เบิร์ด ธงไชย เล่าถึงความประทับใจที่มีต่อพ่อหลวง และคำสอนที่พระราชทานแก่ตนเอง


เบิร์ด ธงไชย เล่าถึงความประทับใจที่มีต่อพ่อหลวง และคำสอนที่พระราชทานแก่ตนเอง

ย้อนไปเมื่อเด็ก ๆ ที่เบิร์ดอยู่สลัมบางแค เมื่อมีการเสด็จ เราก็จะเห็นตำรวจมายืนเรียงรายกัน สักพักก็จะเห็นขบวนพระที่นั่งผ่าน ก็ถามป๋ากับแม่ว่าคันไหน ป๋าบอกว่าคันที่มีธงสีเหลืองปักนั่นคือคันที่มีพระองค์ท่านอยู่ ท่านผ่านหมู่บ้านสลัมเล็ก ๆ ได้เห็นพระองค์โบกพระหัตถ์ นั่นคือครั้งแรกที่เห็น จากนั้นก็ได้ยินคำสั่งสอน ได้เห็นพระราชกรณียกิจ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าพระราชกรณียกิจแปลว่าอะไร พระองค์สอนให้เรียนรู้จากการเห็นที่พระองค์ทรงงาน  จากการสั่งสอนที่พ่อแม่บอก จนกระทั่งวันนึงได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ได้มีโอกาสรับใช้ถวายงาน ไม่ว่างานส่วนรวม หรือ ส่วนพระองค์ รู้สึกรักท่านมากเหลือเกิน เพราะเวลาเข้าใกล้พระองค์ท่าน ได้กราบแทบพระบาทของท่าน มีความรู้สึกบอกไม่ถูกครับ ไม่เหมือนว่าเราอยู่กับพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับเหมือนเราอยู่กับพ่อที่มีแต่ความเมตตา สายพระเนตรที่มองเรามีแต่ความเมตตา เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลมาก ซึ่งท่านทรงเรียกชื่อเราว่าเบิร์ด เบิร์ดผอมไปนะ ทรงได้สอนเบิร์ดว่าเราต้องทำงานอย่างเต็มที่ เป็นคนคิดบวกอย่างเต็มที่ เราต้องพยายามหาสิ่งที่ไม่ดีในตัวเราออกมาแล้วย่อยสลายให้หายไป

ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นเทพที่เราจับต้องได้ ที่เราไม่ต้องจุดธูป ที่เราเห็นด้วยตา พิสูจน์ได้ ดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่ในความรับผิดชอบของพระองค์ทั้งนั้น ซึ่งทรงทำให้พวกเรา

ดิน ถ้าตรงไหนไม่อุดมสมบูรณ์ก็มีโครงการมากมายที่จะทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ เพื่ออะไร เพื่อให้ชาวบ้านได้ทำการเกษตร ได้ปลูกข้าว ถึงแม้จะไกลตัวเรา แต่ข้าวนั้นก็ได้กลับมาหาเรา

ไฟ ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ที่ไหนท่านก็ไป

น้ำ ไม่ว่าน้ำจากดิน หรือน้ำจากฟ้า ก็อยู่ในภาระหน้าที่ของพระองค์ทั้งนั้น ท่านประทานให้เราตลอด ฉะนั้นไม่มีคำใด ๆ แล้วครับ

เค้าถึงว่าคนไทยทุกคนโชคดีที่สุดในโลก ซึ่งมาถึงวันนี้ เบิร์ดได้เดินทางไปต่างประเทศมาก็มาก ได้รับแต่คำสรรเสริญพระองค์ท่าน ฝรั่งถามเบิร์ดว่าทำไมคนไทยเรียกพระมหากษัตริย์ว่า Dad เบิร์ดก็อธิบายให้ฟังว่า ยูรักพ่อยูยังไง พ่อยูรักยูยังไง ในหลวงของเราก็รักเราแบบนั้น เค้านิ่ง แล้วเค้าก็ฟัง จากนั้นเบิร์ดว่าเค้าคงจะรู้จักเราและความรักที่เรามีต่อพระองค์

