เรามาตั้งกระทู้เพราะอยากระบาย และอยากได้คำแนะนำจากเพื่อนๆค่ะ
คือเราเครียดๆ มันเหมือนเป็นปมอะไรสักอย่างในชีวิตของเรา ขอเล่าตั้งแต่เด็กๆเลยละกันค่ะ
สมัยก่อนครอบครัวเรายากจนมาก พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เรายังเด็ก เราโตมากับยายที่เลี้ยงดูเราอยู่ตจว.
ก็ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ มีพี่น้องอยู่ 3 คน พี่คนโตอยู่กับปู่ย่าที่จังหวัดอื่น พ่อกับแม่ทำงานอยู่กรุงเทพ
ต่างคนต่างมีสามีภรรยาใหม่ ส่งเงินให้ยายเลี้ยงดูเรา แต่ส่วนใหญ่แม่จะเป็นคนส่ง
ปีนึงจะเจอแม่แค่ครั้งสองครั้ง เพราะแม่ไม่ค่อยมีตังค์ ตอนนั้นยังเด็กมาก จำได้ว่า
ถ้ารู้ว่าแม่จะมา ก็จะดีใจตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะแม่จะซื้อเสื้อผ้า ซื้อขนม ซื้อของเล่นมาฝาก
และเราจะได้นอนกับแม่ กอดหอมแม่ ตอนนั้นรู้สึกถึงความรักของแม่ที่มีต่อเรามากๆ
เวลาแม่กลับก็จะร้องไห้เป็นอาทิตย์ๆเลย
พอช่วงเราป.6 แม่เริ่มตั้งตัวได้ ก็ย้ายพวกเรามาอยู่อีกจังหวัดนึง ซึ่งอยู่ในเมืองที่เจริญหน่อย ได้เข้าโรงเรียนดีๆ
คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น และก็ย้ายที่อยู่อีกครั้งตอนเข้ามัธยม มาอยู่แถว กทม.
ตอนนี้เราเรียนจะจบแล้ว ตั้งแต่เด็กจนโต ย้ายรร. มาประมาณ 8 ครั้ง ได้อยู่บ้านหลังเดียวกับแม่ประมาณ 3 ปี
ที่เหลือก็อยู่กับยายและย้ายมาอยู่หอช่วงเข้ามหาวิทยาลัย
ด้วยเหตุผลและความลับหลายๆอย่างของครอบครัวเรา ซึ่งเราไม่อาจให้ใครรับรู้ได้ เลยทำให้เราเป็นคนเงียบๆ
ไม่ค่อยพูด แทบไม่มีเพื่อนเลย มีแค่คนที่รู้จักไว้คุยเรื่องงานเรื่องการบ้านเท่านั้น แต่ไม่ได้สนิทถึงกับจะเรียกว่าเพื่อนได้
จนปัจจุบันก็รู้สึกว่าตัวคนเดียว เหมือนมีโลกส่วนตัว หลายๆครั้งที่เหงา เราพยามลองเข้าหาคนอื่นแล้ว
แต่เป็นเราเองที่รู้สึกว่ามันฝืน และรู้สึกว่าเพื่อนก็ไม่ได้อยากเข้าหาเราเหมือนกัน
สิ่งที่เราต้องการ คือเราอยากมีเพื่อนคุยหรือคนที่สนิท นั่นก็คือแม่ แต่พอโตมาแล้ว เรารู้สึกว่าเราห่างกับแม่ไปทุกที
มันเหมือนมีเส้นบางๆขั้นอยู่ระหว่างเรากับแม่ ตั้งแต่โตมา แทบไม่เคยกอดหอมแม่เลย เพราะเราไม่กล้า
เวลาอยู่กับแม่และสามีใหม่ของแม่ เรารู้สึกเหมือนเราฝืน เราเหนื่อย ที่ต้องพยามยิ้ม คอยระมัดระวังเรื่องคำพูด
ไม่เป็นตัวของตัวเอง และรู้สึกว่าแม่ไม่ค่อยสนใจเรา เวลาอยู่กับเราสองคน ก็ไม่ค่อยถามไถ่ถึงเรื่องเรียนสารทุกข์สุกดิบของเรา
(เราเรียนคณะที่ยาก(สำหรับเรา) ซึ่งมันเป็นความประสงค์ของแม่ที่อยากให้เราเรียน และทุกครั้งที่สอบเราก็จะเครียดและกดดันมาก)
แต่มีอยู่ครั้งนึง เรากำลังจะสอบ และเครียดมาก อ่านเท่าไรก็จำไม่ได้ อยู่ๆแม่ส่งไลน์มาว่า “สู้ๆนะ แม่รู้ว่าหนูทำได้”
เราอ่านข้อความเสร็จ น้ำตาไหล และมีแรงฮึดสู้นั่งอ่านหนังสือจนถึงเช้าแล้วไปสอบเลย ทำข้อสอบได้ด้วย และนั่นมันก็นานมาแล้ว
ปัจจุบันคือ แม่จะพูดแต่เรื่องของสามี ว่าเค้าแบบนั้นแบบนี้ เค้าดีมาก เล่าเรื่องเพื่อนของสามี ลูกของเพื่อนสามี ซึ่งเราไม่รู้จัก
