สวัสดีค่า ทุกคน ที่มีความฝันเหมือนกัน หรือคนที่เสียสละเวลาเข้ามาอ่านเนาะ
คุณเชื่อเรื่องกฎเเรงดึงดูดมั๊ย ^^ ตอนนี้เราเชื่อหมดหัวใจเลย เรากำลังจะไปเมกา เดือนมกรานี้ ไปอยู่บอสตัน ไม่รู้ว่าอนาคตที่นั้นจะเป็นยังไง แต่เราเลือกแล้ว ^^ แนะนำตัวละกัน เราชื่อเหมียวนะ อายุ 23 ปี เรียนจบและทำงานมาได้สักพักแล้ว เราจะมาเล่าประสบการณ์เราเกี่ยวกับการตามความฝันครั้งนี้ เราเชื่อว่าหลายคนคงมีความฝันเหมือนเรา คือ อยากจะไปต่างประเทศ ไม่ใช่แค่ไปเที่ยวนะ แต่อยากลองไปอยู่ อยากลองไปใช้ฃีวิตที่โน่น หาประสบการณ์ อยากลองทำในส่ิ่งที่ไม่เคยทำ เจออะไรใหม่ๆ เปิดโลกให้ตัวเอง 555 ทำเหมือนตัวเองเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตเลยอ่ะ แต่ไม่เลยค่าาา เราเป็นคนหนึ่งละที่ เรียนจบมายังไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร อิจฉาคนที่มีฝันซาาหมัดเลย คนที่รู้ว่าเค้าอยากเป็นหมอ เป็นครู เป็นแอร์ คือเค้าได้ใช้เวลาทำตามสิ่งที่เค้าอยากทำ แต่ก็มีสิ่งนี้แหละคือฝันของเรา เราต้องไปต่างประเทศให้ได้ !! ซึ่งจริงๆตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่า เราจะทำได้หรือป่าว เพราะเราก็เป็นเด็กบ้านนอก พ่อแม่เป็นชาวนา เรียนมหาลัยเปิดก็ทำงานไปเรียนไป ไม่ได้รบกวนพ่อแม่ (ท่านแก่มากแล้ว) และเรื่องไปเมกา เราก็รู้แล้วว่า ยังไงถ้าเราอยากไปจริง เราต้องเก็บตังค์ไปเอง เท่านั้น
เราพยายามลองหาวิธีที่จะไปได้ โดยงบประมาณที่เราพอไหว ตั้งใจไว้คือไม่อยากรบกวน และเราก้มาเจอโครงการนี้ จากโพสเพื่อนในเฟซคนหนึ่ง เรายังจำได้ว่า เราเอาคำว่า Aupair เพียงคำเดียวไปเสิร์ทใน Google และหลังจากนั้น 2 เดือน คือเราหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกวัน คืออะไร ทำอะไร ที่ไหน ยังไง ข้อดีข้อเสียคืออะไร จนเราชัวร์ เราก็ตัดสินใจด้วยความแน่วแน่เลยว่า เราจะไปโครงการนี้ แต่คือคุณคะ เราก็แบบ ไม่รู้ว่าจะไปได้จริงหรือป่าว 555 เพราะมันช่างดูห่างไกลจากความเป็นจริงของเรานะ แต่มันก็พอจะเป็นไปได้มากกว่า โครงการอื่นๆหรือช่องทางอื่นๆ เพราะ
1.เลย สำคัญสุด เงินที่ต้องใช้ไม่มากเท่าไหร่
2.อยู่ได้นาน 1-2 ปี
3.ได้เรียน(แม้ไม่มาก)
4.ได้ใช้ชีวิตแบบ American life
เอาล่ะค่ะ มารู้จักกับ Aupair เมกา กันเถอะ ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thaiaupairclub.com/
-โครงการออแพร์อเมริกา คือ โครงการพี่เลี้ยงเด็ก ภายใต้กฎหมายสหรัฐอเมริกาที่ออแพร์ถือวีซ่าประเภท J-1 นักเรียนแลกเปลี่ยน ( Cultural Exchange Visitor)เปิดโอกาสให้เยาวชนจากนานาประเทศได้มาแลกเปลียนวัฒนธรรมผ่านการทำงานเีลี้ยงเด็ก พร้อมมีรายได้จากการทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก
อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และไม่เกิน 27 ปี นับวันที่บินเข้าประเทศอเมริกา กรณีอายุ 26 ปีสามารถสมัครได้ แต่ต้องบินเข้าประเทศอเมริกาก่อนอายุ 27
การศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาปีที่ 6 ส่วนใหญ่เอเจนซี่จะรับคนที่จบหรือเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี
เพศหญิง สำหรับเพศชายบางเอเจนซี่อาจรับ
-มีประสบการณ์การเลี้ยงเด็กอายุต่ำกว่าสองขวบไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง แต่หลายๆ เอเจนซี่ก็ต้องการสูงมากกว่า 200 ชั่วโมง
สุขภาพร่างกายแข็งแรง วิ่งตามเด็ก และเล่นกับเด็กได้ไม่เหนื่อย
ไม่เป็นโรคติดต่อที่จะนำไปติดต่อกับเด็กหรือครอบครัวทีจะอยู่ด้วย
ไม่มีประวัติอาชญกรรม
ไม่เคยเป็นออแพร์ประเทศอเมริกามาก่อน
-การเป็นออแพร์ คุณสมบัติทีสำคัญทีสุด 2 ประการ คือ
ต้องมีความสามารถในการปรับตัวสูง โดยไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
มีความสามารถในการดูแลควบคุมเด็กได้เป็นอย่างดี ออแพร์ต้องมาดูแลเด็ก หากไม่สามารถดูแลควบคุมเด็กได้ หรือว่าไม่รู้จะพาเล่นทำกิจกรรมอะไรดี จะทำให้ชิวิตการทำงานพี่เลี้ยงเด็กน่าเบื่อหน่าย ไม่มีความสุข
-ได้รับเงินค่าแรงจากการทำงานสัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 176.85 เหรียญ ต่อการทำงานไม่เกิน 45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ได้รับการสนับสนุนค่าเ่ล่าเรียนจากโฮสต์สูงสุดไม่เกิน 500 เหรียญ
ได้ีรับวันหยุดประจำสัปดาห์ ได้รับวันหยุดพักร้อนสองอาทิตย์ที่ได้รับค่าแรงตามปกติ
ด้วยวีซ่านักเรียนแลกเปลียน นับจากวันทีวีซ่าหมดอายุ ออแพร์สามารถอยู่ต่อในประเทศได้อีกสามสิบวันอย่างถูกต้องตามกฏหมายเพื่อการท่องเที่ยวในประเทศอเมริกา
ในขณะที่โครงการทดลองต่อปีสองยังเปิดโอกาสอยู่ ออแพร์สามารถขอเป็นออแพร์อีกหนึ่งปีต่อจากปีแรกได้ เรียกว่าออแพร์ปีที่สองโดยการเป็นออแพร์ปีทีสอง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ
-ค่าใช้จ่ายของแต่ละเอเจนซี่มี ราคา แตกต่างกันนะค่ะ
ค่าใช้จ่ายค่าหลัก โดยทั่วไป ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการต้องจ่าย มีดังต่อไปนี้
ค่าทดสอบก่อนซื้อใบสมัคร( เป็นเรื่องของการทดสอบภาษาอังกฤษ และ จิตวิทยา บางเอเจนซี่ไม่เสีย แต่บางเอเจนซี่เสีย ส่วนใหญ่ไม่แพง ราวๆ 200 บาท)
ค่าใบสมัคร( แต่ละเอเจนซี่ขายใบสมัครไม่เท่ากัน 3,500 -7,000 บาท )
ค่าเข้าร่วมโครงการออแพร์ จ่ายเมื่อผู้สมัครตกลงทำงานกับครอบครัว แต่ละเอเจนซี่ ค่าแม็ทช์ ตัวนี้ไม่เท่ากันนะจ๊ะ ทั้งถูก ทั้งแพง มีหมด พิจารณากันเอา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เกิน 1,000 เหรียญค่ะ
