1 ปีเต็มกับการเป็นออแพร์ ได้พบเจออะไรกันบ้างมาดูกัน

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะมาบอกเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์การเป็นออแพร์ (Aupair) ในอเมริกาของเรา เราชื่อ ลาล่า นะคะ ปัจจุบันเป็นออแพร์อยู่ที่ Olympia, Washington คนชอบเข้าใจว่าเป็น Washington D.C. แต่ไม่ใช่นะคะ วอชิงตันเฉยๆค่ะ อยู่ติดแคนาดา ถ้าเมืองท่องเที่ยวดังๆก็คงจะเป็น Seattle นั่นเอง กระทู้นี้จะค่อนข้างยาวเพราะเราอยากจะแชร์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นและสิ่งที่เราได้พบเจอตลอด 1 ปีเลย

ขอเริ่มจากจุดเริ่มต้นเลยแล้วกัน ตอนแรกเราไม่รู้เลยว่าออแพร์คืออะไร แต่มีเพื่อนที่สนิทกันสมัยมอปลายชอบมาเล่าและปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แรกๆก็ไม่ได้อะไรเพราะนางคุยกับเราเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัยปี 1 แล้วก็เงียบไปจนพอมาช่วงโควิดแรกๆเราอยู่ปีสามจะขึ้นปีสี่ นางก็มาคุยกับเราเรื่องนี้อีกจนเราเริ่มสนใจ พอขึ้นปี 4 ปุ๊ปตอนแรกสนใจจะไปโครงการ Work and Travel ที่อเมริกาแต่ด้วย ณ เวลานั้นทรัพย์สินที่มีไม่เพียงพอในการสมัครและดำเนินการต่างๆ เลยเบนความสนใจไปที่โครงการออแพร์แทน พอเข้าปี 2564 เราก็ใกล้จะจบแล้วอีกแค่ไม่กี่เดือน เราเลยเริ่มศึกษาข้อมูลโครงการและเอเจนซี่ออแพร์ในไทย เราดูไว้หลายที่มากแต่สุดท้ายเราก็เลือกเอเจนซี่ Engenius เพราะราคาดีและดูโอเคสำหรับเรา เจ้าหน้าที่ที่ติดต่อกับเราในตอนนั้นก็มีการตอบคำถามที่ชัดเจนได้ทุกข้อสงสัยและพูดจาดี เราเริ่มสมัครปลายเดือนมีนาคมจากนั้นก็ดำเนินการเก็บเอกสารและชั่วโมงเลี้ยงเด็ก เรามีชั่วโมงการเลี้ยงเด็กจากการรับจ้างเลี้ยงน้องแถวบ้านตั้งแต่ยังอยู่มอปลายและเคยทำพาร์ทไทม์ที่ KidZania Bangkok ซึ่งเรานำมาใช้เป็นชั่วโมงการเลี้ยงเด็กได้ และเราก็ไปเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็กเล็กที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแถวบ้านด้วยหลังจากที่เราสมัคร แต่ความโควิดกำลังระบาดหนักช่วงปลายมีนา-เมษา 64 โรงเรียนเปิดได้ไม่กี่อาทิตย์ก็ปิดยาว จากนั้นปลายพฤษภาเราก็ได้ใบจบอย่างเป็นทางการ เราก็ทำการส่งเอกสารทั้งหมดให้เอเจนซี่ จากนั้นทางไทยก็จะส่งไปให้เอเจนซี่หลักที่อเมริการ (EurAupair) ตรวจสอบ เราโดนแก้เอกสารไป 1-2 รอบเพราะมีบางส่วนที่ข้อมูลไม่ชัดเจน กว่าเราจะได้ออนไลน์ก็ปลายเดือนมิถุนา เรารู้ก่อนจากเอเจนซี่ที่ไทยอีกเพราะว่าเราไปส่องในเว็บออแพร์แล้วเห็นหน้าตัวเองในนั้น ณ ตอนนั้นคือตื่นเต้นมาก พี่ๆในเอเจนซี่ก็พึ่งจะรู้เพราะเราทักไปบอก เหมือนเราจะพึ่งได้ออนไลน์สดๆร้อนๆเลยเนื่องจากทางอเมริกาก็ยังไม่ได้แจ้งทางไทยมาว่าเราได้ออนแล้ว ผ่านไปได้ไม่กี่ชั่วโมงพี่เจ้าหน้าที่ทักมาบอกว่า “น้องลาล่าคะ มีโฮสมาวิว 1 บ้านนะคะ” ตอนนั้นคือตื่นเต้นขั้นสุดไปเลย เพราะเราพึ่งได้ออนแต่ก็แค่นั้น เพราะเขาไม่ได้ทักเรามา เราก็ใจแป้วคิดว่าเขาคงไม่สนใจเราแล้วแต่ก็ไม่ได้หมดหวังเพราะเราพึ่งจะเริ่มต้นเอง แต่ผ่านไปได้ 2 วันโฮสคนนั้นที่มาวิวก็ทักมาหาเรา ยังจำความรู้สึกได้ดี ณ ตอนนั้นเวลาตี 4 เราพึ่งตื่นเตรียมตัวช่วยที่บ้านทำงาน เราจะเช็คโทรศัพท์ทุกครั้งตอนตื่น นอน เช้าวันนั้นเราได้รับอีเมลจากเอเจนซี่ว่ามีข้อความจากโฮสในเว็บออแพร์ของเรา!!

