" ทุกอย่างอยู่ที่มุมมอง ความสร้างสรรค์เกิดได้ทุกที่ " เชื่อว่าทุกๆคนคงจะมีบางสิ่งในใจที่ไม่ชอบ ที่กลัว แต่บางทีก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้เราเลยจะพาทุกท่านไปรู้จักกับผลงานชิ้นหนึ่ง ที่พวกเราได้มีโอกาสไปมาค่ะ
“100 ต้นสนแกลเลอรี่” สถานที่แสดงผลงานศิลปะให้เหล่าศิลปินได้แวะเวียนมาอวดผลงานอย่างไม่ขาดสาย บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความสงบ ตัวตึกถูกออกแบบมาอย่างเรียบๆ ดูเป็นส่วนตัวเสมือนกับเป็นบ้านสำหรับพักอาศัยมากกว่าสถานที่จัดงาน เมื่อเดินเข้าไปสิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ บรรยากาศที่เงียบสงบ พื้นที่สำหรับการต้อนรับดูหรูหรา และมีกลิ่นอายที่เหมาะกับการจัดงานนิทรรศการ
หลังจากที่เราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆ ตัวไปแล้ว ที่แผนกต้อนรับ พี่ๆ เจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ทั้งบอกเรื่องราวที่ศิลปินต้องการจะสื่ออย่างคร่าวๆ และยังพบกับสัญลักษณ์ของงาน คือ ภูเขาไฟที่ควันลอยออกมาเป็นตัวอักษรบรรยากาศมาคุ พร้อมตาที่เป็นเครื่องหมายกากบาท
ทั้งนี้กฏในการเยี่ยมชมนิทรรศการหลักๆ มีอยู่ 3 ข้อ คือ
1. ห้ามนำน้ำและอาหารเข้าไปภายในงาน
2. ห้ามวางของพิงหรือทับผลงานของศิลปิน
3. ไม่ควรสัมผัสงานของศิลปิน เพราะสียังไม่แห้งดี และอาจทำให้งานเสียหายได้
** สามารถถ่ายรูปได้ตามความชอบเลยค่ะ **
และเมื่อเดินเข้าไปภายในงาน จะพบกับผลงานของพี่ยุรี (ศิลปินที่เป็นผู้สร้างสรรค์ภาพวาดเหล่านี้) ที่ถูกจัดวางภาพวาดไว้ทั้ง 4 ด้านของกำแพง ซึ่งเมื่อเราได้ดูแล้วจึงเหมือนกับหลุดเข้าไปอยู่ในนิทานร่วมกับตัวการ์ตูนต่างๆ ถึงแม้จะน่ารักมุ้งมิ้ง แต่ก็แฝงไปด้วยเหตุการณ์เลวร้าย และปัญหาของคนทั่วโลก โดยชื่อของคอนเซ็ปต์งานในครั้งนี้ได้นำมาจากภาพยนตร์โทรทัศน์ของญี่ปุ่น เรื่อง “ตำรวจอวกาศเกียบัน” ที่ในมิติมีแต่ความชั่วร้ายจนทำให้รู้สึกอึดอัดจึงเป็นที่มาของคำว่า “บรรยากาศมาคุ” นั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีโซนขายของที่ระลึกไว้สำหรับใครที่ชื่นชอบผลงานหัวข้อต่างๆของศิลปินด้วยนะคะ ทั้งเสื้อ กระเป๋า ปฏิทิน พวงกุญแจ ฯลฯ ภายในรูปที่เห็นจะมีทีวีสำหรับแสดงกระบวนการในการทำงานของศิลปิน มุมมองความคิดที่ศิลปินจะกล่าวถึงผลงานของตัวเอง และใครที่อยากเห็นอยากได้ยินเสียงของศิลปินก็สามารถมาดูได้ที่นี่ค่ะ
พอหลังจากที่ได้เยี่ยมชมบรรยากาศรอบๆ ของงานแล้ว ส่วนต่อไปก็จะขออธิบายถึงผลงานแต่ละงานของพี่ยุรีที่ได้ไปชมมากันเล้ยย
