ตามรอยสายโลหิต...อยุธยาเกษมสุข แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์ จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์ นับวันมีแต่จะเสื่อมสูญเอย

สวัสดีครับ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคนนะครับ
ผมขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาแนะนำและเป็นกำลังให้ผมสำหรับกระทู้ที่แล้ว
"ตามรอยสายโลหิต...ชมตลาด ตามหาเรือนดาวเรือง เรือนขุนไกร เรือนหมื่นทิพ" http://ppantip.com/topic/35853936
เดิมทีตั้งใจว่า พอจบชมตลาดกับหาเรือนแล้วตามรอย "กรุงแตก" ให้ทันก่อนละครจบ
แต่ด้วยภารกิจงานที่รัดตัว จึงไม่สามารถทำได้ทันท่วงทีก็ต้องขออภัยนะครับ
เมื่อมีเวลาอันน้อยนิด ก็รีบคว้ากล้องขับรถไปอยุธยา เพื่อตามรอย "กรุงแตก" ทันที
ดังนั้น การตามรอยครั้งนี้ ผมจะข้ามวัดที่สำคัญ และเป็นวัดที่ทุกน่าจะเคยไปแล้วนะครับ
คือ วัดหน้าพระเมรุ วัดพุทไธสวรรค์ วัดไชยวัฒนาราม
และผมต้องขอขอบคุณ แผนที่โบราณที่อ.วรนัย ทำไว้ใน Blog ของอาจารย์ด้วยนะครับ http://oknation.nationtv.tv/blog/voranai

หลวงไกรพูดกับหลวงเทพว่า ตอนนี้ มีค่ายที่ป้องกันนอกพระนคร 4 ทิศ
ทิศเหนือค่ายเพนียดวัดพระเมรุ ทิศใต้ค่ายวัดพุทไธสวรรค์ ทิศตะวันออกค่ายวัดพิชัย ทิศตะวันตกค่ายวัดไชยวัฒนาราม
ทิศเหนือแตกแล้ว ทิศตะวันออกพระยาตากก็ทิ้งค่ายไปแล้ว ต่อมาค่ายพุทไธสวรรค์ก็แตก ค่ายวัดไชยวัฒนารามก็แตกตามมา
เมื่อค่ายของไทยถูกพม่าตีแตกหมดทุกค่าย จึงเข้ามาในกำแพงเมืองทั้งหมด พม่าจึงสามารถยกทัพเข้ามาตั้งค่ายล้อมกำแพงเมืองได้
โดยมีเพียงแม่น้ำสามสายขวางกั้นเท่านั้น จากนั้นพม่าก็ตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ 27 ค่าย สร้างหอรบยิงปืนเข้าไปกำแพงเมืองทุกวัน
โดยเฉพาะด้านเหนือ ที่วัดกุฎีดาว วัดสามพิหาร วัดศรีโพธิ์ วัดนางชี วัดแม่นางปลื้ม วัดมณฑป ยิงปืนใหญ่มากกว่าปกติ เพราะใกล้วังหลวง

วัดกุฎีดาว สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น ปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
ฐานอาคารมีลักษณะศิลปะสถาปัตยกรรมแบบอยุธยา  คือหน้าสูงหลังสูงแอ่นโค้งคล้ายท้องเรือสำเภาหรือที่เรียกว่าแอ่นท้องช้าง


พระอุโบสถ มีการสร้างหน้าจริงกับหน้าต่างหลอกสลับกันเพื่อรับโครงสร้างน้ำพระอุโบสถขนาดใหญ่








พระเจดีย์





พระวิหาร





มุมที่พระวิหาร พระเจดีย์ พระอุโบสถ เรียงกัน



ด้านนอกติดกับวัดกฎีดาว คือ "ตำหนักกำมะเลียน"
เป็นอาคาร 2 ชั้น อาคารเป็นปูนพื้นเป็นไม้ ไม่ปรากฏหลักฐานเอกสารชัดเจนเกี่ยวกับประวัติการสร้าง
มีแต่เพียงข้อความในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า ได้รับการบูรณะในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศในขณะที่ดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราช







หลวงไกรได้บอกกับหลวงเทพว่า ค่ายที่กลัวที่สุดคือ 3 ค่าย ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงข้ามกับ "ป้อมมหาชัย"
เพราะเป็นจุดที่ลำน้ำแคบที่สุด ทั้ง 3 ค่าย คือ ค่ายวัดมณฑป ค่ายแม่นางปลื้ม และค่ายวัดสามพิหาร





ป้อมมหาชัย ปัจจุบัน คือ ตลาดหัวรอ ครับ


วัดมณฑป เป็นวัดที่อยู่บนเกาะลอยมีแม่น้ำล้อมรอบ ต้องใช้เรือข้ามไปครับ



วัดมณฑป อยู่ตรงข้ามกับพระราชวังจันทรเกษม หรือวังหน้า ในสมัยอยุธยา ครับ
พระราชวังจันทรเกษม สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เพื่อให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ยามเสด็จจากเมืองพิษณุโลกเพื่อมาเฝ้าพระราชบิดาที่กรุงศรีอยุธยา


