ค่าธรรมเนียมขอวีซ่า อันนี้ออกเองไม่เกียวกับเอเจนซี่ จ่ายตอนยื่นคำร้องขอจองวันสัมภาษณ์ประมาณ 400 บาทและค่าขอวีซ่า จำนวน 4,454 บาท
ค่าใช้จ่ายรอง จะจ่ายมากจ่ายน้อยแล้วแต่บุคคล บางค่า บางคนไม่ต้องจ่ายเพราะมีอยู่แล้วทำไว้แล้ว ค่าเหล่านั้นได้แก่
ค่าเดินทางเข้าเอเจนซี่เพื่อทำธุระต่างๆ
ค่าดำเนินการเอกสารต่างๆ เช่นใบขับขี่รถยนต์ ใบขับขี่รถยนต์สากล ใบรับรองจบ หนังสือเดินทาง(passport) ใบทรานสคริปต์ รูปภาพ ค่าแปลเอกสาร (ในกรณีไปจ้างเขา)
-ติดต่อเอเจนซี่ เพื่อรับการทดสอบภาษาอังกฤษและสัมภาษณ์ หากผ่านการทดสอบจึงสามารถซื้อใบสมัครได้ สำหรับคนที่ไ่ม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กก็สามารถซื้อใบสมัครได้ แล้วค่อยไปเก็บประสบการณ์ที่หลัง ถ้าใครเคยมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาแล้วก็ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าทีเอเจนซี่ทราบ เพื่อทางเขาจะได้พิจารณาได้ว่า จำนวนชั่วโมงพอเพียงกับที่ทางเขาต้องการหรือไม่ และวัยที่ได้เคยเลี้ยงมาตรงตามที่เขาต้องการหรือเปล่า สถานที่แนะนำสำหรับการเก็บประสบการณ์เลี้ยงเด็ก อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี้
-เอเจนซี่จะให้คุณซื้อใบสมัครได้ต่อเมื่อได้ผ่านการสอบวัดระดับภาษาและสัมภาษณ์ รายบุคคลแล้ว เมื่อได้ชุดใบสมัครผู้สมัครจะต้องเตรียมเอกสารและกรอกเอกสารให้เรียบร้อย โดยส่วนใหญ่แล้ว
-เอกสารในชุดใบสมัครที่มีคือ
ใบสมัคร
แบบฟอร์มการตรวจสุขภาพ นำไปให้แพทย์กรอก
แบบฟอร์มรับรองบุคลิกภาพ อย่างน้อยสองฉบับ จากคนที่ไม่ใช่ญาติ อาจจะเป็นจากครู นายจ้าง เป็นต้น
แบบฟอร์มรับรองการเลี้ยงเด็ก อย่างน้อยสองฉบับ จากคนที่รับผิดชอบเราตอนเราเลี้ยงเด็ก
เอกสารที่ต้องส่งแนบไปกับเอกสารใบสมัคร
1.เขียนจดหมายแนะนำตัว ที่เรียกว่า Dear host family จดหมายแนะนำตัวต่างๆ
2.ใบประกาศ First Aid and CPR ถ้ามี แต่บางเอเจนซี่ก็บังคับว่าจะต้องมี
3.ใบขับขี่ ถ้ามี หรือว่าถ้าเอเจนซี่บอกว่าต้องมีก็ต้องไปสอบเอาใบขับขี่มา
4.รูปภาพถ่ายกับเด็กที่เลี้ยง และ รูปภาพถ่ายเกียวกับตัวเราในกิจกรรมทั่วๆ ไป บรรยายภาพด้วยว่าสื่อถืงอะไร หรือภาพนี้พิเศษอย่างไรถึงเลือกมา
5.สำเนาใบรับรองความประพฤติ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อ่านวิธีการขอใบรับรองความประพฤติ(ค่อยทำหลังเเมช)
6.สำเนาหนังสือเดินทาง