งานแรกคือภาพที่ชื่อว่า “สัตว์ดุร้าย”
จะเห็นได้ว่า สัตว์ทุกตัวที่อยู่บนผนังพวกนี้ เป็นสัตว์ดุร้ายทั้งสิ้น และหลายคนต้องเคยรู้สึกกลัวพวกมันตัวใดตัวหนึ่งอย่างแน่นอน แต่พี่ยุรี ได้เลือกใช้เทคนิควิธีคิดในการตีความภาพคล้ายกับการ์ตูนต่างๆสำหรับเด็ก ที่เราเห็นในปัจจุบัน ทำให้สัตว์พวกนี้ออกมาน่ารัก มีลูกเล่นตลกๆ มองแล้วไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัว แต่มันกลับทำให้ดูน่าขำขัน และ ดูไร้พิษภัย ถึงแม้ว่าในโลกของความเป็นจริง สัตว์เหล่านี้คงไม่มีทางน่ารัก สิงโตคงไม่ได้ขนฟูดูนุ่มนิ่ม และจระเข้คงไม่ได้มีผมทรงเท่บาดใจขนาดนี้ แต่ในโลกของจินตนาการ มันไร้ซึ่งขีดจำกัด และนั่นเป็นวิธีที่พี่ยุรีใช้สยบความกลัวของตัวเอง ซึ่งคนอื่นๆก็สามารถก็นำไปใช้ได้เช่นกันค่ะ
งานที่สองคือภาพที่ชื่อว่า “ออกอาการแพ้อาหาร”
ภาพนี้สื่อถึงว่า เมื่อคนเราผ่านประสบการณ์เฉียดตายกับอะไรซักอย่าง คงไม่แปลกที่เราจะกลัวมัน พี่ยุรีเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องผ่านห้วงเวลานั้นกับอาหารที่เธอแพ้อย่างรุนแรง ภาพบนฝาผนังเหล่านี้คือภาพอาหารต่างๆที่เธอแพ้ มันถูกละเลงด้วยสีสันที่ทำให้ดูน่าพิศวง แต่ถ้าเราลองมองไปยังมุมขวาด้านล่างของรูปภาพจะเห็นภาพของเด็กผู้หญิงที่กำลังขี่กุ้งล็อบสเตอร์ ซึ่งสีหน้าของเธอและแส้ที่กำลังตวัดออกไป มันบอกได้ถึงความกล้า และ “ ไม่กลัว” ซึ่งเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ คือ ตัวพี่ยูรีเองจากจินตนาการ เธอวาดมันออกมาเพื่อฝ่าฟันกับความกลัว และบอกกับตัวเองว่า เราเอาชนะมันได้ เราเป็นนายของมัน แม้แข็งแกร่งไม่ได้ด้วยร่างกาย แต่ก็แข็งแกร่งได้ด้วยจิตใจ
งานที่สามเป็นภาพที่ชื่อว่า ดินแดนแห่ง “เงือก”
ถ้าเพื่อนของเรามาพูดกับเราว่า “เธอหน้า ‘เงือก’ จังเลย” เราคงสงสัยว่ามันหมายความว่าอย่างไร นางเงือกในเดอะลิตเติ้ลเมอร์เมดหรือป่าว แต่ความจริงแล้วคำว่า ‘เงือก’ มีความหมายที่ไม่น่ารื่นรมย์เท่าไหร่ เป็นศัพท์แสลงเฉพาะกลุ่มที่แปลว่า “น่าเกลียด น่าขยะแขยง หรือ น่าเบื่อ” ซึ่งพี่ยุรีเลือกใช้การเล่นคำกับงานของเธอ ถ้าเรามองไปที่ภาพ จะสังเกตเห็นว่าในทะเลมีแต่ขยะและสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย แต่เงือกกลับไม่ได้แยแสใส่ใจและยังคงสนุกสนานร่าเริงไปตามปกติสุข เปรียบเทียบเหมือนกับคนเราที่เพิกเฉยต่อสิ่งไม่ดีที่เห็นและใกล้ตัว ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นการกระทำที่น่าเกลียด หรือ อาจจะพูดเหมือนพี่ยุรีว่า เป็นการกระทำที “เงือก มาก”