วัดแม่นางปลื้ม
วัดนี้มีตำนานเล่าว่า วันหนึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จพายเรือมาแต่พระองค์เดียวท่ามกลางสายฝน
เมื่อเสด็จมาถึงเห็นกระท่อมยังมีแสงตะเกียงอยู่ เวลานั้นค่ำแล้วพระองค์จึงได้แวะขึ้นมาในกระท่อม
เมื่อแม่ปลื้มเห็นชายฉกรรจ์เสื้อผ้าเปียกเดินขึ้นมา จึงได้กล่าวเชื้อเชิญต้อนรับด้วยความมีน้ำใจ
แต่พระองค์ท่านเสียงดังตามบุคลิกของนักรบชายชาตรีแม่ปลื้มจึงได้กล่าวเตือนว่า
ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าเสียงดังนักเลย เวลานี้ค่ำมากแล้ว เดี๋ยวพระเจ้าแผ่นดินท่านทรงได้ยินจะโกรธเอา
พระองค์กลับตรัสด้วยเสียงดังว่า ข้าอยากดื่มน้ำจัณฑ์ ข้าเปียกฝน ข้าหนาว อยากได้น้ำจัณฑ์ให้ร่างกายอบอุ่น
พลันแม่ปลื้มยิ่งตกใจมากขึ้น เพราะว่าวันนี้เป็นวันพระ แม่ปลื้มได้กล่าวว่าถ้าจะดื่มจริงๆ เจ้าต้องสัญญาไม่ให้เรื่องแพร่งพราย
เดี๋ยวพระเจ้าแผ่นดินรู้จะอันตราย พระองค์รับปาก แม่ปลื้มจึงได้หยิบน้ำจัณฑ์ให้ดื่ม
พระองค์ได้เสด็จประทับค้างคืนที่บ้านแม่ปลื้มก่อนจะเสด็จกลับวังในตอนเช้า
ต่อมาพระองค์จัดขบวนมารับแม่ปลื้มไปเลี้ยงในวัง ด้วยความที่แม่ปลื้มเป็นคนมีเมตตา จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
หลังจากแม่ปลื้มได้เสียชีวิตลง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้จัดงานศพให้อย่างสมเกียรติ
ต่อมาพระองค์ได้บูรณะวัด ซึ่งเป็นวัดร้างอยู่ เพื่อเป็นการอุทิศบุญกุศลให้แก่แม่ปลื้ม และให้นามว่า “วัดแม่นางปลื้ม”








วัดสามวิหาร
มีชื่อเรียกในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่าวัดสามพิหาร ฝ่ายข้าศึกมักจะเข้ามาใช้เป็นที่ตั้งค่าย
เพราะที่ตั้งวัดสามวิหารตั้งอยู่นอกเมืองแต่ไม่ไกลกำแพงเมือง








ถ้ามุมจากมุมยิงปืนใหญ่จะสามารถมองได้สามมุมคือ
มุมวัดมณฑป

มุมวัดแม่นางปลื้ม

มุมวัดสามวิหาร


เมื่อพม่าล้อมกรุงไว้หมดแล้ว กลยุทธ์ที่พม่านำมาใช้ในการรบคราวนี้ก็คือ ปิดล้อมกรุงไว้แม้น้ำจะท่วมก็ไม่ถอย
เปลี่ยนจากการเอาบันไดพาดปีนข้ามกำแพงมาเป็นการขุดอุโมงค์มุดลงใต้กำแพง โดยเริ่มขุดอุโมงค์ลอดตัวกำแพงอยุธยาทางด้านหัวรอ
ซึ่งเป็นจุดที่แคบที่สุดของคู 5 อุโมงค์ เมื่อพม่าระดมยิงปืนใหญ่ จึงเกิดไฟไหม้ใหญ่ในกำแพงเมือง บ้านเรือนไหม้ไปกว่า 10,000 หลัง
ทำให้คนในกำแพงไม่มีที่พักอาศัยหลายหมื่นคน ต้องเผชิญกับความตาย ไร้ที่อยู่ทั้งขาดแคลนอาหาร กำลังใจและกำลังกายก็ถดถอยลง
พระเจ้าเอกทัศน์ จึงเจรจากับพม่าขอเลิกรบแต่แม่ทัพพม่าไม่ยอมเลิก

ในวันที่กรุงแตกนั้น เวลาประมาณบ่ายสามโมง พม่าจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรงหัวรอที่ริมป้อมมหาชัย ระดมยิงปืนใหญ่
พอพลบค่ำกำแพงเมืองตรงที่เอาไฟสุมก็พังทรุดลง เวลา 2 ทุ่ม ทหารพม่าก็บุกทำลายกรุงศรีอยุธยาพร้อมกันทุกด้าน
ทหารอยุธยาที่รักษาหน้าที่เหลือกำลังจะต่อสู้ พม่าก็สามารถเข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทาง










อยุธยาเกษมสุข แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์ จะเป็นเมืองแพศยาอาทัณ นับวันมีแต่จะเสื่อมสูญเอย

***ยังมีต่อนะครับ****
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่