ขอแชร์มุมมองซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัวมากๆนะครับ ผมคิดว่านักลงทุนรายย่อยในตลาดส่วนมากจะ valuation หุ้นที่ลงทุนไม่ค่อได้กัน จะซื้อตัวไหน ซื้อทำไม ซื้อตอนไหน ขายตอนไหน ผมว่านะส่วนใหญ่มาจาก
-ข่าว ทุกวันในไลน์ ในเวปบอร์ด ทีวี
-มาร์หรือโบรคเชียร์ ไม่ว่าจะส่วนตัวหรือจากบทวิเคราะห์
-ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นลงหวือหวา most active
อะไรอีกล่ะ คิดไม่ออก ผมแค่อยากจะบอกว่าถ้าเราหวังจะอยู่รอดในตลาดยาวๆ อยากสร้างพอร์ตให้โตไปเรื่อยๆ แต่เราตัดสินใจซื้อขายจากข้อมูลที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นไม่เพียงพอแน่ๆครับ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ธุรกิจ ผลประกอบการณ์ในอนาคต ฯลฯ เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับนักลงทุน เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะสะท้อนลงมาที่ราคาหุ้นในที่สุด แต่ถ้าใครหวังแค่ว่าจะมาหาค่ากับข้าว เก็งกำไรฉาบฉวยก็ผ่านไปได้เลยนะครับ ไม่เป็นไร
ยกตัวอย่างวิธี basic ในการ valuation ที่ผมว่าง่ายที่สุดก็คือการใช้ P/E หรือราคาหุ้นต่อกำไร จะคิดต่อหุ้นหรือทั้งบริษัทก็ได้ค่าเหมือนกัน สมการนี้ง่ายมากนะครับ ย้ายข้างไปมาแล้วแต่ว่าเราจะหาค่าอะไร โดย
P/E ratio = P/E
P = Price หรือราคาหุ้น
E = Earning หรือกำไรของบริษัท
เราอยากรู้ว่าหุ้นตัวนี้ควรจะมีราคาเท่าไหร่ ดังนั้น
P=E*ค่า P/E ratio
สิ่งที่จะหานั้นคือค่าใน "อนาคต" นะครับ เพราะถ้าเราจะหาค่าปัจจุบัน ไปดูในเวปเอาได้เลย ไม่จำเป็น ดังนั้นสิ่งที่เราจะหาเป็นลำดับแรกก็คือตัว "E" (Earning) หรือกำไรของบริษัท ต่อมาคือค่า P/E ratio อันนี้อาจจะต้องมโน (แบบมีหลักการ) แต่เราจะมโนกันหลังจากได้ค่า E กันนะครับ ส่วนราคา (P) อดใจเอาไว้ท้ายสุดครับ เราจะรู้อัตโนมัติตามสมการข้างต้นหลังจากได้ตัว E และ ค่า P/E ratio
ที่นี้สิ่งที่เราต้องทำคือ วิเคราะห์ผลกำไรในอนาคตของบริษัท (E) ไม่ต้องวิเคราะห์ไปไกลมากก็ได้ครับ เอาแค่ 1-4 ไตรมาสข้างหน้าก่อน หาบริษัทที่กำไรจะโต (ราคาหุ้นจะสูงขึ้น) โตจากอะไร... เราต้องมี base line ก่อนครับ สามารถหาง่ายๆโดยดูเอาจากงบการเงินรายไตรมาสก็ได้ครับ เช่นตัวนี้ (ผมไม่ได้ถือหุ้นตัวนี้นะครับ)
https://www.set.or.th/set/newsdetails.do?newsId=14948038281011&language=th&country=TH
ถ้างบไตรมาสที่ผ่านมาโตจากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว ลองย้อนไปดูอีกสักหน่อย สัก 2-3 ไตรมาส แนวโน้มเติบโตเหมือนกันหรือเปล่า หาเหตุผลว่าโตเพราะอะไร ถ้ามาจากกำไรปกติ เช่น ยอดขายเพิ่ม ลูกค้าเพิ่ม การต้นทุนลด หรือพูดง่ายๆว่าเป็นการโตเพราะธุรกิจหลักแบบนี้ดี แต่ถ้าโตเพราะกำไรพิเศษ เช่น กำไรจากการขายที่ดิน เกิดขึ้นแค่ไตรมาสเดียว คราวหน้าไม่มีแบบนี้แล้วผ่านไปก่อนเลยครับ เน้นแค่กำไรปกติพอก่อน
จากนั้นลองมาคาดการณ์ผลกำไรไตรมาสหน้าและไตรมาสต่อๆไปดูกัน โดยเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (ค้นหางบเก่าๆได้ใน tab ข่าวของหุ้นแต่ละตัว)
https://www.set.or.th/set/companynews.do?symbol=WICE&ssoPageId=8&language=th&country=TH
คาดการณ์ให้ครบ 4 ไตรมาสข้างหน้า จากนั้นลองเอามาบวกกันดู หากำไรต่อหุ้นได้เป็น 0.25 + 0.30 + 0.35 + 0.35 = 1.25 บาทต่อหุ้น ต่อปี หรือ 4 ไตรมาส (ไม่ใช่กำไรของ WICE นะครับ ผมสมมติเฉยๆ) หุ้นตัวนี้ควรมีราคาเท่าไหร่? ทีนี้ถึงจุดไคลแมกซ์แล้วครับ เราได้ตัว E มาแล้ว อยากรู้ตัว P หรือราคาเราต้องค่า P/E ratio ที่เหมาะสมให้มัน (มโนแบบมีหลักการ) เพราะ P=E*ค่า P/E ratio แต่เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าหุ้นตัวนี้ควรจะมี P/E ratio ที่เท่าไหร่?