ภาพสุดท้ายคือภาพที่มีชื่อว่า “มหันตภัยพิบัติ”
แน่นอนว่าเป็นภาพที่เกี่ยวกับเรื่องของธรรมชาติอย่างแน่นอน โดยในรูปภาพมีทั้งสึนามิสีหวานแหวว และโครงกระดูกงงงวยบนเรือโนอาห์ ถึงสีจะไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกกลัว แต่ภาพได้แฝงถึงภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ที่เจ้าของบ้านต้องเอาชีวิตรอดด้วยการหนีขึ้นไปอยู่บนหลังคา หรือรูปต่อมาที่ดูแปลกตาไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือ รูปโครงกระดูกมีชีวิตที่นั่งอยู่บนเรือ ทำท่าเหมือนตกใจ และ งง กับสิ่งที่เป็นอยู่ ซึ่งภาพนี้พี่ยุรีต้องการจะสะท้อนสังคม เรื่องของสถานการณ์การหาที่อยู่อาศัยของผู้อพยพ ซึ่งในหลายพื้นที่ทั่วโลกกำลังเจอกับปัญหานี้อยู่ เช่น ชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงยาที่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ในภาคใต้ของประเทศไทย ถึงแม้ว่าภาพที่อยู่บนผนังจะถูกวาดด้วยสีสันที่สดใสและไม่ได้ทำให้รู้สึกหดหู่ แต่ความหมายของภาพคนดูสามารถที่จะเข้าใจได้โดยง่ายและคงไม่ได้รู้สึกดีกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น แต่มันเป็นธรรมชาติที่ไม่มีมนุษย์คนไหนกำหนดมันได้ จึงต้องยอมรับและมีสติหากต้องเจอกับเหตุการณ์เหล่านั้นเอง
จากการที่ได้ดูงานทั้ง 4 งานแล้วล้วนเป็นงานที่น่าสนใจมากค่ะ แต่ถ้าพูดถึงงานที่ชื่นชอบที่สุดแล้วล่ะก็ คงเป็นงานของภาพที่มีชื่อว่า “สัตว์ดุร้าย” ที่ชื่นชอบผลงานนี้ เพราะว่า เป็นงานที่เมื่อดูแล้ว พวกเราก็ได้เข้าใจในทันทีว่าภาพนี้ต้องการจะสื่อถึงว่า บนโลกมนุษย์มีสัตว์ดุร้ายที่เป็นอันตรายต่อพวกเราเต็มไปหมด เช่น หมี ฉลาม จระเข้ งู แมงกะพรุน ฯลฯ แต่พี่ยุรีก็ได้เลือกที่จะเปลี่ยนความกลัวจากสัตว์ร้ายเหล่านั้นให้กลายเป็นตัวการ์ตูนที่น่ารักและมีความตลกขบขันไร้ซึ่งพิษภัยต่างๆ พี่ยุรีต้องการจะสื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าจริงๆ แล้วสัตว์เหล่านี้อาจเป็นสัตว์ที่ไม่ได้ดุร้ายอย่างที่เห็น และนอกจากนี้ยังมีการนำขนสัตว์เทียมมาใส่ในรูปภาพเพราะต้องการให้เด็กๆ รักสัตว์และมีจิตใจที่อ่อนโยน เห็นคุณค่าของธรรมชาติด้านบวกและไม่กลัวสัตว์เหล่านี้ ซึ่งลูกเล่นต่างๆ ที่พี่ยุรีได้ทำออกมานั้นก็มีหลายอย่างที่ทำให้สัตว์เหล่านี้ดูแปลกตาไปจากเดิม คือ ในรูปภาพสัตว์ต่างๆ ดูมีสีสันสดใสและไร้ความน่าเกลียดน่ากลัวโดยสิ้นเชิง มีการเพิ่มของต่างๆ ในตัวสัตว์อย่างเช่น กบกำลังยิ้มและมีสายรุ้งบนหัว , หมีกำลังยิ้มและโบกมือ เป็นต้น โดยรวมแล้วสรุปว่า