 
ณ ตอนนั้นคือกรี๊ดเลย ดีใจมาก ในที่สุดเขาก็ทักมา เราตื่นเต้นมากไม่รู้จะตอบยังไงดี ความที่ยังเช้ามืดอยู่เราก็ไม่อยากจะทักไปปลุกพี่ๆเจ้าหน้าที่ตั้งแต่เช้าเลยได้แต่รอสายๆหน่อยถึงทักไปปรึกษา เราก็ไปบอกพ่อแม่ เขาก็ดีใจไปกับเราด้วยแต่ก็ไม่ค่อยอยากให้ตกลงเท่าไหร่เพราะความเด็กแฝดอ่อน 2 คน เขากลัวเราจะดูแลไม่ไหว แต่ตอนนั้นเขาพึ่งทักมาไม่ได้จะขอแมทช์ เราก็ไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว ถ้าได้ก็เอาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ใจเรารู้สึกดีด้วยแล้วเพราะเราชอบเด็กอ่อน เป็นแฝดอีกต่างหาก (ช่วงนั้นเราติดตามคุณแม่ในติ๊กต็อกที่มีลูกแฝดวัยเดียวกับบ้านนี้พอดีเลยรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ) พอสายมาเราก็ทักไปขอคำปรึกษากับพี่ที่ดูแล ไม่กล้าตอบเองเพราะกลัวไม่สุภาพพอหรือกลัวพิมพ์อะไรที่จะทำให้โดนปัดตกไปตั้งแต่แรก เที่ยงปุ๊ปเราก็ตอบกลับข้อความโฮส จากนั้นก็ได้ย้ายมาคุยกันใน WhatsApp ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงโฮสเราก็ขอคอลเลย ตอนนั้นตกใจมาก ทำไรไม่ถูกแต่ก็ตอบตกลงไปแล้ว พอเริ่มคุยปุ๊ปเรารู้สึกพลาดมากที่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจให้ดีกว่านี้ก่อนคอล เราเผลอไปทักทายโฮสแบบเป็นกันเองจนเกินไปตั้งแต่ตอนแรก พอรู้สึกตัวเราก็รีบขอโทษ ยังดีที่เขาไม่ติดใจอะไรกับตรงนั้น เขาก็โชว์บ้านให้ดู และบอกข้อมูลคร่าวๆแล้วไม่ค่อยถามอะไรเกี่ยวกับตัวเราเท่าไหร่ แต่ตอนนั้นเน็ตไม่รู้ทางฝั่งไหนกันแน่ คุยได้ไม่นานก็สายตัดเพราะเน็ตค้าง ตอนนั้นเราคิดในใจแล้วว่าเขาอาจจะไม่ค่อยโอเคกับเราแน่ๆเพราะเขาไม่ค่อยถามอะไรเลย เราอ่านมาจากรีวิวหลายๆคนว่าโฮสจะคุยนาน ถามเยอะ บลาๆๆ แต่ของเราคือชิลล์มากจนรู้สึกไม่เหมือนการสัมภาษณ์เลย หลังจากนั้นเราก็คุยกันผ่านทาง WhatsApp และอีเมลคุยกันตลอด 1 สัปดาห์ คุยกันเยอะมากๆ เราถามรายละเอียดต่างๆนู่นนี่นั่น เขาก็ถามเรา เราก็รู้สึกเขาน่าจะเริ่มชอบเราบ้างแล้ว แล้วพอเห็นรูปน้องที่โฮสส่งมาให้เรารู้สึกตกหลุมรักเลยเพราะน้องน่ารักมากๆ พอครบ 1 สัปดาห์จากวันแรกที่คุยกัน เขาก็ขอคอลอีกรอบ เราก็ตกลง เขาแนะนำน้องชายให้ดูด้วยครั้งนี้เพราะน้องชายโฮสก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียว เราก็แนะนำครอบครัวเรา จากนั้นเขาก็ขอเราแมทช์เลยตอนที่คอลกัน แต่ตอนนั้นความที่เรามึนงงและเอ๋อมาก เราไม่รู้ว่าเขาหมายถึงขอแมทช์เพราะไม่ได้พูดคำว่าแมทช์ แต่ถามว่า “Would you like to be a part of our family?” คือจริงๆมันก็ชัดเจนนะ แต่ไม่รู้งงอะไรอะ 555 เราก็บอกไปว่าขอเวลาเราคิดก่อนนะ เดี๋ยวจะตอบกลับให้เร็วที่สุด เราก็ทักไปหาพี่ที่ดูแลว่าเขาเหมือนจะขอแมทช์แต่เราไม่รู้ว่าใช่รึเปล่าเพราะไม่พูดคำว่าแมทช์เลย 555 พี่เขาก็ขำแล้วบอกว่าเขาขอเราแมทช์นั่นแหละ ตอนนั้นเราก็แบบดีใจเลย