หลังจากที่ยื่นเอกสารสมบูรณ์ ก็รอการติดต่อจากโฮสต์ ระยะการรอที่จะได้รับการจากโฮสต์ จะเร็วช้าแค่ไหน อันนี้ขึ้นอยู่แต่ละเอเจนซี่ด้วย เพราะว่านี้เป็นหนึ่งในปัญหาที่ผู้สมัครต้องพิจารณา แต่โดยส่วนใหญ ไม่เกินสามเดือน หลังจากยื่นใบสมัครต้องได้รับการติดต่อจากครอบครัวอเมริกันเข้ามา ถ้าสามเดือนหนึ่งยังไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ เลย ไม่ว่าจะทาง อีเมลล์ โทรศัพท์ ควรติดต่อเอเจนซี่ เพราะอาจมีความผิดพลาดได้
-ออแพร์มีสิทธ์เลือก ครอบครัวที่เหมาะสมเอง ทุกสิ้นทุกอย่าง โดยจะเลือกวัยเด็กที่จะดูแล รัฐที่จะอยู่ หรือ สวัสดิการที่แต่ละบ้านให้พิเศษ กับออแพร ์ทั้งหมดนี้ ออแพร์สามารถใช้เวลาให้นานกันเลยนะค่ะ ในการเลือกครอบครัวที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดกับเรา เพราะว่า เมือไปที่เมกาแล้ว หากคุณต้องการเปลี่ยนครอบครัว จะมีเวลาจำกัด และถ้าเอเจนซี่ี่ไม่มีครอบครัวให้เราตอนเปลียนครบอครัวแล้วละก็ ยิ่งต้องทำใจว่า ต้องได้กลับเมืองไทยแน่นอน
-ดังนั้น การเลือกครอบครัวด้วยความระมัดระวัง พร้อมทั้งสอบถามทุกสิ่งทุกอย่างให้มีความเข้าใจอย่างละเอียด การที่เรารู้มาก ถามมาก ไม่ได้หมายความเราเป็นคนเรื่องมาก หรือเลือกที่จะไม่ไป แต่การที่เราถามมาก จะได้ทำให้เรารู้มากและย่อมทำให้เราเตรียมตัวรับมือได้ถูกต้อง และจะได้ไ่ม่เป็นการคาดหวังเกินความจริง ว่าสิ่งที่จะได้เจอเมื่อเดินทางไปถึงจะเป็นอย่างนั้น อ่านเพิ่มเติมกระทู้การเลือกครอบครัวที่จะไปอยู่ด้วย และ กระทู้คำถามที่ควรถามกับโอสต์
-เมื่อ ผุ้สมัครโครงการ ตกลงแม็ทช์กับครอบครัวเป็นที่เรียบร้อย ทางเอเจนซี่จะ ออกเอกสารสำคัญที่ชื่อว่า DS-2019 ให้แล้วเอาไปยื่นขอวีซ่า โดยวีซ่าที่ออแพร์ได้รับคือ วีซ่า J-1 นักเรียนแลกเปลี่ยน มีอายุ 1 ปี ให้ผู้สมัครนำ เอกสาร DS-2019 แนบกับเอกสารอื่น ๆที่สำคัญดัง แล้วเอาไปยื่นที่สถานทูตจ้า
**การเตรียมเอกสารขอวีซ่า ทางเอเจนจะส่งรายละเอียดให้น้า
ใครสนใจลองอ่านข้อมูล และหาข้อมูลเพิ่มได้จากหลายที่ แนะนำให้หาข้อมูลเยอะๆ อ่านทั้งข้อดี ข้อเสีย แล้วพิจารณาว่าตัวเองเหมาะกับโครงการนี้มั๊ยเนาะ และเดี่ยวเราจะเล่าประสบการณ์ของเรา และแนะนำขั้นตอนต่างๆตามที่เราทำมาให้ฟังไปเรื่อยๆนะค้า
ตอนนี้เราตั้งเพจเพื่อเเชร์ประสบการณ์ต่างๆทั้งสาระและไม่สาระ บ่นบ้าง อาจจะแอบถ่ายรูปหนุ่มๆมาบ้าง ใครอยากติดตามก็ตามกันได้นะค้า หรือใครจะถามข้อมูลอะไรก็ได้น้า ยินดีค่ะ ^^ (ยอมรับเลยเรานี่ชอบส่องชีวิตพี่ๆเพื่อนๆที่เขาไปเมกาแล้ว กดไลน์เพจออแพร์แทบทุกเพจ 555 บางทีไล่ดูเสตัสเขาย้อนไปเป็นปีๆ 55 คือเราดูแล้วเรามีแรงบันดาลใจ เราเห็นรูปเค้า โพสเค้า เราก็จะมีแรงดำเนินการต่อ เลยชอบส่องไปทั่ว55)
ชื่อเพจ >> อิหล้าน้อยในเมืองนอก
https://www.facebook.com/ielhanoiinamerica/
IG>> Phloidao