งานชิ้นนี้ทำให้พวกเราได้แรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นในเรื่องของการใช้ชีวิตเพราะเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว สัตว์ดุร้ายก็เหมือนกับการที่พบเจอคนที่ร้าย ในโลกมนุษย์เรายังต้องพบเจอผู้คนอีกหลายรูปแบบ มีทั้งดีและร้าย ฉะนั้นเราจงอย่าไปกลัว เปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นสิ่งที่คิดว่าง่ายสำหรับเราและเราจะผ่านมันไปให้ได้ จงกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นแล้วคุณจะเป็นคนที่เข้มแข็งและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขนะคะ
ทั้งหมดนี้ก็คือผลงานของพี่ยุรีที่ตั้งใจสร้างสรรค์ออกมาเพื่อเป็นแนวคิดให้กับเยาวชนถือเป็นงานที่มีคุณภาพอีกงานมากจริงๆ ค่ะ อยากให้ทุกคนได้ลองมาที่ 100 ต้นสน แกลลอรี่ เผื่อใครที่กำลังหาไอเดียใหม่ๆ และแนวคิดดีๆ แนะนำเลยว่า ที่นี่จะทำให้คุณเปิดใจและเพลิดเพลินไปกับผลงานต่างๆ อย่างแน่นอน
และสำหรับใครที่สนใจอยากจะเดินทางมาที่นี่ก็สามารถมาได้โดยช่องทางดังต่อไปนี้
- มาได้ทั้ง BTS ชิดลม และ เพลินจิต (แกลเลอรี่อยู่ในซอยต้นสน)
อยู่ตรงข้ามกับสถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์
***แกลเลอรี่เปิดให้เข้าชม วันพฤหัสบดี-วันอาทิตย์ เวลา 11.00-19.00 น.***
ส่วนข้างล่างนี้ก็คือแผนที่การเดินทางคร่าวๆ น้า สามารถดูแผนที่ประกอบได้เลย
[SR] บรรยากาศ "มาคุ" ผลงานสร้างสรรค์จาก 100 ต้นสนแกลเลอรี่
“100 ต้นสนแกลเลอรี่” สถานที่แสดงผลงานศิลปะให้เหล่าศิลปินได้แวะเวียนมาอวดผลงานอย่างไม่ขาดสาย บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความสงบ ตัวตึกถูกออกแบบมาอย่างเรียบๆ ดูเป็นส่วนตัวเสมือนกับเป็นบ้านสำหรับพักอาศัยมากกว่าสถานที่จัดงาน เมื่อเดินเข้าไปสิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ บรรยากาศที่เงียบสงบ พื้นที่สำหรับการต้อนรับดูหรูหรา และมีกลิ่นอายที่เหมาะกับการจัดงานนิทรรศการ
หลังจากที่เราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆ ตัวไปแล้ว ที่แผนกต้อนรับ พี่ๆ เจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ทั้งบอกเรื่องราวที่ศิลปินต้องการจะสื่ออย่างคร่าวๆ และยังพบกับสัญลักษณ์ของงาน คือ ภูเขาไฟที่ควันลอยออกมาเป็นตัวอักษรบรรยากาศมาคุ พร้อมตาที่เป็นเครื่องหมายกากบาท
ทั้งนี้กฏในการเยี่ยมชมนิทรรศการหลักๆ มีอยู่ 3 ข้อ คือ
1. ห้ามนำน้ำและอาหารเข้าไปภายในงาน
2. ห้ามวางของพิงหรือทับผลงานของศิลปิน
3. ไม่ควรสัมผัสงานของศิลปิน เพราะสียังไม่แห้งดี และอาจทำให้งานเสียหายได้