เวลาเรามีสอบ หรือไปสัมภาษณ์งาน บางทีเราก็อยากเห็นข้อความของแม่เหมือนแต่ก่อน เพราะมันคือกำลังใจเดียวของเรา
บางทีแม่ถามทำอะไร เราบอกว่าอ่านสอบ แม่ก็เงียบไป วันต่อมาก็ส่งรูปไปเที่ยวกับสามีของเค้ามาให้เราดู
แบบส่งมารัวๆๆๆ เราเห็นแม่มีความสุข แม่สบาย ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนแต่ก่อน เราก็ดีใจ แต่ทำไมไม่รู้ ลึกๆเรากลับน้อยใจ
และรู้สึกว่าแม่เริ่มห่างเราไปทุกที ไม่สนใจเรา ไม่เคยไปเที่ยวไหนพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวมาหลายปีแล้ว
เทศกาลอะไรก็ไม่เคยไปไหน อยู่แต่บ้าน ไม่แม่ก็ไปเที่ยวกับสามีเค้าสองคน และส่งรูปมาให้เราดู
ส่วนพ่อเราไม่ต้องพูดถึง ปีนึงโทรหาเราไม่เกิน 3 ครั้ง
เรารู้สึกตัวคนเดียว ทั้งที่ใส่เสื้อผ้าราคาแพง มีเงินกินข้าวห้างแทบทุกวัน แต่เราไม่มีความสุข
ยังอยากได้ความรักและความสนใจจากแม่ เวลาอยู่กับแม่ เรารู้สึกว่าเราเกรงใจ
รู้สึกเหมือนแม่เป็นคนอื่น บางทีแม่พูดจาต่อคนอื่นแบบที่เราฟังแล้วรู้สึกรับไม่ได้ก็มี
ทำให้เรารู้สึกแย่กับแม่เรามากขึ้น เราเองก็รู้สึกผิด ที่มีความรู้สึกแบบนี้ต่อบุพการีที่มีพระคุณ
แล้วมันก็เหมือนเป็นปมอะไรสักอย่างในชีวิตเราด้วย
เมื่อเช้าเป็นวันที่เราต้องพรีเซ้นงาน เป็นโปรเจ็คจบของเรา เรากลัวและตื่นเต้นมาก เลยส่งไลน์ไปหาแม่
ว่ากลัวจังเลย จะพรีเซ้นงานแล้ว ชั่วโมงต่อมา แม่ก็ส่งสติกเกอร์ว่าสู้ๆ แค่นั้น
เรารู้เลยว่าแม่ขี้เกียจพิมพ์ ขี้เกียจที่จะคุยกับเรา เพราะเวลาที่แม่อยากได้อะไร หรือมีปัญหาอะไร
แม่จะพิมพ์ยาวๆ ส่งมารัวๆ บางคนอ่าน อาจจะคิดว่าเราปัญญาอ่อน แค่นี้ก็เก็บมาคิด
แต่มันเป็นความรู้สึกของเราจริงๆ ว่าเราห่างกับแม่ไปเรื่อยๆ
เราไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง จะหาทางปรับเปลี่ยนวิธีคิดยังไง มันเหมือนมีกำแพงที่ใจของเรา ของแม่เรา
และสามีของแม่เราด้วย ที่ทำให้เรารู้สึกห่างกับแม่ แต่จะให้แม่เลิกกับสามีเค้า มันก็ไม่ใช่
เพราะเค้าก็คือผู้มีพระคุณต่อเรามากกว่าพ่อของเราเสียอีก เค้าส่งเราและน้องเรียน
ให้แม่เราอยู่บ้านเฉยๆไม่ต้องทำงาน มีเพชรพลอยใส่เต็มตัว เราเลยต้องพยามทำตัวดีๆ
พูดจาดีๆ ยิ้มๆอยู่ตลอด ซึ่งจริงๆแล้วเราเหนื่อยมากๆ ฝืนมากๆ
พอเราจะกลับ ยกมือหวัดดีแม่และเค้า แล้วก้าวขึ้นรถมา
เรากลับรู้สึกโล่งใจมากกว่าตอนอยู่กับแม่และสามีแม่อีก แต่มันก็เศร้าอย่างบอกไม่ถูกอ่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เราแค่เครียด เลยอยากระบาย
รู้สึกห่างเหินกับแม่ไปเรื่อยๆ มีวิธีแก้ปัญหา หรือวิธีคิดที่ช่วยให้จิตใจรู้สึกดีขึ้นไหมคะ
คือเราเครียดๆ มันเหมือนเป็นปมอะไรสักอย่างในชีวิตของเรา ขอเล่าตั้งแต่เด็กๆเลยละกันค่ะ
สมัยก่อนครอบครัวเรายากจนมาก พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เรายังเด็ก เราโตมากับยายที่เลี้ยงดูเราอยู่ตจว.
