"น้องไอนส์" ในสภาวะแช่แข็ง จากความรักพ่อแม่ หวังเทคโนโลยีการแพทย์อนาคตชุบชีวิตลูก

จากมติชนออนไลน์

ไอนส์ เด็กหญิงเมทรินทร์ เนาวรัตน์พงษ์ ไอนส์เป็นลูกสาวคนเดียวในบรรดาพี่น้องสี่คนของ ดร.สหธรณ และ ดร.นารีรัตน์ เนาวรัตน์พงษ์

ที่จริงแล้วเรื่องของไอนส์เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อในอดีตย้อนหลังกลับไป 12 ปีก่อนไอนส์จะเกิด

คุณแม่ของไอนส์ได้รับการผ่าตัดมดลูกออกเพื่อรักษาชีวิตจากการตกเลือดในการคลอดลูกชายคนแรกทำให้ครอบครัวไม่สามารถมีบุตรได้อีก12ปีต่อมาไอนส์จึงเกิดขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีเจริญพันธุ์โดยการใช้ไข่และสเปิร์มจากพ่อแม่ที่แท้จริงปลูกถ่ายลงในมดลูกของแม่อุ้มบุญตลอดช่วงเวลาการตั้งครรภ์ครอบครัวของเราได้ดูแลแม่อุ้มบุญเป็นอย่างดีรวมถึงการตรวจโรคต่างๆด้วยความระมัดระวังดีที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีการแพทย์ที่จัดหาได้ในประเทศ

ในวันที่29กุมภาพันธ์ 2555 ที่โรงเรียนแพทย์ชั้นนำของประเทศ ไอนส์คลอดออกมามีน้ำหนักแรกคลอดมากถึง 3800 กรัม มีลักษณะที่สมบูรณ์สุขภาพดีทุกประการตามที่เราคาดหวังจากผลอุลตร้าซาวด์

ไอนส์มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวคือดวงตากลมโตและมีรอยยิ้มอยู่เสมอเธอนำพาความสุขและความอบอุ่นมาให้กับครอบครัวสมกับที่รอคอยมานานถึง12ปี

ไอนส์เติบโตขึ้นมาด้วยพัฒนาการที่ปกติแข็งแรงสามารถเต้นรำร้องเพลงวิ่งเล่นหัวเราะและมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างอย่างปกติไอนส์ยังแสดงถึงการรู้จักความรักกับคนรอบข้างโดยเฉพาะการหอมแก้มน้องชายคน1 ที่ไอนส์รักเป็นพิเศษ

รุ่งเช้าวันที่ 19 เมษายน 2557 ไอนส์อายุ 2 ขวบ 1 เดือน ไอนส์มีอาการปลุกไม่ตื่นจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่ามีอาการขาดน้ำจึงให้น้ำเกลือปริมาณสูงในการรักษาเบื้องต้นแต่ไอนส์ก็เข้าสู่อาการโคม่าอย่างรวดเร็วภายใน20นาทีจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและเอ็กซเรย์สมองด่วนพบก้อนเนื้อขนาด11เซนติเมตรในสมองด้านซ้ายแทบจะไม่ต้องรอวินิจฉัยชิ้นเนื้อพวกเราก็ทราบทันทีว่ามันน่าจะคือมะเร็ง

แต่ทำไมมะเร็งขนาดใหญ่จึงไม่เคยแสดงอาการให้พวกเราได้สังเกตเห็นมาก่อนเลย

ในวันนั้นไอนส์ได้รับการผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะเพื่อลดความดันในสมองและตัดชิ้นมะเร็งออกได้ประมาณ50%แพทย์ได้ประเมินว่าไอนส์แทบไม่มีโอกาสจะฟื้นคืนสติ