** สามารถถ่ายรูปได้ตามความชอบเลยค่ะ **
และเมื่อเดินเข้าไปภายในงาน จะพบกับผลงานของพี่ยุรี (ศิลปินที่เป็นผู้สร้างสรรค์ภาพวาดเหล่านี้) ที่ถูกจัดวางภาพวาดไว้ทั้ง 4 ด้านของกำแพง ซึ่งเมื่อเราได้ดูแล้วจึงเหมือนกับหลุดเข้าไปอยู่ในนิทานร่วมกับตัวการ์ตูนต่างๆ ถึงแม้จะน่ารักมุ้งมิ้ง แต่ก็แฝงไปด้วยเหตุการณ์เลวร้าย และปัญหาของคนทั่วโลก โดยชื่อของคอนเซ็ปต์งานในครั้งนี้ได้นำมาจากภาพยนตร์โทรทัศน์ของญี่ปุ่น เรื่อง “ตำรวจอวกาศเกียบัน” ที่ในมิติมีแต่ความชั่วร้ายจนทำให้รู้สึกอึดอัดจึงเป็นที่มาของคำว่า “บรรยากาศมาคุ” นั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีโซนขายของที่ระลึกไว้สำหรับใครที่ชื่นชอบผลงานหัวข้อต่างๆของศิลปินด้วยนะคะ ทั้งเสื้อ กระเป๋า ปฏิทิน พวงกุญแจ ฯลฯ ภายในรูปที่เห็นจะมีทีวีสำหรับแสดงกระบวนการในการทำงานของศิลปิน มุมมองความคิดที่ศิลปินจะกล่าวถึงผลงานของตัวเอง และใครที่อยากเห็นอยากได้ยินเสียงของศิลปินก็สามารถมาดูได้ที่นี่ค่ะ
พอหลังจากที่ได้เยี่ยมชมบรรยากาศรอบๆ ของงานแล้ว ส่วนต่อไปก็จะขออธิบายถึงผลงานแต่ละงานของพี่ยุรีที่ได้ไปชมมากันเล้ยย
งานแรกคือภาพที่ชื่อว่า “สัตว์ดุร้าย”
จะเห็นได้ว่า สัตว์ทุกตัวที่อยู่บนผนังพวกนี้ เป็นสัตว์ดุร้ายทั้งสิ้น และหลายคนต้องเคยรู้สึกกลัวพวกมันตัวใดตัวหนึ่งอย่างแน่นอน แต่พี่ยุรี ได้เลือกใช้เทคนิควิธีคิดในการตีความภาพคล้ายกับการ์ตูนต่างๆสำหรับเด็ก ที่เราเห็นในปัจจุบัน ทำให้สัตว์พวกนี้ออกมาน่ารัก มีลูกเล่นตลกๆ มองแล้วไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัว แต่มันกลับทำให้ดูน่าขำขัน และ ดูไร้พิษภัย ถึงแม้ว่าในโลกของความเป็นจริง สัตว์เหล่านี้คงไม่มีทางน่ารัก สิงโตคงไม่ได้ขนฟูดูนุ่มนิ่ม และจระเข้คงไม่ได้มีผมทรงเท่บาดใจขนาดนี้ แต่ในโลกของจินตนาการ มันไร้ซึ่งขีดจำกัด และนั่นเป็นวิธีที่พี่ยุรีใช้สยบความกลัวของตัวเอง ซึ่งคนอื่นๆก็สามารถก็นำไปใช้ได้เช่นกันค่ะ
งานที่สองคือภาพที่ชื่อว่า “ออกอาการแพ้อาหาร”
ภาพนี้สื่อถึงว่า เมื่อคนเราผ่านประสบการณ์เฉียดตายกับอะไรซักอย่าง คงไม่แปลกที่เราจะกลัวมัน พี่ยุรีเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องผ่านห้วงเวลานั้นกับอาหารที่เธอแพ้อย่างรุนแรง ภาพบนฝาผนังเหล่านี้คือภาพอาหารต่างๆที่เธอแพ้ มันถูกละเลงด้วยสีสันที่ทำให้ดูน่าพิศวง แต่ถ้าเราลองมองไปยังมุมขวาด้านล่างของรูปภาพจะเห็นภาพของเด็กผู้หญิงที่กำลังขี่กุ้งล็อบสเตอร์ ซึ่งสีหน้าของเธอและแส้ที่กำลังตวัดออกไป มันบอกได้ถึงความกล้า และ “ ไม่กลัว” ซึ่งเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ คือ ตัวพี่ยูรีเองจากจินตนาการ เธอวาดมันออกมาเพื่อฝ่าฟันกับความกลัว และบอกกับตัวเองว่า เราเอาชนะมันได้ เราเป็นนายของมัน แม้แข็งแกร่งไม่ได้ด้วยร่างกาย แต่ก็แข็งแกร่งได้ด้วยจิตใจ
