17 เป็นวันหยุด (วันศุกร์ไม่หยุด) จึงหยุด 3 วัน คือ วันเสาร์ถึงวันจันทร์
-บางประเทศ เช่น เปรู กำหนดให้วันพฤหัสที่ 13 และ วันศุกร์ที่ 14 เป็นวันหยุด (วันจันทร์ไม่หยุด) จึงหยุด 4 วัน คือ วันพฤหัสถึงวันอาทิตย์
-บางประเทศ เช่น สเปน เดนมาร์ก นอรเวย์ กำหนดให้เป็นวันหยุดยาว 5 วันรวด ตั้งแต่วันพฤหัสที่ 13 ถึงวันจันทร์ ที่ 17 เม.ย. เลย
-บางประเทศ ไม่หยุดในช่วงอีสเตอร์เลย เช่น สหรัฐฯ รัสเซีย บราซิล
สำหรับอเมริกาเหนือ เฉพาะวันศุกร์ที่ 14 เม.ย. (Good Friday) ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดทั่วประเทศเฉพาะในประเทศแคนาดา (หน่วยงานรัฐ และบางรัฐ อาจจะหยุดวันจันทร์ที่ 17 เม.ย.ด้วย) แต่ในประเทศสหรัฐฯ จะมีเฉพาะบางรัฐเท่านั้น ที่ประกาศให้เฉพาะวันศุกร์ที่ 14 เม.ย.เป็นวันหยุด แต่ไม่มีรัฐใดที่หยุดวันจันทร์ที่ 17 เม.ย. (Easter Monday)
ร้านรวงต่างๆ หรือ outlet อาจจะปิดยาว 4-5 วัน หรือปิดบางวัน เปิดบางวัน สลับกันไป ไม่เหมือนกันในแต่ละร้าน จำเป็นที่ทุกท่านต้องเช็คเว็บไซต์ของสถานที่เที่ยวทุกๆแห่ง ร้านทุกร้าน ที่แพลนว่าจะไปเที่ยวในช่วง 5 วันนี้ จะได้ไม่ผิดหวังหรือไปเก้อเสียเวลาเปล่า แต่โดยทั่วไป บรรยากาศบ้านเมืองส่วนใหญ่จะค่อนข้างเงียบเหงาตลอด 4-5 วันนี้ เงียบมากเงียบน้อยเงียบกี่วัน จะต่างกันไปในแต่ละประเทศ
ช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อน Easter Sunday เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ก่อนวัน Easter Sunday หรือที่เรียกว่าวัน Palm Sunday ไปจนถึงวัน Easter Sunday ซึ่งเรียกว่า Holy week (ปีหน้า คือ ช่วงวันที่ 9-16 เม.ย. 2560) ในหลายๆประเทศ เช่น สเปน หรือประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของสเปน เช่น เปรู เม็กซิโก จะมีงานเฉลิมฉลอง ที่เรียกว่า Semana Santa ทุกวันตลอดสัปดาห์ โดยจะมีขบวนแห่รูปปั้นพระแม่มารี และพระเยซู จากโบสถ์ต่างๆทั่วเมืองไปยังมหาวิหารหลักของเมือง เมืองใดที่มีงานใหญ่ อาจมีการปิดถนนบางเส้น ในบางวันบางเวลา ทำให้การท่องเที่ยวในช่วงนี้ขลุกขลักอยู่บ้าง ต้องตรวจสอบเส้นทางเดินทางก่อน ทั่วประเทศสเปน โดยเฉพาะทางใต้ คือ แคว้นอันดาลูเซีย จะมีงานแห่ที่ยิ่งใหญ่ทุกวันในช่วงนี้ เมืองที่จัดงานยิ่งใหญ่ที่สุด คือ เซบีญ่า (Sevilla/Seville) จะมีขบวนแห่ Semana Santa ทุกวัน บางวันมีหลายขบวน แห่ในหลายๆเส้นทางพร้อมกัน
ขบวนแห่ในช่วงเทศกาล Semana Santa ที่เมือง Sevilla ประเทศสเปน
สำหรับคนที่จองตั๋วไปแล้ว หรือเปลี่ยนวันเดินทางไม่ได้ จำเป็นต้องเดินทางไปช่วงสงกรานต์และอีสเตอร์นั้น ก็ควรปรับแพลนเที่ยวให้เหมาะสมนะครับ เช็คข้อมูลให้ครบ วางแพลนให้ดี เตรียมแผนสำรองไว้ รวมทั้งทำใจไว้บ้าง
แถมท้ายอีกนิด วันที่ 1 พ.ค. มักจะเป็นวันหยุดวันแรงงานแห่งชาติ (Labour Day) ในยุโรปเกือบทุกประเทศ สถานที่เที่ยวบางแห่งอาจจะปิดด้วยเช่นกัน ใครจะไปเที่ยวช่วงนั้น ควรตรวจสอบกับเว็บไซต์ของที่เที่ยวทุกแห่งด้วยครับ