ก็ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ มีพี่น้องอยู่ 3 คน พี่คนโตอยู่กับปู่ย่าที่จังหวัดอื่น พ่อกับแม่ทำงานอยู่กรุงเทพ
ต่างคนต่างมีสามีภรรยาใหม่ ส่งเงินให้ยายเลี้ยงดูเรา แต่ส่วนใหญ่แม่จะเป็นคนส่ง
ปีนึงจะเจอแม่แค่ครั้งสองครั้ง เพราะแม่ไม่ค่อยมีตังค์ ตอนนั้นยังเด็กมาก จำได้ว่า
ถ้ารู้ว่าแม่จะมา ก็จะดีใจตื่นเต้นทุกครั้ง เพราะแม่จะซื้อเสื้อผ้า ซื้อขนม ซื้อของเล่นมาฝาก
และเราจะได้นอนกับแม่ กอดหอมแม่ ตอนนั้นรู้สึกถึงความรักของแม่ที่มีต่อเรามากๆ
เวลาแม่กลับก็จะร้องไห้เป็นอาทิตย์ๆเลย
พอช่วงเราป.6 แม่เริ่มตั้งตัวได้ ก็ย้ายพวกเรามาอยู่อีกจังหวัดนึง ซึ่งอยู่ในเมืองที่เจริญหน่อย ได้เข้าโรงเรียนดีๆ
คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น และก็ย้ายที่อยู่อีกครั้งตอนเข้ามัธยม มาอยู่แถว กทม.
ตอนนี้เราเรียนจะจบแล้ว ตั้งแต่เด็กจนโต ย้ายรร. มาประมาณ 8 ครั้ง ได้อยู่บ้านหลังเดียวกับแม่ประมาณ 3 ปี
ที่เหลือก็อยู่กับยายและย้ายมาอยู่หอช่วงเข้ามหาวิทยาลัย
ด้วยเหตุผลและความลับหลายๆอย่างของครอบครัวเรา ซึ่งเราไม่อาจให้ใครรับรู้ได้ เลยทำให้เราเป็นคนเงียบๆ
ไม่ค่อยพูด แทบไม่มีเพื่อนเลย มีแค่คนที่รู้จักไว้คุยเรื่องงานเรื่องการบ้านเท่านั้น แต่ไม่ได้สนิทถึงกับจะเรียกว่าเพื่อนได้
จนปัจจุบันก็รู้สึกว่าตัวคนเดียว เหมือนมีโลกส่วนตัว หลายๆครั้งที่เหงา เราพยามลองเข้าหาคนอื่นแล้ว
แต่เป็นเราเองที่รู้สึกว่ามันฝืน และรู้สึกว่าเพื่อนก็ไม่ได้อยากเข้าหาเราเหมือนกัน
สิ่งที่เราต้องการ คือเราอยากมีเพื่อนคุยหรือคนที่สนิท นั่นก็คือแม่ แต่พอโตมาแล้ว เรารู้สึกว่าเราห่างกับแม่ไปทุกที
มันเหมือนมีเส้นบางๆขั้นอยู่ระหว่างเรากับแม่ ตั้งแต่โตมา แทบไม่เคยกอดหอมแม่เลย เพราะเราไม่กล้า
เวลาอยู่กับแม่และสามีใหม่ของแม่ เรารู้สึกเหมือนเราฝืน เราเหนื่อย ที่ต้องพยามยิ้ม คอยระมัดระวังเรื่องคำพูด
ไม่เป็นตัวของตัวเอง และรู้สึกว่าแม่ไม่ค่อยสนใจเรา เวลาอยู่กับเราสองคน ก็ไม่ค่อยถามไถ่ถึงเรื่องเรียนสารทุกข์สุกดิบของเรา
(เราเรียนคณะที่ยาก(สำหรับเรา) ซึ่งมันเป็นความประสงค์ของแม่ที่อยากให้เราเรียน และทุกครั้งที่สอบเราก็จะเครียดและกดดันมาก)
แต่มีอยู่ครั้งนึง เรากำลังจะสอบ และเครียดมาก อ่านเท่าไรก็จำไม่ได้ อยู่ๆแม่ส่งไลน์มาว่า “สู้ๆนะ แม่รู้ว่าหนูทำได้”
เราอ่านข้อความเสร็จ น้ำตาไหล และมีแรงฮึดสู้นั่งอ่านหนังสือจนถึงเช้าแล้วไปสอบเลย ทำข้อสอบได้ด้วย และนั่นมันก็นานมาแล้ว
ปัจจุบันคือ แม่จะพูดแต่เรื่องของสามี ว่าเค้าแบบนั้นแบบนี้ เค้าดีมาก เล่าเรื่องเพื่อนของสามี ลูกของเพื่อนสามี ซึ่งเราไม่รู้จัก