งานที่สามเป็นภาพที่ชื่อว่า ดินแดนแห่ง “เงือก”
ถ้าเพื่อนของเรามาพูดกับเราว่า “เธอหน้า ‘เงือก’ จังเลย” เราคงสงสัยว่ามันหมายความว่าอย่างไร นางเงือกในเดอะลิตเติ้ลเมอร์เมดหรือป่าว แต่ความจริงแล้วคำว่า ‘เงือก’ มีความหมายที่ไม่น่ารื่นรมย์เท่าไหร่ เป็นศัพท์แสลงเฉพาะกลุ่มที่แปลว่า “น่าเกลียด น่าขยะแขยง หรือ น่าเบื่อ” ซึ่งพี่ยุรีเลือกใช้การเล่นคำกับงานของเธอ ถ้าเรามองไปที่ภาพ จะสังเกตเห็นว่าในทะเลมีแต่ขยะและสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย แต่เงือกกลับไม่ได้แยแสใส่ใจและยังคงสนุกสนานร่าเริงไปตามปกติสุข เปรียบเทียบเหมือนกับคนเราที่เพิกเฉยต่อสิ่งไม่ดีที่เห็นและใกล้ตัว ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นการกระทำที่น่าเกลียด หรือ อาจจะพูดเหมือนพี่ยุรีว่า เป็นการกระทำที “เงือก มาก”
ภาพสุดท้ายคือภาพที่มีชื่อว่า “มหันตภัยพิบัติ”
แน่นอนว่าเป็นภาพที่เกี่ยวกับเรื่องของธรรมชาติอย่างแน่นอน โดยในรูปภาพมีทั้งสึนามิสีหวานแหวว และโครงกระดูกงงงวยบนเรือโนอาห์ ถึงสีจะไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกกลัว แต่ภาพได้แฝงถึงภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ที่เจ้าของบ้านต้องเอาชีวิตรอดด้วยการหนีขึ้นไปอยู่บนหลังคา หรือรูปต่อมาที่ดูแปลกตาไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือ รูปโครงกระดูกมีชีวิตที่นั่งอยู่บนเรือ ทำท่าเหมือนตกใจ และ งง กับสิ่งที่เป็นอยู่ ซึ่งภาพนี้พี่ยุรีต้องการจะสะท้อนสังคม เรื่องของสถานการณ์การหาที่อยู่อาศัยของผู้อพยพ ซึ่งในหลายพื้นที่ทั่วโลกกำลังเจอกับปัญหานี้อยู่ เช่น ชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงยาที่ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ในภาคใต้ของประเทศไทย ถึงแม้ว่าภาพที่อยู่บนผนังจะถูกวาดด้วยสีสันที่สดใสและไม่ได้ทำให้รู้สึกหดหู่ แต่ความหมายของภาพคนดูสามารถที่จะเข้าใจได้โดยง่ายและคงไม่ได้รู้สึกดีกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น แต่มันเป็นธรรมชาติที่ไม่มีมนุษย์คนไหนกำหนดมันได้ จึงต้องยอมรับและมีสติหากต้องเจอกับเหตุการณ์เหล่านั้นเอง
