สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า เด็กหญิงวัย 14 ปี ผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งชนิดหายาก ได้รับอนุญาตจากศาลสูงเเห่งราชอาณาจักร ให้แช่แข็งร่างตามความปรารถนาก่อนเสียชีวิต ตามที่เธอได้ยื่นขอยื่นคำร้อง ซึ่งถือเป็นคดีสำคัญในวงการกฎหมาย
โดยศาลได้มอบอำนาจให้มารดาของเด็กหญิงคนดังกล่าวเป็นผู้ตัดสินใจดำเนินการตามคำสั่งเสียของเด็กสาวที่ฝากไว้ก่อนเสียชีวิตเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา
รายงานข่าวระบุว่า ก่อนหน้าที่เธอจะเสียชีวิต เด็กสาวใช้เวลาหลายเดือนค้นหาข้อมูลเรื่องการเเช่เเข็งร่างมนุษย์หรือที่เรียกว่าเทคโนโลยี "ไครโอนิกส์" เพื่อรักษาร่างกายให้คงไว้สภาพเดิม จากนั้นได้ยืนคำร้องต่อศาลขอใช้สิทธิ์แช่แข็งร่างตัวเองหลังเสียชีวิต โดยมีเเม่ของของเด็กหญิงเป็นผู้สนับสนุน เเต่พ่อไม่เห็นด้วยเเละคัดค้าน
ส่วนเนื้อหาในจดหมายขอใช้สิทธิ์ของเด็กหญิงบางส่วนระบุว่า เธอไม่อยากให้ร่างกายของเธอถูกฝังใต้ดิน เเละอยากมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านี้ จึงประสงค์จะเเช่เเข็งร่างกายตัวเองไว้ หวังว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยีมารักษาโรคมะเร็งชนิดหายากที่เธอเป็นได้ เเละเธอจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีกครั้ง
ด้านผู้พิพากษา เปิดเผยความเห็นในคดีนี้ว่า นับเป็นคดีประวัติศาสตร์เนื่องจากไม่เคยมีผู้ใดยื่นคำร้องให้เเช่เเข็งร่างกายตนในสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือใครจะเป็นผู้ดำเนินการภายหลังเด็กหญิงเสียชีวิต ซึ่งในที่สุดได้มอบหมายให้ผู้เป็นมารดา เนื่องจากบิดาเเยกทางกัยครอบครัวไปนานเเล้ว
โดยหลังจากเด็กหญิงเสียชีวิตในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลในลอนดอนยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเเช่เเข็งร่างกายมนุษย์ องค์กรเอกชนรายหนึ่งจึงอาสาดำเนินการให้ ก่อนที่จะส่งร่างกายของเด็กหญิงไปยังบริษัทในสหรัฐอเมริกาที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไครโอนิกส์
ทั้งนี้การแช่แข็งเป็นกระบวนรักษาร่างของผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคที่ยังไม่มีวิธีรักษาในปัจจุบัน ด้วยความหวังจะฟื้นคืนชีพในอนาคต โดยจะทำได้เมื่อผู้ป่วยเสียชีวิตตามกฎหมาย ซึ่งเริ่มมีการเเช่เเข็งร่างกายครั้งเเรกเมื่อปี 1967 ปัจจุบันมีบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีไครโอนิกส์ 4 เเห่งในโลก เเบ่งเป็นที่สหรัฐฯ 3 เเห่งเเละรัสเซีย 1 เเห่ง โดยในสหรัฐฯมีการเเช่เเข็งมนุษย์มาเเล้ว 250ราย เเละมีคนยื่นเรื่องขอเเช่เเข็งร่างกายตนเองหลังเสียชีวิตเเล้วกว่า 1,500 ราย (ข้อมูลปี 2014)
ข่าวจาก : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1479474465