สุดท้ายจริงๆ >> อยากเตือนให้ทุกคน ที่จะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ไม่ว่าประเทศใดในโลก ให้ตรวจสอบวันหยุดประจำชาตินั้นๆก่อนทุกครั้ง (เดี๋ยวนี้กูเกิ้ลเอา ด้วยคำว่า Public Holiday ...(ชื่อประเทศ)... 2017 ก็ทราบผลในไม่กี่วินาที) ว่าตรงกับช่วงที่คุณจะไปหรือไม่ หากพบว่าตรงกับวันหยุด จะได้รู้ตัวล่วงหน้า ตรวจสอบกับที่เที่ยว และวางแพลนเที่ยวให้เหมาะสมได้
+++ ผู้ที่จะไปต่างประเทศ ที่ไม่ใช่ในเอเชีย ช่วง 25 มี.ค.-17 เม.ย. 2560 ควรอ่าน +++
1) เรื่องการปรับเวลาตาม Daylight Saving Time
หลายๆประเทศ รวมถึงประเทศส่วนใหญ่ในเอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา เช่น เมืองไทยของเรา เลือกที่จะไม่มีการปรับเวลาตามระบบ Daylight Saving Time แต่ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือ และทวีปออสเตรเลีย (ต้องเช็คดูว่า ประเทศไหนใช้บ้าง) จะมีการปรับเวลาตามระบบ Daylight Saving Time โดยวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม คือ วันอาทิตย์ที่ 26 มี.ค.2560 เป็นวันปรับเวลาเลื่อนให้เร็วขึ้น 1 ช.ม. (Daylight Saving Time Begins) ของเกือบทุกประเทศในยุโรป ปกติก่อนเข้านอนตอนคืนวันเสาร์ที่ 25 มี.ค. ควรปรับนาฬิกาปลุกหรือนาฬิกาข้อมือให้เร็วขึ้น 1 ช.ม.ไว้เลย จะได้ไม่พลาดเวลาตื่นนอน เช่น จะเข้านอนเวลา 22.00 น. ก็ให้ปรับนาฬิกาเป็น 23.00 น. แล้วตั้งนาฬิกาปลุกตามเวลาที่ต้องการ
หากท่านลืมปรับนาฬิกา เมื่อตื่นเวลา 7.00 น.ตามเวลาเดิม จะกลายเป็น 8.00 น.ตามเวลาใหม่ อาจทำให้ตกเครื่องบินหรือรถไฟได้ หากท่านมีกำหนดต้องเดินทางในวันอาทิตย์ที่ 26 มี.ค.นั้น เพราะเครื่องบิน รถไฟ จะออกตามเวลาใหม่ที่ปรับแล้ว
สำหรับ พวกคอมพิวเตอร์ iPhone iPad จะปรับเวลาเองโดยอัตโนมัติ ตามเวลาท้องถิ่นนั้นๆ
ทั้งนี้ ณ วันที่ปรับเวลา จะมีผลทำให้เหมือนว่าสว่างช้าลง 1 ช.ม. และมืดช้าลง 1 ช.ม.ด้วย เช่น จากที่เคยพระอาทิตย์ขึ้นเวลา 6.00 น. จะกลายเป็นพระอาทิตย์ขึ้นเวลา 7.00 น. หรือ จากที่เคยพระอาทิตย์ตกเวลา 18.00 น. จะกลายเป็นมืดเวลา 19.00 น. (หลังจากวันที่ 26 มี.ค.เป็นต้นไป พระอาทิตย์จะขึ้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ และพระอาทิตย์จะตกช้าลงเรื่อยๆ ทำให้มีช่วงกลางวันที่ยาวมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 21 มิ.ย. จะเป็นช่วงที่มีกลางวันยาวนานที่สุดและกลางคืนสั้นที่สุดในรอบปี แล้วจากนั้น พระอาทิตย์ก็จะขึ้นช้าลงเรื่อยๆ พร้อมกับพระอาทิตย์ตกเร็วขึ้นเรื่อยๆ ช่วงกลางวันก็จะหดสั้นลงเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 21 ธันวาคม จะเป็นช่วงที่มีกลางวันสั้นที่สุด และกลางคืนยาวที่สุดในรอบปี)