ผลการวินิจฉัยชิ้นเนื้อพบว่าเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงที่หายากชื่อว่าependymoblastomaครอบครัวเราได้รับคำแนะนำให้ปล่อยให้ไอนส์เสียชีวิตเพราะไม่มีวิธีการใดๆในการรักษาและไม่มีโอกาสในการฟื้นคืนสติ แต่แล้วเพียงสัปดาห์ ไอนส์ก็ลืมตาและเริ่มฟื้นคืนสติเริ่มร้องไห้และแสดงอาการตอบสนองต่างๆ สร้างความแปลกใจให้กับทุกคน ไอนส์แสดงถึงความต่อสู้ที่จะมีชีวิต

พวกเราตัดสินใจที่จะต่อสู้กับมะเร็งให้ถึงที่สุด เราอาจจะไม่ชนะมะเร็ง แต่ให้ไอนส์ได้เป็นบันไดก้าวหนึ่งของมนุษย์ที่จะเอาชนะมะเร็งในอนาคต

หลังจากไอนส์เริ่มฟื้นคืนสติ กับการผ่าตัดอีกหลายครั้ง ครอบครัวต้องทำใจยอมรับว่าไอนส์ได้สูญเสียสมองซีกซ้ายไปมากถึง 80%แต่ไม่เสียชีวิต ซึ่งหมายถึงว่าเธอจะไม่สามารถขยับร่างกาย ซีกขวาและยังสูญเสียความสามารถอื่นๆ เช่น การมองเห็นการได้ยินและการพูด แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดหรืออาจจะเป็นเพราะไอนส์มีอายุเพียง 2ปี เธอได้แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่รวดเร็ว และตอบสนองการรักษาเป็นอย่างดี

ตลอดช่วงเวลาของการรักษาไอนส์ค่อยๆกลับมามองเห็นได้ยินเสียงรับรู้คำสั่งและแสดงความต้องการของตัวเองจนกระทั่งสามารถขยับร่างกายซีกขวาได้อีกครั้งจากการทำกายภาพบำบัดประจำเราสังเกตเห็นพลังต่อสู้ในแววตาที่กลมโตของไอนส์ จนวันหนึ่งไอนส์ก็สามารถยืนขึ้นได้ และเริ่มฝึกเดิน มองด้วยตา 2 ข้างพร้อมกันเหมือนปรกติ ราวกับว่าถ้าเค้ารอดจากมะเร็งแม้จะมีสมองเพียงซีกเดียว เขาก็น่าจะกลับไปวิ่งและพูดได้แต่เกือบเหมือนเด็กปกติอีกครั้ง พวกเราได้เผยแพร่เรื่องราวของไอนส์และการต่อสู้ไปในโซเชียลเน็ตเวิร์ค เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยเป็นอีกจำนวนมาก ไอนส์ยังอยู่รอดมาถึงวันนี้ด้วยพลังที่น่าประทับใจจากภายใน เธอยังคงแสดงถึงรอยยิ้มและความรักมากมายเหมือนที่เธอเป็นแต่เกิด

ไอนส์ผ่านการผ่าตัดสมองและการผ่าตัดอื่นๆรวมแล้วมากถึง12ครั้งคีโม20ครั้งและทำรังสีบำบัด20ครั้งในช่วงเวลานั้นเราได้เห็นเพื่อนร่วมทุกข์มากมายที่เป็นมะเร็ง ส่วนใหญ่เสียชีวิตลงคนแล้วคนเล่า ทั้งที่พวกเขายังเป็นเด็ก เหมือนการต่อสู้ที่จะยังไม่สิ้นสุดของมนุษย์ เราจึงพยายามผลักดันให้เกิดการจัดตั้งกองทุนถอดรหัสพันธุกรรมคือการต่อสู้มะเร็งในเด็ก โดยให้การต่อสู้ของไอนส์เป็นจุดเริ่มต้น

ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 เราตรวจพบว่ามะเร็งหลายแพร่กระจายไปตามส่วนต่างๆของสมอง ไอนส์เริ่มมีอาการอัมพาตบนใบหน้าและกล้ามเนื้อบางส่วน เรารู้ว่าเวลาสุดท้ายใกล้มาถึง สุดเอื้อมของมนุษย์ สุดเอื้อมที่เทคโนโลยี่ปัจจุบันจะอำนวยให้ เราต้องเตรียมใจอำลาแล้ว