เวลาเรามีสอบ หรือไปสัมภาษณ์งาน บางทีเราก็อยากเห็นข้อความของแม่เหมือนแต่ก่อน เพราะมันคือกำลังใจเดียวของเรา
บางทีแม่ถามทำอะไร เราบอกว่าอ่านสอบ แม่ก็เงียบไป วันต่อมาก็ส่งรูปไปเที่ยวกับสามีของเค้ามาให้เราดู
แบบส่งมารัวๆๆๆ เราเห็นแม่มีความสุข แม่สบาย ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนแต่ก่อน เราก็ดีใจ แต่ทำไมไม่รู้ ลึกๆเรากลับน้อยใจ
และรู้สึกว่าแม่เริ่มห่างเราไปทุกที ไม่สนใจเรา ไม่เคยไปเที่ยวไหนพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวมาหลายปีแล้ว
เทศกาลอะไรก็ไม่เคยไปไหน อยู่แต่บ้าน ไม่แม่ก็ไปเที่ยวกับสามีเค้าสองคน และส่งรูปมาให้เราดู
ส่วนพ่อเราไม่ต้องพูดถึง ปีนึงโทรหาเราไม่เกิน 3 ครั้ง
เรารู้สึกตัวคนเดียว ทั้งที่ใส่เสื้อผ้าราคาแพง มีเงินกินข้าวห้างแทบทุกวัน แต่เราไม่มีความสุข
ยังอยากได้ความรักและความสนใจจากแม่ เวลาอยู่กับแม่ เรารู้สึกว่าเราเกรงใจ
รู้สึกเหมือนแม่เป็นคนอื่น บางทีแม่พูดจาต่อคนอื่นแบบที่เราฟังแล้วรู้สึกรับไม่ได้ก็มี
ทำให้เรารู้สึกแย่กับแม่เรามากขึ้น เราเองก็รู้สึกผิด ที่มีความรู้สึกแบบนี้ต่อบุพการีที่มีพระคุณ
แล้วมันก็เหมือนเป็นปมอะไรสักอย่างในชีวิตเราด้วย
เมื่อเช้าเป็นวันที่เราต้องพรีเซ้นงาน เป็นโปรเจ็คจบของเรา เรากลัวและตื่นเต้นมาก เลยส่งไลน์ไปหาแม่
ว่ากลัวจังเลย จะพรีเซ้นงานแล้ว ชั่วโมงต่อมา แม่ก็ส่งสติกเกอร์ว่าสู้ๆ แค่นั้น
เรารู้เลยว่าแม่ขี้เกียจพิมพ์ ขี้เกียจที่จะคุยกับเรา เพราะเวลาที่แม่อยากได้อะไร หรือมีปัญหาอะไร
แม่จะพิมพ์ยาวๆ ส่งมารัวๆ บางคนอ่าน อาจจะคิดว่าเราปัญญาอ่อน แค่นี้ก็เก็บมาคิด
แต่มันเป็นความรู้สึกของเราจริงๆ ว่าเราห่างกับแม่ไปเรื่อยๆ
เราไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง จะหาทางปรับเปลี่ยนวิธีคิดยังไง มันเหมือนมีกำแพงที่ใจของเรา ของแม่เรา
และสามีของแม่เราด้วย ที่ทำให้เรารู้สึกห่างกับแม่ แต่จะให้แม่เลิกกับสามีเค้า มันก็ไม่ใช่
เพราะเค้าก็คือผู้มีพระคุณต่อเรามากกว่าพ่อของเราเสียอีก เค้าส่งเราและน้องเรียน
ให้แม่เราอยู่บ้านเฉยๆไม่ต้องทำงาน มีเพชรพลอยใส่เต็มตัว เราเลยต้องพยามทำตัวดีๆ
พูดจาดีๆ ยิ้มๆอยู่ตลอด ซึ่งจริงๆแล้วเราเหนื่อยมากๆ ฝืนมากๆ
พอเราจะกลับ ยกมือหวัดดีแม่และเค้า แล้วก้าวขึ้นรถมา
เรากลับรู้สึกโล่งใจมากกว่าตอนอยู่กับแม่และสามีแม่อีก แต่มันก็เศร้าอย่างบอกไม่ถูกอ่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เราแค่เครียด เลยอยากระบาย