ตามฝันที่เมกา กับโครงการออแพร์
สวัสดีค่า ทุกคน ที่มีความฝันเหมือนกัน หรือคนที่เสียสละเวลาเข้ามาอ่านเนาะ
คุณเชื่อเรื่องกฎเเรงดึงดูดมั๊ย ^^ ตอนนี้เราเชื่อหมดหัวใจเลย เรากำลังจะไปเมกา เดือนมกรานี้ ไปอยู่บอสตัน ไม่รู้ว่าอนาคตที่นั้นจะเป็นยังไง แต่เราเลือกแล้ว ^^ แนะนำตัวละกัน เราชื่อเหมียวนะ อายุ 23 ปี เรียนจบและทำงานมาได้สักพักแล้ว เราจะมาเล่าประสบการณ์เราเกี่ยวกับการตามความฝันครั้งนี้ เราเชื่อว่าหลายคนคงมีความฝันเหมือนเรา คือ อยากจะไปต่างประเทศ ไม่ใช่แค่ไปเที่ยวนะ แต่อยากลองไปอยู่ อยากลองไปใช้ฃีวิตที่โน่น หาประสบการณ์ อยากลองทำในส่ิ่งที่ไม่เคยทำ เจออะไรใหม่ๆ เปิดโลกให้ตัวเอง 555 ทำเหมือนตัวเองเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตเลยอ่ะ แต่ไม่เลยค่าาา เราเป็นคนหนึ่งละที่ เรียนจบมายังไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร อิจฉาคนที่มีฝันซาาหมัดเลย คนที่รู้ว่าเค้าอยากเป็นหมอ เป็นครู เป็นแอร์ คือเค้าได้ใช้เวลาทำตามสิ่งที่เค้าอยากทำ แต่ก็มีสิ่งนี้แหละคือฝันของเรา เราต้องไปต่างประเทศให้ได้ !! ซึ่งจริงๆตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่า เราจะทำได้หรือป่าว เพราะเราก็เป็นเด็กบ้านนอก พ่อแม่เป็นชาวนา เรียนมหาลัยเปิดก็ทำงานไปเรียนไป ไม่ได้รบกวนพ่อแม่ (ท่านแก่มากแล้ว) และเรื่องไปเมกา เราก็รู้แล้วว่า ยังไงถ้าเราอยากไปจริง เราต้องเก็บตังค์ไปเอง เท่านั้น
เราพยายามลองหาวิธีที่จะไปได้ โดยงบประมาณที่เราพอไหว ตั้งใจไว้คือไม่อยากรบกวน และเราก้มาเจอโครงการนี้ จากโพสเพื่อนในเฟซคนหนึ่ง เรายังจำได้ว่า เราเอาคำว่า Aupair เพียงคำเดียวไปเสิร์ทใน Google และหลังจากนั้น 2 เดือน คือเราหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกวัน คืออะไร ทำอะไร ที่ไหน ยังไง ข้อดีข้อเสียคืออะไร จนเราชัวร์ เราก็ตัดสินใจด้วยความแน่วแน่เลยว่า เราจะไปโครงการนี้ แต่คือคุณคะ เราก็แบบ ไม่รู้ว่าจะไปได้จริงหรือป่าว 555 เพราะมันช่างดูห่างไกลจากความเป็นจริงของเรานะ แต่มันก็พอจะเป็นไปได้มากกว่า โครงการอื่นๆหรือช่องทางอื่นๆ เพราะ
1.เลย สำคัญสุด เงินที่ต้องใช้ไม่มากเท่าไหร่
2.อยู่ได้นาน 1-2 ปี
3.ได้เรียน(แม้ไม่มาก)
4.ได้ใช้ชีวิตแบบ American life
เอาล่ะค่ะ มารู้จักกับ Aupair เมกา กันเถอะ ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaiaupairclub.com/
-โครงการออแพร์อเมริกา คือ โครงการพี่เลี้ยงเด็ก ภายใต้กฎหมายสหรัฐอเมริกาที่ออแพร์ถือวีซ่าประเภท J-1 นักเรียนแลกเปลี่ยน ( Cultural Exchange Visitor)เปิดโอกาสให้เยาวชนจากนานาประเทศได้มาแลกเปลียนวัฒนธรรมผ่านการทำงานเีลี้ยงเด็ก พร้อมมีรายได้จากการทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก
อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และไม่เกิน 27 ปี นับวันที่บินเข้าประเทศอเมริกา กรณีอายุ 26 ปีสามารถสมัครได้ แต่ต้องบินเข้าประเทศอเมริกาก่อนอายุ 27
การศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาปีที่ 6 ส่วนใหญ่เอเจนซี่จะรับคนที่จบหรือเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี
เพศหญิง สำหรับเพศชายบางเอเจนซี่อาจรับ
-มีประสบการณ์การเลี้ยงเด็กอายุต่ำกว่าสองขวบไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง แต่หลายๆ เอเจนซี่ก็ต้องการสูงมากกว่า 200 ชั่วโมง
สุขภาพร่างกายแข็งแรง วิ่งตามเด็ก และเล่นกับเด็กได้ไม่เหนื่อย
ไม่เป็นโรคติดต่อที่จะนำไปติดต่อกับเด็กหรือครอบครัวทีจะอยู่ด้วย
ไม่มีประวัติอาชญกรรม
ไม่เคยเป็นออแพร์ประเทศอเมริกามาก่อน
-การเป็นออแพร์ คุณสมบัติทีสำคัญทีสุด 2 ประการ คือ
ต้องมีความสามารถในการปรับตัวสูง โดยไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
มีความสามารถในการดูแลควบคุมเด็กได้เป็นอย่างดี ออแพร์ต้องมาดูแลเด็ก หากไม่สามารถดูแลควบคุมเด็กได้ หรือว่าไม่รู้จะพาเล่นทำกิจกรรมอะไรดี จะทำให้ชิวิตการทำงานพี่เลี้ยงเด็กน่าเบื่อหน่าย ไม่มีความสุข
-ได้รับเงินค่าแรงจากการทำงานสัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 176.85 เหรียญ ต่อการทำงานไม่เกิน 45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ได้รับการสนับสนุนค่าเ่ล่าเรียนจากโฮสต์สูงสุดไม่เกิน 500 เหรียญ
ได้ีรับวันหยุดประจำสัปดาห์ ได้รับวันหยุดพักร้อนสองอาทิตย์ที่ได้รับค่าแรงตามปกติ
ด้วยวีซ่านักเรียนแลกเปลียน นับจากวันทีวีซ่าหมดอายุ ออแพร์สามารถอยู่ต่อในประเทศได้อีกสามสิบวันอย่างถูกต้องตามกฏหมายเพื่อการท่องเที่ยวในประเทศอเมริกา
ในขณะที่โครงการทดลองต่อปีสองยังเปิดโอกาสอยู่ ออแพร์สามารถขอเป็นออแพร์อีกหนึ่งปีต่อจากปีแรกได้ เรียกว่าออแพร์ปีที่สองโดยการเป็นออแพร์ปีทีสอง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ
-ค่าใช้จ่ายของแต่ละเอเจนซี่มี ราคา แตกต่างกันนะค่ะ
ค่าใช้จ่ายค่าหลัก โดยทั่วไป ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการต้องจ่าย มีดังต่อไปนี้
ค่าทดสอบก่อนซื้อใบสมัคร( เป็นเรื่องของการทดสอบภาษาอังกฤษ และ จิตวิทยา บางเอเจนซี่ไม่เสีย แต่บางเอเจนซี่เสีย ส่วนใหญ่ไม่แพง ราวๆ 200 บาท)
ค่าใบสมัคร( แต่ละเอเจนซี่ขายใบสมัครไม่เท่ากัน 3,500 -7,000 บาท )
ค่าเข้าร่วมโครงการออแพร์ จ่ายเมื่อผู้สมัครตกลงทำงานกับครอบครัว แต่ละเอเจนซี่ ค่าแม็ทช์ ตัวนี้ไม่เท่ากันนะจ๊ะ ทั้งถูก ทั้งแพง มีหมด พิจารณากันเอา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เกิน 1,000 เหรียญค่ะ