กรี๊ดลั่นบ้าน เพราะในที่สุดก็จะได้โฮสแล้วแถมยังใช้เวลาไม่นานด้วยเลยยิ่งตื่นเต้น จากนั้นเราก็ตอบกลับโฮสไปว่าตกลง (ช่วงเราย้ายมาแรกๆก็ได้คุยกับโฮสในเรื่องนี้ เขาบอกตอนแรกใจเสียแล้วนึกว่าเราไม่โอเคเพราะเราขอเวลา แต่ความจริงคือเราเอ๋อเอง พอโฮสรู้โฮสก็ขำเลย) เขาก็ทำเรื่องแมทช์ในเว็บ เพื่อที่จะได้ดำเนินการขั้นตอนต่อไปซึ่งก็คือการทำวีซ่านั่นเอง ตอนนั้นโควิดยังระบาดหนัก คิวสัมภาษณ์เลยเปิดน้อยมากและยาวมาก เราจองครั้งแรกได้กลางเดือนพฤษภา 65 เลยแต่ยังดีที่หาคิวหลุดได้ในต้นเดือนกรกฎา 64 เราก็ไปสัมที่กรุงเทพฯ แต่เราไม่ผ่านรอบแรกเนื่องจากคุณสมบัติไม่เพียงพอ ยังจำได้ดีตอนที่เราเดินออกมาจากตึกคือเห็นหน้าแม่ที่ยืนรออยู่ด้านนอกแล้วน้ำตาไหลเลย เราเสียใจหนักมาก เราก็โทรไปบอกพี่ที่ดูแล เขาก็ช่วยปลอบและให้กำลังใจเรา ดีที่เอเจนซี่เราสามารถสัมภาษณ์ได้หลายรอบ เราเลยสมัครใหม่ รอบสองนี้เราเลือกไปเชียงใหม่เลยเพราะกลัวว่าถ้าไปที่กรุงเทพฯอีกแล้วจะไม่ผ่าน ตอนที่บอกโฮสว่าไม่ผ่านเขาก็เครียดแล้ว เราก็เครียดเหมือนกันกลัวเขาจะยกเลิกแมทช์ แต่เราก็ขอโอกาสเขาว่าให้รอเราอีกสักเดือนถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราเข้าใจ โฮสก็ตกลงเพราะเขาบอกว่ารู้สึกชอบเรามาก อยากได้เราจริงๆ ทีนี้รอบสองเราจองคิวได้เดือนกุมภา 65 ก็ยังไกลอยู่ดี เราเลยขอสัมภาษณ์แบบเร่งด่วน ทำเรื่องไปปกติควรจะได้รับการตอบกลับภายใน 2-5 วัน แต่ของเราผ่านไปเป็นเดือนถึงจะได้รับการตอบกลับ โชคดีที่เราจองคิวหลุดได้กลางเดือนสิงหา 64 รอบนี้พี่ที่ดูแลก็ช่วยกันติวเข้มวีซ่าให้เราเลย คืนก่อนวันสัมภาษณ์ก็โทรมาติวให้อีกรอบ และแล้วในที่สุดเราก็ผ่านในรอบนี้ เราขนเอกสารไปเยอะมาก ตอนแรกเขาไม่ขอดูอะไรเลย เราก็พยายามเสนอแต่เขาบอกไม่เป็นไร แต่สุดท้ายเขาก็ขอดูหลักฐานการเลี้ยงเด็กของเราและถามประสบการณ์ของเราอีกรอบ เราก็ตอบทุกอย่างไปแล้วเขาก็บอกยินดีด้วย ณ ตอนนั้นคือเรายิ้มปากจะฉีกถึงรูหูเลย ยิ้มทะลุแมสด้วย เราก็บอกขอบคุณเจ้าหน้าที่ จากนั้นก็เดินออกมาด้วยความร่าเริงเลยรอบนี้ อ้อ เราบนไว้ด้วย บนกับหลวงพ่อโสธรตั้งแต่ตอนเราเริ่มสมัครเลย พอสัมภาษณ์เสร็จเดินออกมาจากตึกเราก็ทักไปบอกพี่ที่ดูแลก่อนเลยจากนั้นก็บอกโฮส ทุกคนดีใจกับเรามากๆ แต่เราไม่ได้ตอบกลับใครเลยเพราะแบตโทรศัพท์จะหมดและไม่มีที่ชาร์จด้วยและต้องนั่งรถกลับกรุงเทพฯทั้งวัน กว่าจะได้ตอบกลับใครก็วันใหม่แล้ว จากนั้นก็ได้เริ่มซื้อของเตรียมตัวแพ็คกระเป๋าแล้ว เพราะโฮสก็อยากให้บินเร็วที่สุดเนื่องจากช่วงนั้นโควิดยังรุนแรงอยู่และหลายๆประเทศก็เริ่มปิดประเทศอีกครั้ง เราได้บินปลายเดือนสิงหาคมเลย ต้องขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่ Engenius ทุกคนเลยที่คอยช่วยในทุกขั้นตอน ช่วยแบบเต็มที่จริงๆ บางคนดึกแค่ไหนก็ยังตอบ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่