ย้อนกลับไปหลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เบิร์ดขออนุญาตเล่าให้ฟังนะครับ เพราะเป็นเรื่องที่น่ารักที่สุด
ในวันที่แม่เบิร์ดเสีย วันนั้นหัวใจมันสลาย เหมือนฟองน้ำที่ไม่มีน้ำสักหยด แห้งผาก  ช่วงนั้นท่านผู้หญิงอรนุช ก็ขอให้เบิร์ดไปร้องเพลงในงานวันราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าที่วังไกลกังวล แค่ได้ยินแค่นั้นหัวใจเบิร์ดก็ชุ่มชื่นขึ้นมา แล้วก็ซ้อมร้องเพลงต่อหน้าแม่บนเรือน ถึงวันเข้าเฝ้า เบิร์ดก็เอารูปแม่ใส่กระเป๋าเข้าเฝ้าเจ้านายด้วยกัน ไปถึงวังไกลกังวล ตัวเราสั่นไปหมด เพราะมองไปมีแต่พระราชวงศ์ ท่านผู้หญิงก็พาเราไปกราบแทบพระบาททั้งสองพระองค์ใกล้ ๆ ในหลวงรับสั่งว่า “เบิร์ด เบิร์ดตื่นเต้นใช่ไหม”
เบิร์ดก็บอกว่า “พระเจ้าข้า” ท่านก็บอกว่า “เวลาขึ้นไปร้องให้หลับตาสิ จะได้ไม่ตื่นเต้น จะได้ไม่เห็นใคร”  สิ่งเหล่านี้ทำให้ใจเราที่เล็กนิดเดียว ห่อเหี่ยวเหลือเกิน ค่อย ๆ เบ่งบาน มีพลังขึ้นมา และตอนเบิร์ดขึ้นไปร้องเพลงบนเวที เชื่อมั้ยว่าหูไม่ได้ยินเสียงดนตรีแม้แต่นิดเดียว แต่รู้ว่าเพลงที่หนึ่ง ที่สอง คืออะไร เพราะเขียนคิวเอาไว้ เบิร์ดร้องทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย รู้สึกว่าจะจบด้วยเพลงต้นไม้ของพ่อ เค้าบอกให้เบิร์ดโค้ง เบิร์ดโค้งไม่ได้แล้ว เบิร์ดขอกราบกลางเวทีแล้วเงยหน้าขึ้นมา ภาพที่เห็นคือพระองค์ท่านทรงพระสรวล ยิ้ม หัวเราะ และโบกพระหัตถ์ให้เบิร์ด ฟองน้ำที่มันแห้งสนิทนั้น มันชุ่มฉ่ำ มันมีความสุข มันมีพลังขึ้นมา ท่านผู้หญิงทุกคนร้องไห้กันหมด บอกว่าไม่เห็นพระองค์ยิ้มมานานแล้ว ตอนนั้นทำให้รู้สึกว่าต่อไปนี้เราจะแพ้ไม่ได้ เราจะเสียใจไม่ได้ เบิร์ดมีหน้าที่ต้องแข็งแรงนะแม่ เบิร์ดมีหน้าที่ทำให้ทุกคนมีความสุข เบิร์ดต้องกลับมาแข็งแรงให้ได้

คำสอนที่ได้ยินจากพระโอษฐ์ที่ทรงรับสั่งกับเบิร์ดโดยตรงเลยคือ มีอยู่วันหนึ่ง หม่อมท่าน
ภีศเดช ซึ่งเบิร์ดเรียกว่าท่านพ่อ ก็ได้เรียกเบิร์ดให้เข้าไปร้องเพลงถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชวงศ์ เล่นเสร็จเบิร์ดก็เข้าไปกราบแทบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์รับสั่งว่า เบิร์ดปลูกข้าวอะไร เบิร์ดทำนาอะไร แล้วทรงบอกว่าเบิร์ดเป็นนักร้องก็ดีที่หนึ่ง เป็นเกษตรกรก็ต้องดีที่หนึ่ง นั่นคือล้นเกล้าของเบิร์ดแล้ว พูดอะไรไม่ได้เลย รับใส่เกล้า รับใส่เกล้า รับใส่เกล้า แล้ววันนั้นเบิร์ดก็ได้นำข้าวในนาของเรา ใส่ถุงผูกโบว์ถวายพระองค์ เราก็นำพระราชดำรัสของพระองค์ว่าเราต้องเป็นให้ดีที่หนึ่งทั้งสองอย่าง และพระองค์รับสั่งว่าเมื่อเรียกหม่อมเจ้าภีศเดชว่าท่านพ่อ ก็ต้องเป็นชายเบิร์ด ไม่ใช่ป๋าเบิร์ด อยากให้เรียกว่าชายเบิร์ด ไม่อยากให้เรียกว่าป๋า กราบแทบพระบาท ทรงมีความอ่อนโยน มีพระเมตตากับตัวแทนชาวบ้านอย่างเบิร์ด เวลาที่เบิร์ดได้รับพระเมตตา เบิร์ดจะคิดถึงชาวบ้านทุกคนนะครับ เอาใจเค้ามารวมกับใจเรา กราบและแผ่ออกไป ชื่นใจที่สุด และไม่เคยลืม  ภาพเหล่านั้นสีสวยคมชัดอยู่ตลอดเวลาครับ