ค่าธรรมเนียมขอวีซ่า อันนี้ออกเองไม่เกียวกับเอเจนซี่ จ่ายตอนยื่นคำร้องขอจองวันสัมภาษณ์ประมาณ 400 บาทและค่าขอวีซ่า จำนวน 4,454 บาท
ค่าใช้จ่ายรอง จะจ่ายมากจ่ายน้อยแล้วแต่บุคคล บางค่า บางคนไม่ต้องจ่ายเพราะมีอยู่แล้วทำไว้แล้ว ค่าเหล่านั้นได้แก่
ค่าเดินทางเข้าเอเจนซี่เพื่อทำธุระต่างๆ
ค่าดำเนินการเอกสารต่างๆ เช่นใบขับขี่รถยนต์ ใบขับขี่รถยนต์สากล ใบรับรองจบ หนังสือเดินทาง(passport) ใบทรานสคริปต์ รูปภาพ ค่าแปลเอกสาร (ในกรณีไปจ้างเขา)
-ติดต่อเอเจนซี่ เพื่อรับการทดสอบภาษาอังกฤษและสัมภาษณ์ หากผ่านการทดสอบจึงสามารถซื้อใบสมัครได้ สำหรับคนที่ไ่ม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กก็สามารถซื้อใบสมัครได้ แล้วค่อยไปเก็บประสบการณ์ที่หลัง ถ้าใครเคยมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาแล้วก็ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าทีเอเจนซี่ทราบ เพื่อทางเขาจะได้พิจารณาได้ว่า จำนวนชั่วโมงพอเพียงกับที่ทางเขาต้องการหรือไม่ และวัยที่ได้เคยเลี้ยงมาตรงตามที่เขาต้องการหรือเปล่า สถานที่แนะนำสำหรับการเก็บประสบการณ์เลี้ยงเด็ก อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี้
-เอเจนซี่จะให้คุณซื้อใบสมัครได้ต่อเมื่อได้ผ่านการสอบวัดระดับภาษาและสัมภาษณ์ รายบุคคลแล้ว เมื่อได้ชุดใบสมัครผู้สมัครจะต้องเตรียมเอกสารและกรอกเอกสารให้เรียบร้อย โดยส่วนใหญ่แล้ว
-เอกสารในชุดใบสมัครที่มีคือ
ใบสมัคร
แบบฟอร์มการตรวจสุขภาพ นำไปให้แพทย์กรอก
แบบฟอร์มรับรองบุคลิกภาพ อย่างน้อยสองฉบับ จากคนที่ไม่ใช่ญาติ อาจจะเป็นจากครู นายจ้าง เป็นต้น
แบบฟอร์มรับรองการเลี้ยงเด็ก อย่างน้อยสองฉบับ จากคนที่รับผิดชอบเราตอนเราเลี้ยงเด็ก
เอกสารที่ต้องส่งแนบไปกับเอกสารใบสมัคร
1.เขียนจดหมายแนะนำตัว ที่เรียกว่า Dear host family จดหมายแนะนำตัวต่างๆ
2.ใบประกาศ First Aid and CPR ถ้ามี แต่บางเอเจนซี่ก็บังคับว่าจะต้องมี
3.ใบขับขี่ ถ้ามี หรือว่าถ้าเอเจนซี่บอกว่าต้องมีก็ต้องไปสอบเอาใบขับขี่มา
4.รูปภาพถ่ายกับเด็กที่เลี้ยง และ รูปภาพถ่ายเกียวกับตัวเราในกิจกรรมทั่วๆ ไป บรรยายภาพด้วยว่าสื่อถืงอะไร หรือภาพนี้พิเศษอย่างไรถึงเลือกมา
5.สำเนาใบรับรองความประพฤติ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อ่านวิธีการขอใบรับรองความประพฤติ(ค่อยทำหลังเเมช)
6.สำเนาหนังสือเดินทาง