วันที่ 8 ม.ค. 2558 ด้วยความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ ไอนส์ได้กลับบ้านครั้งสุดท้ายอย่างมีสติสมบูรณ์ ท่ามกลางครอบครัวและหมู่ญาติ เราได้คุยได้เล่นกันครั้งสุดท้าย ก่อนเราจะปิดระบบพยุงชีพเพื่อปลดปล่อยภาระที่แสนหนักจากบ่าเล็กๆ ในเวลา 18:18 น.

เซลล์มะเร็ง และเซลจากส่วนต่างๆ ของร่างกายไอนส์ถูกเก็บตัวอย่างรักษาไว้เพื่อการศึกษา ร่างกายของไอนส์ถูกเก็บรักษาในสภาพมีชีวิตภายใต้อุญหภูมิเย็นจัด (cryopreservation) ใน Arizona USA เพื่อรอเทคโนโลยี่การซ่อมร่างกายที่เหมาะสมกับไอนส์ในอนาคต

Cryopreservation จะทำให้เกิดธนาคารอวัยวะแช่เย็นในอนาคตอันใกล้ เป็นความหวังให้แก่ผู้ป่วยรอเปลี่ยนถ่ายอวัยวะอีกมากมาย

ชีวิตของไอนส์ทั้งหมดได้อุทิศให้กับความรักสุดหัวใจและวิทยาศาสตร์เพื่อผลักดันคุณภาพชีวิตของมนุษย์และจะอยู่คู่มนุษย์ตลอดไป

จากกรณี การแช่แข็งศพ "น้องไอนส์" เด็กหญิงวัย 2 ขวบ ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในสมอง แล้วพ่อแม่ส่งศพไปแช่ด้วยเทคโนโลยี "ไครออนิกส์" ที่สหรัฐ หวังให้เทคโนโลยีในอนาคตจะช่วยชุบชีวิตลูกขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งทางผู้เป็นพ่อ ได้เปิดใจ มาก่อนหน้านี้ ว่า ไม่ได้เอาศพลูกสาวมาทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่อยากให้ลูกสาวเป็นไอดอลของการพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งอย่างจริงจัง ระบุช่วงแช่แข็งศพมีแพทย์นิติเวชมาตรวจถูกต้องตามกฎหมาย

ล่าสุด ผู้สื่อข่าว“มติชนออนไลน์” ได้โทรศัพท์ไปสัมภาษณ์ ดร.สหธรณ์  เนาวรัตน์พงษ์  คุณพ่อของน้องไอนส์  โดยคุณพ่อ ของน้องไอนส์ เล่าว่า  ทางมูลนิธิเพื่อชีวิต อัลคอร์ไลฟ์ เอ็กซ์เทนซีฟ ที่ให้บริการแช่แข็งศพนั้น ดำเนินงาน ในสองส่วนคือ มีทั้งงานวิจัย และการบริหารการเงิน

นั่นคือ หลังจากที่ได้บริจาคเงินไปแล้วทางมูลนิธิ จะนำเงินไปใช้  ส่วนหนึ่ง เพื่อการวิจัย อีกส่วนหนึ่งเข้ากองทุน ที่เอาไปบริหารจัดการให้เงินงอกเงยขึ้นมา  เพื่อดูแลรักษาระบบทำความเย็น ต่อไป  โดยบริจาคเพียงครั้งเดียว ไม่เป็นภาระของคนในรุ่นถัดไป

ซึ่งโดยส่วนตัวของ ดร.สหธรณ์ แล้ว มองว่าไม่อยากให้นำเรื่องตัวเงินมาเป็นประเด็น เนื่องจากสังคมไทยยังเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำกันค่อนข้างมาก  จึงไม่อยากไปเน้นไปที่ประเด็นตัวเลข สรุปก็คือทางมูลนิธิเค้าบริหารให้ได้ตลอดไป ไม่ต้องเป็นภาระกับคนรุ่นต่อไป