คำว่าสวรรคตเป็นคำที่แรงมากเลยสำหรับพวกเรา พยายามคิด เอาความเข้าใจมาใส่ ท่านได้พักแล้ว ท่านได้พบกับแม่ ได้พบกับพี่ ได้พบกับครอบครัวแล้ว จากนั้นเป็นต้นไปคือนิ่งครับ ทบทวนสิ่งที่เราได้ยินมาว่า จริงเหรอ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ๆ แล้วนะ

ในฐานะของลูก พ่อของเราไม่สบาย เราทำใจแล้ว เรารู้ว่าวันนึงต้องเกิดขึ้น แต่ท่านเป็นทั้งในหลวง เป็นทั้งพ่อของพวกเราด้วย ความรู้สึกนี้มันคูณเป็นร้อยเป็นพันเท่า ความสูญเสียครั้งนี้มันคือความเศร้า

แต่ความรู้สึกนี้ เอาความภาคภูมิใจมาทดแทนครับ เราภูมิใจเหลือเกินที่เราได้เกิดในแผ่นดินของพระองค์ท่าน ในรัชสมัยของท่าน เราได้เห็น เราได้เรียนรู้ เราได้สัมผัส เราได้มีโอกาสได้ทำตามในสิ่งที่ท่านมีพระราชดำริ  คำสอนต่าง ๆ ความใกล้ชิด การทรงงาน การปฏิบัติตัว การเป็นลูกที่ดีของแม่ รับหน้าที่เป็นพระมหากษัตริย์ ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมเหลือเกิน เป็นคุณพ่อที่ดีของลูก ๆ อย่างพวกเรา ฉะนั้น ไม่มีอะไรเลยที่เรามองแล้วจะไม่นำมาเป็นประโยชน์กับตัวเรา เต็มไปด้วยตัวอย่าง เต็มไปด้วยสิ่งดี ๆ เต็มไปด้วยความเป็นศิริมงคล เต็มไปด้วยความถูกต้อง

สำหรับพี่น้องของพวกเราทุกคนครับ ตอนนี้เบิร์ดรู้ว่าพวกเราร้องไห้กันทุกวัน เบิร์ดก็ร้องไห้ทุกวัน ร้องเถอะครับ ร้องให้เต็มที่ ระบายออกมา เราจะได้ไม่เก็บเอาไว้ แต่เมื่อร้องเสร็จแล้ว ต้องรู้นะครับว่าร้องไปเพื่ออะไร ร้องไปเพื่อที่เราจะปฏิบัติตนให้พระองค์ท่านพอพระทัยอย่างไร รักกันอย่างไร ดูแลตัวเองอย่างไร คิดสิครับว่าพระองค์ท่านได้กลับไปหาครอบครัว แม่พระองค์ท่าน พี่สาวพระองค์ท่าน พี่ชายพระองค์ท่าน ท่านได้เจอแล้ว ท่านได้มีความสุขแล้ว ลองนึกภาพนะครับ ท่านจะเสด็จดำเนินไปได้อย่างไร ในเมื่อยังได้ยินเสียงร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ท่านก็ต้องเหลียวมาดูพวกเราอีก อย่าทำให้ท่านเป็นห่วงนะครับ
...............................
ขอขอบคุณ greenwave.fm
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่