ศาลอังกฤษ อนุญาตให้เด็กหญิงป่วยมะเร็งวัย 14 ปี แช่แข็งศพตัวเอง ตามความประสงค์ก่อนตาย
สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า เด็กหญิงวัย 14 ปี ผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งชนิดหายาก ได้รับอนุญาตจากศาลสูงเเห่งราชอาณาจักร ให้แช่แข็งร่างตามความปรารถนาก่อนเสียชีวิต ตามที่เธอได้ยื่นขอยื่นคำร้อง ซึ่งถือเป็นคดีสำคัญในวงการกฎหมาย
โดยศาลได้มอบอำนาจให้มารดาของเด็กหญิงคนดังกล่าวเป็นผู้ตัดสินใจดำเนินการตามคำสั่งเสียของเด็กสาวที่ฝากไว้ก่อนเสียชีวิตเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา
รายงานข่าวระบุว่า ก่อนหน้าที่เธอจะเสียชีวิต เด็กสาวใช้เวลาหลายเดือนค้นหาข้อมูลเรื่องการเเช่เเข็งร่างมนุษย์หรือที่เรียกว่าเทคโนโลยี "ไครโอนิกส์" เพื่อรักษาร่างกายให้คงไว้สภาพเดิม จากนั้นได้ยืนคำร้องต่อศาลขอใช้สิทธิ์แช่แข็งร่างตัวเองหลังเสียชีวิต โดยมีเเม่ของของเด็กหญิงเป็นผู้สนับสนุน เเต่พ่อไม่เห็นด้วยเเละคัดค้าน
ส่วนเนื้อหาในจดหมายขอใช้สิทธิ์ของเด็กหญิงบางส่วนระบุว่า เธอไม่อยากให้ร่างกายของเธอถูกฝังใต้ดิน เเละอยากมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านี้ จึงประสงค์จะเเช่เเข็งร่างกายตัวเองไว้ หวังว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยีมารักษาโรคมะเร็งชนิดหายากที่เธอเป็นได้ เเละเธอจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีกครั้ง
ด้านผู้พิพากษา เปิดเผยความเห็นในคดีนี้ว่า นับเป็นคดีประวัติศาสตร์เนื่องจากไม่เคยมีผู้ใดยื่นคำร้องให้เเช่เเข็งร่างกายตนในสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือใครจะเป็นผู้ดำเนินการภายหลังเด็กหญิงเสียชีวิต ซึ่งในที่สุดได้มอบหมายให้ผู้เป็นมารดา เนื่องจากบิดาเเยกทางกัยครอบครัวไปนานเเล้ว
โดยหลังจากเด็กหญิงเสียชีวิตในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลในลอนดอนยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเเช่เเข็งร่างกายมนุษย์ องค์กรเอกชนรายหนึ่งจึงอาสาดำเนินการให้ ก่อนที่จะส่งร่างกายของเด็กหญิงไปยังบริษัทในสหรัฐอเมริกาที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไครโอนิกส์
ทั้งนี้การแช่แข็งเป็นกระบวนรักษาร่างของผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคที่ยังไม่มีวิธีรักษาในปัจจุบัน ด้วยความหวังจะฟื้นคืนชีพในอนาคต โดยจะทำได้เมื่อผู้ป่วยเสียชีวิตตามกฎหมาย ซึ่งเริ่มมีการเเช่เเข็งร่างกายครั้งเเรกเมื่อปี 1967 ปัจจุบันมีบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีไครโอนิกส์ 4 เเห่งในโลก เเบ่งเป็นที่สหรัฐฯ 3 เเห่งเเละรัสเซีย 1 เเห่ง โดยในสหรัฐฯมีการเเช่เเข็งมนุษย์มาเเล้ว 250ราย เเละมีคนยื่นเรื่องขอเเช่เเข็งร่างกายตนเองหลังเสียชีวิตเเล้วกว่า 1,500 ราย (ข้อมูลปี 2014)
ข่าวจาก : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1479474465