หลังจากที่ยื่นเอกสารสมบูรณ์ ก็รอการติดต่อจากโฮสต์ ระยะการรอที่จะได้รับการจากโฮสต์ จะเร็วช้าแค่ไหน อันนี้ขึ้นอยู่แต่ละเอเจนซี่ด้วย เพราะว่านี้เป็นหนึ่งในปัญหาที่ผู้สมัครต้องพิจารณา แต่โดยส่วนใหญ ไม่เกินสามเดือน หลังจากยื่นใบสมัครต้องได้รับการติดต่อจากครอบครัวอเมริกันเข้ามา ถ้าสามเดือนหนึ่งยังไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ เลย ไม่ว่าจะทาง อีเมลล์ โทรศัพท์ ควรติดต่อเอเจนซี่ เพราะอาจมีความผิดพลาดได้
-ออแพร์มีสิทธ์เลือก ครอบครัวที่เหมาะสมเอง ทุกสิ้นทุกอย่าง โดยจะเลือกวัยเด็กที่จะดูแล รัฐที่จะอยู่ หรือ สวัสดิการที่แต่ละบ้านให้พิเศษ กับออแพร ์ทั้งหมดนี้ ออแพร์สามารถใช้เวลาให้นานกันเลยนะค่ะ ในการเลือกครอบครัวที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดกับเรา เพราะว่า เมือไปที่เมกาแล้ว หากคุณต้องการเปลี่ยนครอบครัว จะมีเวลาจำกัด และถ้าเอเจนซี่ี่ไม่มีครอบครัวให้เราตอนเปลียนครบอครัวแล้วละก็ ยิ่งต้องทำใจว่า ต้องได้กลับเมืองไทยแน่นอน
-ดังนั้น การเลือกครอบครัวด้วยความระมัดระวัง พร้อมทั้งสอบถามทุกสิ่งทุกอย่างให้มีความเข้าใจอย่างละเอียด การที่เรารู้มาก ถามมาก ไม่ได้หมายความเราเป็นคนเรื่องมาก หรือเลือกที่จะไม่ไป แต่การที่เราถามมาก จะได้ทำให้เรารู้มากและย่อมทำให้เราเตรียมตัวรับมือได้ถูกต้อง และจะได้ไ่ม่เป็นการคาดหวังเกินความจริง ว่าสิ่งที่จะได้เจอเมื่อเดินทางไปถึงจะเป็นอย่างนั้น อ่านเพิ่มเติมกระทู้การเลือกครอบครัวที่จะไปอยู่ด้วย และ กระทู้คำถามที่ควรถามกับโอสต์
-เมื่อ ผุ้สมัครโครงการ ตกลงแม็ทช์กับครอบครัวเป็นที่เรียบร้อย ทางเอเจนซี่จะ ออกเอกสารสำคัญที่ชื่อว่า DS-2019 ให้แล้วเอาไปยื่นขอวีซ่า โดยวีซ่าที่ออแพร์ได้รับคือ วีซ่า J-1 นักเรียนแลกเปลี่ยน มีอายุ 1 ปี ให้ผู้สมัครนำ เอกสาร DS-2019 แนบกับเอกสารอื่น ๆที่สำคัญดัง แล้วเอาไปยื่นที่สถานทูตจ้า
**การเตรียมเอกสารขอวีซ่า ทางเอเจนจะส่งรายละเอียดให้น้า
ใครสนใจลองอ่านข้อมูล และหาข้อมูลเพิ่มได้จากหลายที่ แนะนำให้หาข้อมูลเยอะๆ อ่านทั้งข้อดี ข้อเสีย แล้วพิจารณาว่าตัวเองเหมาะกับโครงการนี้มั๊ยเนาะ และเดี่ยวเราจะเล่าประสบการณ์ของเรา และแนะนำขั้นตอนต่างๆตามที่เราทำมาให้ฟังไปเรื่อยๆนะค้า
ตอนนี้เราตั้งเพจเพื่อเเชร์ประสบการณ์ต่างๆทั้งสาระและไม่สาระ บ่นบ้าง อาจจะแอบถ่ายรูปหนุ่มๆมาบ้าง ใครอยากติดตามก็ตามกันได้นะค้า หรือใครจะถามข้อมูลอะไรก็ได้น้า ยินดีค่ะ ^^ (ยอมรับเลยเรานี่ชอบส่องชีวิตพี่ๆเพื่อนๆที่เขาไปเมกาแล้ว กดไลน์เพจออแพร์แทบทุกเพจ 555 บางทีไล่ดูเสตัสเขาย้อนไปเป็นปีๆ 55 คือเราดูแล้วเรามีแรงบันดาลใจ เราเห็นรูปเค้า โพสเค้า เราก็จะมีแรงดำเนินการต่อ เลยชอบส่องไปทั่ว55)
ชื่อเพจ >> อิหล้าน้อยในเมืองนอก
https://www.facebook.com/ielhanoiinamerica/
IG>> Phloidao