ที่กล่าวไปข้างต้นนั้น สำหรับเฉพาะประเทศในยุโรปเท่านั้น หากเป็นอเมริกาเหนือ ได้แก่ สหรัฐ และ แคนาดา จะต่างไป กล่าวคือ ในทั้งสองประเทศ หากเป็นรัฐที่ใช้ Daylight Saving Time (บางรัฐไม่ใช้ ต้องตรวจสอบก่อน) จะปรับเวลาเร็วขึ้น 1 ช.ม.ในวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนมีนาคม คือ วันอาทิตย์ที่ 12 มี.ค.2560
2) เทศกาลอีสเตอร์
ประเทศที่นับถือคริสตศาสนาเป็นหลัก จะให้ความสำคัญกับเทศกาลอีสเตอร์มาก และประกาศเป็นวันหยุดราชการในช่วงนี้ แต่เทศกาลอีสเตอร์ของคริสตศาสนานิกายคาทอลิค และนิกายออร์โธดอกซ์ (เช่น กรีซ รัสเซีย) บางปีก็ตรงกัน บางปีก็ไม่ตรงกัน อย่างปี 2559 ไม่ตรงกัน แต่ปีหน้า 2560 จะตรงกัน โชคดีไป ไม่งงในส่วนนี้
ปกติเทศกาลอีสเตอร์ในแต่ละปี จะเปลี่ยนวันที่ไปมา บางปี เช่น ปี2559 อยู่ในเดือนมีนาคม แต่ส่วนใหญ่มักตกในช่วงเดือนเมษายน โดยปีหน้าจะอยู่ในช่วงวันที่ 13-17 เม.ย.2560 วันที่สำคัญของศาสนาคริสต์ ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ คือ วันศุกร์ที่ 14 เม.ย. ที่เรียกว่า Good Friday กับ วันอาทิตย์ที่ 16 เม.ย. ที่เรียกว่า Easter Sunday เป็นผลให้สถานที่เที่ยวพวกโบสถ์ หรือศาสนสถาน อาจปิดใน 2 วันนี้ บางแห่งวันเสาร์ที่ 15 เม.ย.อาจจะเปิด แต่บางแห่งอาจปิด 3 วันรวดเลย ที่เที่ยวที่ไม่ใช่ศาสนสถานก็อาจปิดด้วย
แต่การประกาศเป็นวันหยุดประจำชาตินั้น จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ไม่ค่อยเหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าคุณจะไปประเทศไหน ก็ควรต้องเช็คข้อมูลวันหยุดของประเทศนั้นนะครับ
-บางประเทศ เช่น อาร์เจนตินา แคนาดา จะกำหนดให้วันศุกร์ที่ 14 เม.ย. (Good Friday) เป็นวันหยุดวันเดียว จึงหยุดยาว 3 วัน คือ วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์
-บางประเทศ เช่น ชิลี กำหนดให้วันศุกร์ที่ 14 และ เสาร์ที่ 15 เม.ย. เป็นวันหยุด จึงหยุด 3 วัน เช่นกัน คือ วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์
-บางประเทศ เช่น อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ เชค กรีซ ออสเตรเลีย กำหนดให้ทั้ง วันศุกร์ที่ 14 เม.ย. และวันจันทร์ที่ 17 เม.ย. (Easter Monday) เป็นวันหยุด จึงหยุดยาว 4 วัน คือ วันศุกร์ถึงวันจันทร์
-บางประเทศ เช่น อิตาลี ออสเตรีย กำหนดให้เฉพาะวันอาทิตย์ที่ 16 และวันจันทร์ที่ 17 เป็นวันหยุด (วันศุกร์ไม่หยุด) จึงหยุด 3 วัน คือ วันเสาร์ถึงวันจันทร์
-บางประเทศ เช่น เปรู กำหนดให้วันพฤหัสที่ 13 และ วันศุกร์ที่ 14 เป็นวันหยุด (วันจันทร์ไม่หยุด) จึงหยุด 4 วัน คือ วันพฤหัสถึงวันอาทิตย์
-บางประเทศ เช่น สเปน เดนมาร์ก นอรเวย์ กำหนดให้เป็นวันหยุดยาว 5 วันรวด ตั้งแต่วันพฤหัสที่ 13 ถึงวันจันทร์ ที่ 17 เม.ย. เลย
-บางประเทศ ไม่หยุดในช่วงอีสเตอร์เลย เช่น สหรัฐฯ รัสเซีย บราซิล
