มาแชร์แนวคิดอีกแบบของการลงทุนแบบใช้ Momentum Factor ครับ
ช่วงฤดูผลประกอบการ นักลงทุนสายโมเมนตัมแบบผมจะสนใจกันที่
earning/or sales surprises เพราะคำว่า surprises (ไม่ว่าจะออกมาบวกหรือลบ) จะเป็นจุดหนึ่งที่สามารถคาดการณ์กำไรหรือยอดขายในไตรมาสถัดไปได้
แล้ว surprises แบบไหนถึงจะดี:
1. positive earning surprises: ราคาหุ้นมักจะขึ้น เช่น DTAC รายงานกำไรไตรมาสสามนี้ แม้กำไรจะลดลงมามากเมื่อเทียบแบบ YoY แต่ surprises นักวิเคราะห์ของโปรกหนึ่งที่ +11% และ surprises ประมาณการเฉลี่ยบลูมเบิร์ก +4% หุ้นก็ปิดบวกไปได้ที่ +3.23% ก็เป็นไปได้ว่าตลาดอาจปรับสมดุลราคาให้ DTAC ใหม่เพื่อสะท้อนความเปลี่ยนแปลงตรง surprise นี้ (ถ้าคิดเหตุผลแบบสายโมเมนตัม)
2. negative earning surprises: ราคาหุ้นมักจะไหลลง เช่น ไตรมาสที่สองปีนี้ของ CHG (negative surprises (ต่ำกว่าตลาดคาด) = -29.7%) หรือไตรมาสแรกปีนี้ของ PLANB (negative surprises (ต่ำกว่าตลาดคาด) = -25%) หรือไตรมาสที่สองปีนี้ของ JWD (negative surprises (ต่ำกว่าตลาดคาด) = -81.4%)
3. positive earning surprises มาพร้อมกับยอดขายเพิ่ม: แสดงถึงความเติบโตต่อไปของธุรกิจ และราคาหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องกว่า ... ลองทำการบ้านหากันดูครับ
4. positive earning surprises ที่ได้จากแค่การลดค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือมาจากแค่กำไรพิเศษชั่วคราว: การเติบโตของธุรกิจน่าจะแผ่วลง เพราะถ้าธุรกิจจะเติบโตได้ต่อเนื่องยอดขายควรจะเพิ่มมาด้วย ... ราคาหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นได้ไม่มั่นคง เช่น TASCO ปีก่อน surprises อย่างเทพ ปีนี้ก็อย่างที่เห็น เป็นตัวอย่างศึกษาที่ดีของหุ้นที่มีแค่ positive price momentum แต่ไม่มี positive earning momentum หุ้นขึ้นแต่ไม่ยั่งยืน
5. positive earning surprises ที่เกิดบ่อยๆ หรือราคาหุ้นขึ้นหรือลงมารอรับ surprises ก่อนวันประกาศ: วันประกาศจริงราคาหุ้นมักจะออกอาการตรงข้ามกัน อย่างที่เราเห็นบ่อยๆ ที่เรียกกันว่า “buy on rumor and sell on fact” ซึ่งมักจะเห็นบ่นกันเยอะในพันทิพ 555
แล้วใช้ประโยช์น surprises อย่างไรกับการสร้างพอร์ตให้ดีในระยะยาว:
1. หาจังหวะเหมาะสมเข้าซื้อหุ้นหลังงบออกแล้วมี positive earning surprises แบบข้อ 3 และ 5
2. หาหุ้นที่คิดว่างบออกแล้วจะมี positive earning surprises แล้วซื้อสะสมล่วงหน้าไว้
3. ไม่ว่าจะวิธี 1 หรือ 2 ก็จะเป็นผลดีกับพอร์ต (ถ้าเราไม่ลงทุนสั้น) เพราะเมื่อมีโมเมนตัมบวกเกิดขึ้น ตามหลักการโมเมนตัม แรงโมเมนตัมบวกมันก็จะยังอยู่ในทิศทางของมัน (ใครเรียนฟิสิกส์มาน่าจะเข้าใจดี) จนกว่าแรงโมเมนตัมบวกจะอ่อนไป (เราก็มีวิธีดูได้) เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีหุ้นที่มีโมเมนตัมแบบ positive earning surprises แบบข้อ 3 และ 5 อยู่ในพอร์ต ก็เหมือนเราซื้ออนาคตที่ดีของหุ้นเก็บไว้นั่นเอง เพราะราคาหุ้นมันขึ้นหรือเล่นจากการคาดหมายของอนาคต