จากการที่ได้ดูงานทั้ง 4 งานแล้วล้วนเป็นงานที่น่าสนใจมากค่ะ แต่ถ้าพูดถึงงานที่ชื่นชอบที่สุดแล้วล่ะก็ คงเป็นงานของภาพที่มีชื่อว่า “สัตว์ดุร้าย” ที่ชื่นชอบผลงานนี้ เพราะว่า เป็นงานที่เมื่อดูแล้ว พวกเราก็ได้เข้าใจในทันทีว่าภาพนี้ต้องการจะสื่อถึงว่า บนโลกมนุษย์มีสัตว์ดุร้ายที่เป็นอันตรายต่อพวกเราเต็มไปหมด เช่น หมี ฉลาม จระเข้ งู แมงกะพรุน ฯลฯ แต่พี่ยุรีก็ได้เลือกที่จะเปลี่ยนความกลัวจากสัตว์ร้ายเหล่านั้นให้กลายเป็นตัวการ์ตูนที่น่ารักและมีความตลกขบขันไร้ซึ่งพิษภัยต่างๆ พี่ยุรีต้องการจะสื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าจริงๆ แล้วสัตว์เหล่านี้อาจเป็นสัตว์ที่ไม่ได้ดุร้ายอย่างที่เห็น และนอกจากนี้ยังมีการนำขนสัตว์เทียมมาใส่ในรูปภาพเพราะต้องการให้เด็กๆ รักสัตว์และมีจิตใจที่อ่อนโยน เห็นคุณค่าของธรรมชาติด้านบวกและไม่กลัวสัตว์เหล่านี้ ซึ่งลูกเล่นต่างๆ ที่พี่ยุรีได้ทำออกมานั้นก็มีหลายอย่างที่ทำให้สัตว์เหล่านี้ดูแปลกตาไปจากเดิม คือ ในรูปภาพสัตว์ต่างๆ ดูมีสีสันสดใสและไร้ความน่าเกลียดน่ากลัวโดยสิ้นเชิง มีการเพิ่มของต่างๆ ในตัวสัตว์อย่างเช่น กบกำลังยิ้มและมีสายรุ้งบนหัว , หมีกำลังยิ้มและโบกมือ เป็นต้น โดยรวมแล้วสรุปว่า งานชิ้นนี้ทำให้พวกเราได้แรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นในเรื่องของการใช้ชีวิตเพราะเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว สัตว์ดุร้ายก็เหมือนกับการที่พบเจอคนที่ร้าย ในโลกมนุษย์เรายังต้องพบเจอผู้คนอีกหลายรูปแบบ มีทั้งดีและร้าย ฉะนั้นเราจงอย่าไปกลัว เปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นสิ่งที่คิดว่าง่ายสำหรับเราและเราจะผ่านมันไปให้ได้ จงกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นแล้วคุณจะเป็นคนที่เข้มแข็งและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขนะคะ
ทั้งหมดนี้ก็คือผลงานของพี่ยุรีที่ตั้งใจสร้างสรรค์ออกมาเพื่อเป็นแนวคิดให้กับเยาวชนถือเป็นงานที่มีคุณภาพอีกงานมากจริงๆ ค่ะ อยากให้ทุกคนได้ลองมาที่ 100 ต้นสน แกลลอรี่ เผื่อใครที่กำลังหาไอเดียใหม่ๆ และแนวคิดดีๆ แนะนำเลยว่า ที่นี่จะทำให้คุณเปิดใจและเพลิดเพลินไปกับผลงานต่างๆ อย่างแน่นอน
และสำหรับใครที่สนใจอยากจะเดินทางมาที่นี่ก็สามารถมาได้โดยช่องทางดังต่อไปนี้
- มาได้ทั้ง BTS ชิดลม และ เพลินจิต (แกลเลอรี่อยู่ในซอยต้นสน)
อยู่ตรงข้ามกับสถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์
***แกลเลอรี่เปิดให้เข้าชม วันพฤหัสบดี-วันอาทิตย์ เวลา 11.00-19.00 น.***
ส่วนข้างล่างนี้ก็คือแผนที่การเดินทางคร่าวๆ น้า สามารถดูแผนที่ประกอบได้เลย