สำหรับอเมริกาเหนือ เฉพาะวันศุกร์ที่ 14 เม.ย. (Good Friday) ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดทั่วประเทศเฉพาะในประเทศแคนาดา (หน่วยงานรัฐ และบางรัฐ อาจจะหยุดวันจันทร์ที่ 17 เม.ย.ด้วย) แต่ในประเทศสหรัฐฯ จะมีเฉพาะบางรัฐเท่านั้น ที่ประกาศให้เฉพาะวันศุกร์ที่ 14 เม.ย.เป็นวันหยุด แต่ไม่มีรัฐใดที่หยุดวันจันทร์ที่ 17 เม.ย. (Easter Monday)
ร้านรวงต่างๆ หรือ outlet อาจจะปิดยาว 4-5 วัน หรือปิดบางวัน เปิดบางวัน สลับกันไป ไม่เหมือนกันในแต่ละร้าน จำเป็นที่ทุกท่านต้องเช็คเว็บไซต์ของสถานที่เที่ยวทุกๆแห่ง ร้านทุกร้าน ที่แพลนว่าจะไปเที่ยวในช่วง 5 วันนี้ จะได้ไม่ผิดหวังหรือไปเก้อเสียเวลาเปล่า แต่โดยทั่วไป บรรยากาศบ้านเมืองส่วนใหญ่จะค่อนข้างเงียบเหงาตลอด 4-5 วันนี้ เงียบมากเงียบน้อยเงียบกี่วัน จะต่างกันไปในแต่ละประเทศ
ช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อน Easter Sunday เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ก่อนวัน Easter Sunday หรือที่เรียกว่าวัน Palm Sunday ไปจนถึงวัน Easter Sunday ซึ่งเรียกว่า Holy week (ปีหน้า คือ ช่วงวันที่ 9-16 เม.ย. 2560) ในหลายๆประเทศ เช่น สเปน หรือประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของสเปน เช่น เปรู เม็กซิโก จะมีงานเฉลิมฉลอง ที่เรียกว่า Semana Santa ทุกวันตลอดสัปดาห์ โดยจะมีขบวนแห่รูปปั้นพระแม่มารี และพระเยซู จากโบสถ์ต่างๆทั่วเมืองไปยังมหาวิหารหลักของเมือง เมืองใดที่มีงานใหญ่ อาจมีการปิดถนนบางเส้น ในบางวันบางเวลา ทำให้การท่องเที่ยวในช่วงนี้ขลุกขลักอยู่บ้าง ต้องตรวจสอบเส้นทางเดินทางก่อน ทั่วประเทศสเปน โดยเฉพาะทางใต้ คือ แคว้นอันดาลูเซีย จะมีงานแห่ที่ยิ่งใหญ่ทุกวันในช่วงนี้ เมืองที่จัดงานยิ่งใหญ่ที่สุด คือ เซบีญ่า (Sevilla/Seville) จะมีขบวนแห่ Semana Santa ทุกวัน บางวันมีหลายขบวน แห่ในหลายๆเส้นทางพร้อมกัน
ขบวนแห่ในช่วงเทศกาล Semana Santa ที่เมือง Sevilla ประเทศสเปน
สำหรับคนที่จองตั๋วไปแล้ว หรือเปลี่ยนวันเดินทางไม่ได้ จำเป็นต้องเดินทางไปช่วงสงกรานต์และอีสเตอร์นั้น ก็ควรปรับแพลนเที่ยวให้เหมาะสมนะครับ เช็คข้อมูลให้ครบ วางแพลนให้ดี เตรียมแผนสำรองไว้ รวมทั้งทำใจไว้บ้าง
แถมท้ายอีกนิด วันที่ 1 พ.ค. มักจะเป็นวันหยุดวันแรงงานแห่งชาติ (Labour Day) ในยุโรปเกือบทุกประเทศ สถานที่เที่ยวบางแห่งอาจจะปิดด้วยเช่นกัน ใครจะไปเที่ยวช่วงนั้น ควรตรวจสอบกับเว็บไซต์ของที่เที่ยวทุกแห่งด้วยครับ
สุดท้ายจริงๆ >> อยากเตือนให้ทุกคน ที่จะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ไม่ว่าประเทศใดในโลก ให้ตรวจสอบวันหยุดประจำชาตินั้นๆก่อนทุกครั้ง (เดี๋ยวนี้กูเกิ้ลเอา ด้วยคำว่า Public Holiday ...(ชื่อประเทศ)... 2017 ก็ทราบผลในไม่กี่วินาที) ว่าตรงกับช่วงที่คุณจะไปหรือไม่ หากพบว่าตรงกับวันหยุด จะได้รู้ตัวล่วงหน้า ตรวจสอบกับที่เที่ยว และวางแพลนเที่ยวให้เหมาะสมได้