อ่านอนาคตหุ้นช่วงฤดูผลประกอบการ (ลงทุนแนว Momentum Factor)
ช่วงฤดูผลประกอบการ นักลงทุนสายโมเมนตัมแบบผมจะสนใจกันที่ earning/or sales surprises เพราะคำว่า surprises (ไม่ว่าจะออกมาบวกหรือลบ) จะเป็นจุดหนึ่งที่สามารถคาดการณ์กำไรหรือยอดขายในไตรมาสถัดไปได้
แล้ว surprises แบบไหนถึงจะดี:
1. positive earning surprises: ราคาหุ้นมักจะขึ้น เช่น DTAC รายงานกำไรไตรมาสสามนี้ แม้กำไรจะลดลงมามากเมื่อเทียบแบบ YoY แต่ surprises นักวิเคราะห์ของโปรกหนึ่งที่ +11% และ surprises ประมาณการเฉลี่ยบลูมเบิร์ก +4% หุ้นก็ปิดบวกไปได้ที่ +3.23% ก็เป็นไปได้ว่าตลาดอาจปรับสมดุลราคาให้ DTAC ใหม่เพื่อสะท้อนความเปลี่ยนแปลงตรง surprise นี้ (ถ้าคิดเหตุผลแบบสายโมเมนตัม)
2. negative earning surprises: ราคาหุ้นมักจะไหลลง เช่น ไตรมาสที่สองปีนี้ของ CHG (negative surprises (ต่ำกว่าตลาดคาด) = -29.7%) หรือไตรมาสแรกปีนี้ของ PLANB (negative surprises (ต่ำกว่าตลาดคาด) = -25%) หรือไตรมาสที่สองปีนี้ของ JWD (negative surprises (ต่ำกว่าตลาดคาด) = -81.4%)
3. positive earning surprises มาพร้อมกับยอดขายเพิ่ม: แสดงถึงความเติบโตต่อไปของธุรกิจ และราคาหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องกว่า ... ลองทำการบ้านหากันดูครับ
4. positive earning surprises ที่ได้จากแค่การลดค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือมาจากแค่กำไรพิเศษชั่วคราว: การเติบโตของธุรกิจน่าจะแผ่วลง เพราะถ้าธุรกิจจะเติบโตได้ต่อเนื่องยอดขายควรจะเพิ่มมาด้วย ... ราคาหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นได้ไม่มั่นคง เช่น TASCO ปีก่อน surprises อย่างเทพ ปีนี้ก็อย่างที่เห็น เป็นตัวอย่างศึกษาที่ดีของหุ้นที่มีแค่ positive price momentum แต่ไม่มี positive earning momentum หุ้นขึ้นแต่ไม่ยั่งยืน
5. positive earning surprises ที่เกิดบ่อยๆ หรือราคาหุ้นขึ้นหรือลงมารอรับ surprises ก่อนวันประกาศ: วันประกาศจริงราคาหุ้นมักจะออกอาการตรงข้ามกัน อย่างที่เราเห็นบ่อยๆ ที่เรียกกันว่า “buy on rumor and sell on fact” ซึ่งมักจะเห็นบ่นกันเยอะในพันทิพ 555
แล้วใช้ประโยช์น surprises อย่างไรกับการสร้างพอร์ตให้ดีในระยะยาว:
1. หาจังหวะเหมาะสมเข้าซื้อหุ้นหลังงบออกแล้วมี positive earning surprises แบบข้อ 3 และ 5
2. หาหุ้นที่คิดว่างบออกแล้วจะมี positive earning surprises แล้วซื้อสะสมล่วงหน้าไว้
3. ไม่ว่าจะวิธี 1 หรือ 2 ก็จะเป็นผลดีกับพอร์ต (ถ้าเราไม่ลงทุนสั้น) เพราะเมื่อมีโมเมนตัมบวกเกิดขึ้น ตามหลักการโมเมนตัม แรงโมเมนตัมบวกมันก็จะยังอยู่ในทิศทางของมัน (ใครเรียนฟิสิกส์มาน่าจะเข้าใจดี) จนกว่าแรงโมเมนตัมบวกจะอ่อนไป (เราก็มีวิธีดูได้) เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีหุ้นที่มีโมเมนตัมแบบ positive earning surprises แบบข้อ 3 และ 5 อยู่ในพอร์ต ก็เหมือนเราซื้ออนาคตที่ดีของหุ้นเก็บไว้นั่นเอง เพราะราคาหุ้นมันขึ้นหรือเล่นจากการคาดหมายของอนาคต