สมาธิสูตร : บุคคลบางคนในโลกนี้ได้ความสงบแห่งจิตภายใน แต่ไม่ได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

ขอกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง


----------------------


พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต





ตติยสมาธิสูตร


[๙๔] ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก
บุคคล ๔ จำพวกไหนบ้าง คือ

๑. บุคคลบางคนในโลกนี้ได้ความสงบแห่งจิตภายใน
แต่ไม่ได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

๒. บุคคลบางคนในโลกนี้ได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง
แต่ไม่ได้ความสงบแห่งจิตภายใน

๓. บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่ได้ความสงบแห่งจิตภายใน
และไม่ได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

๔. บุคคลบางคนในโลกนี้ได้ความสงบแห่งจิตภายใน
และได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง


                                บรรดาบุคคลเหล่านั้น บุคคลผู้ได้ความสงบแห่งจิตภายใน แต่ไม่ได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง
                                พึงเข้าไปหาบุคคลผู้ได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง เรียนถามอย่างนี้ว่า
                                ‘ท่านผู้มีอายุ พึงมองสังขารอย่างไร พิจารณาสังขารอย่างไร เห็นแจ้งสังขารอย่างไร’
                                บุคคลผู้ถูกถามนั้น ย่อมตอบเขาตามที่เห็นตาม ที่รู้ว่า
                                ‘ท่านผู้มีอายุ พึงมองสังขารอย่างนี้ พิจารณาสังขารอย่างนี้ เห็นแจ้งสังขารอย่างนี้’
                                สมัยต่อมา บุคคลนั้นจึงได้ความสงบแห่งจิตภายในและได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

                                บุคคลผู้ได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง แต่ไม่ได้ความสงบแห่งจิตภายใน
                                พึงเข้าไปหาบุคคลผู้ได้ความสงบแห่งจิตภายใน เรียนถามอย่างนี้ว่า
                                ‘ท่านผู้มีอายุ พึงตั้งจิตไว้อย่างไร น้อมจิตไปอย่างไร ทำจิตให้มีอารมณ์เป็นหนึ่งผุดขึ้นอย่างไร
                                ชักจูงจิตให้เป็นสมาธิได้อย่างไร’
                                บุคคลผู้ถูกถามนั้น ย่อมตอบเขาตามที่เห็นตามที่ รู้ว่า
                                ‘ท่านผู้มีอายุ พึงตั้งจิตไว้อย่างนี้ น้อมจิตไปอย่างนี้ ทำจิตให้มีอารมณ์เป็นหนึ่งผุดขึ้นอย่างนี้
                                ชักจูงจิตให้เป็นสมาธิอย่างนี้’
                                สมัยต่อมา บุคคลนั้นจึงได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่งและได้ความสงบแห่งจิตภายใน

                                บุคคลผู้ไม่ได้ความสงบแห่งจิตภายในและไม่ได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง
                                พึงเข้าไปหาบุคคลผู้ได้ความสงบแห่งจิตภายในและได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง
                                เรียนถามอย่างนี้ว่า
                                ‘ท่านผู้มีอายุ พึงตั้งจิตไว้อย่างไร น้อมจิตไปอย่างไร ทำจิตให้มีอารมณ์เป็นหนึ่งผุดขึ้นอย่างไร
                                ชักจูงจิตให้เป็นสมาธิได้อย่างไร
                                พึงมองสังขารอย่างไร พิจารณาสังขารอย่างไร เห็นแจ้งสังขารอย่างไร’
                                บุคคลผู้ถูกถามนั้น ย่อมตอบเขาตามที่เห็นตามที่รู้ว่า
                                ‘ท่านผู้มีอายุ พึงตั้งจิตไว้อย่างนี้ น้อมจิตไปอย่างนี้ ทำจิตให้มีอารมณ์เป็นหนึ่งผุดขึ้นอย่างนี้
                                ชักจูงจิตให้เป็นสมาธิอย่างนี้
                                พึงมองสังขารอย่างนี้ พิจารณาสังขารอย่างนี้ เห็นแจ้งสังขารอย่างนี้’
                                สมัยต่อมา บุคคลนั้นจึงได้ความสงบแห่งจิตภายในและได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง

                                บุคคลผู้ได้ความสงบแห่งจิตภายในและได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง
                                ควรตั้งอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแล้วทำความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะให้ยิ่งขึ้นไป

                                ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก



เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๑ หน้าที่ ๑๔๒-๑๔๔.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=21&siri=94
อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ (ฉบับหลวง)
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=21&A=2566&Z=2601
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=21&i=94
ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[94] http://budsir.mahidol.ac.th/cgi-bin/Budsir.cgi/SearchItem?mode=1&valume=21&item=94&Roman=0





**************************



วิธีปฏิบัติ ๔ แบบ

๑ ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา อันมีสมถะเป็นเบื้องต้น จนได้มรรค แล้วเสพ เจริญมรรคนั้น
ทำให้มากจนละสังโยชน์ได้ อนุสัยหมดสิ้นไป

๒ ภิกษุผู้เจริญสมถะ อันมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น จนได้มรรค แล้วเสพ เจริญมรรคนั้น
ทำให้มากจนละสังโยชน์ได้ อนุสัยหมดสิ้นไป

๓ ภิกษุผู้เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป จนได้มรรค แล้วเสพ เจริญมรรคนั้น

๔ ภิกษุมีใจถูกอุทธัจจะในธรรมกลั้นไว้ในเวลาที่จิตตั้งมั่น สงบภายใน
มึภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่ มรรคก็เกิดขึ้นแก่เธอ
เธอจึงเสพ เจริญมรรคนั้น ทำให้มากจนละสังโยชน์ได้ อนุสัยหมดสิ้นไป



ธรรมเทศนาโดยท่านพระอานนท์
ในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ยุคนัทธวรรค ยุคนัทธกถา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=7564&Z=7861
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่