ดร.สหธรณ์ ยังบอกกับ "มติชนออนไลน์" อีกว่า อาจจะเดินทางไปเยี่ยมลูกสาวบ่อยๆ เพราะในส่วนลึกแล้ว ก็เหมือนกับยังมีลูกสาวอยู่ในต่างประเทศ แต่ไม่ใช่ถึงกับไปแกะเค้าออกมา แต่ไปเพื่อการระลึกถึงมากกว่า

“ผมรู้ว่าเค้ายังมีชีวิตอยู่จริง เป็นเหมือนการจำศีล ในอนาคตเทคโนโลยีมันไปถึง ก็รอให้เค้ากลับมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราก็ต้องยอมรับ ว่าเราจากกันแล้ว” ดร.สหธรณ์ กล่าว

ส่วนในประเด็นคอมเม้นท์ทางสังคม เรื่องการเก็บศพ เหมือนเป็นการขังวิญญาณ วิญญาณไม่ได้รับการปลดปล่อยนั้น   ดร.สหธรณ์ กล่าวว่า

“ผมรู้ว่าในสังคมเรามีความหลากหลายในความเห็น ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นสีสัน และผมก็พึงพอใจกับความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านั้น คือเราถูกสอนมาอย่างนี้ เราก็เชื่ออย่างนี้ แต่ผมไม่ถือว่าอันนี้เป็นข้อพิสูจน์ ซึ่งในเรื่องนี้ มันก็มีแง่คิดสมัยใหม่ออกมาเยอะ ถ้าคิดว่ามีวิญญาณ เป็นดวงๆ คงจะเป็นรูปธรรมมากเกินไป ในความรู้สึกผมน่าเป็นนามธรรมมากกว่า  ผมคิดว่า เราไม่มีทางไปขังดวงวิญญาณได้ เช่นเดียวกับที่ เราเพลงอยู่ในแผ่นซีดี แม้เราไม่เปิดฟัง เราก็ไม่อาจขังบทเพลงได้”

ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีการนำร่างของน้องไอนส์ เด็กหญิงวัย 2 ปี ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง มาแช่แข็งด้วยกระบวนการที่เรียกว่าไครออนิกส์ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยหวังว่าเทคโนโลยีในอนคตจะสามารถชุบชีวิตลูกสาวคนนี้ขึ้นมาได้ ว่า

เทคโนโลยีการแช่แข็งนั้น โดยทั่วไปปัจจบันนี้จะใช้กับการแช่แข็งเซลล์สิ่งมีชีวิตแบบเซลล์เดียวเท่านั้น เช่น การแช่สเปิร์ม แช่แข็งไข่ หรือแช่สเปิร์ม และไข่ที่มีการผสมแล้วช่วงแรกๆ ก่อน 2 สัปดาห์แรก แต่ถ้าเอาทั้งคนเลย ซึ่งมีเส้นเลือด เส้นประสาทเยอะ ขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ ยิ่งถ้าตายไปแล้วยิ่งไม่ได้ใหญ่ เทคโนโลยีนี้ต้องใช้กับเซลล์ และต้องทำตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้เซลล์มันหยุดอยู่กับที่ ไม่ใช้พลังงาน ไม่แบ่งตัว

สำหรับไครออนิกส์ ปัจจุบันก้าวหน้าไปเพียงการเก็บเซลไว้ไม่ให้เน่าได้ ซึ่งใช้มานานเป็น 10 ปีแล้ว แต่ถ้าจะให้ฟื้นขึ้นมาแล้วทำงานเหมือนเดิมมันอาจจะทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเหมือนในขั้วโลกเหนือ ที่มีสิ่งมีชีวิตฝังไว้ในใต้หิมะ เราสามารถขุดมาเป็นตัวได้เลย แต่ทำให้มันฟื้นไม่ได้ แต่ว่าถ้าเราจะเอาเซลล์ หรือ พันธุกรรม มาผสมต่อ อันนั้นน่าจะทำได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่