ผมแนะนำเอาง่ายๆแบบนี้ครับ เนื่องจากตลาดแต่ละช่วงเวลา มีอารมณ์ที่แตกต่างกัน บางช่วงตลาดมองโลกสดใส เราก็จะเจอแต่หุ้นแพงๆ P/E สูงๆ แต่กลับกันถ้าตลาดมองโลกคลุมเครือ ห่อเหี่ยว คนไม่อยากจะซื้อหุ้น เราก็อาจจะเจอหุ้นถูกๆจำนวนมากก็เป็นได้ ดังนั้น focus หุ้นที่เราวิเคราะห์ก่อนโดยการย้อนไปดูค่า P/E ย้อนหลังหลายๆปีก็ได้ว่า โดยรวมตลาดให้ P/E หุ้นตัวนี้ที่เท่าไหร่ จะดูหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันเปรียบเทียบด้วยก็ได้ สมมติ หุ้นตัวนี้ควรเทรดกันที่ค่า P/E=10 ดังนั้นราคาในอนาคตมันคือ 1.25*10 = 12.5 บาท จากนั้นลองไปดูราคาปัจจุบันของมันกันว่ามัน under/over value ในอนาคตที่เราคาดการณ์ไว้ (1 ปี) สมมติราคาปัจจุบันอยู่ที่ 10 บาท แสดงว่าถ้าเราซื้อตอนนี้ เราจะมีกำไร 25% ใน 1 ปี และถ้าเราคิดถี่ถ้วนและตัดสินใจซื้อมันแล้ว หลังจากนั้นเราก็แค่รอผลของมันครับ ติดตามงบการเงินที่จะออกในอนาคต คิดเสียว่าลุ้นหวยออกละกัน ระยะเวลา 1 ปีผมคิดว่าเร็วมาก ดีไม่ดีมีใครมาเห็น value ที่ซ่อนอยู่ อาจจะไม่ถึงปีราคาวิ่งไปถึงเป้าหมายละ
สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกครับ เริ่มจากธุรกิจที่เราคุ้นเคยก่อนก็ได้ ทำบ่อยๆ แล้วก็มาลุ้นงบที่จะออกแต่ละไตรมาส เป็นไปตามที่เราคิดมั้ย ปรับตัวเลขกันใหม่ก็ได้ ถ้ามันเป็นหรือไม่เป็นไปตามที่เราคิด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องรู้ชัดเจนว่าทำไมมันถึงออกมาแบบนั้น ถ้าไม่อยากศึกษาเรื่องบัญชี อาจจะอ่านบทวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทก็ได้ ตอนงบออกมา (แต่ผมแนะนำว่าควรศึกษา) ไม่ต้องกังวลเกินไปว่ามันจะผิด เพราะนักวิเคราะห์ระดับโลกก็ไม่มีวันที่จะ valuation ออกมาได้อย่างเป๊ะๆ ดังนั้นยิ่งฝึกเท่าไหร่ยิ่งเก่งครับ
ผมคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ต้องจบการเงิน วิศวะ หรือเรียนสูงๆก็สามารถทำกันได้ แค่ต้องขยันอีกนิด เรียนรู้เพิ่มอีกหน่อย คิดเสียว่าเวลาเราซื้อเครื่องสำอางค์ ซื้ออาหาร ของกินของใช้เรายังต้องศึกษาเลยว่ามันดีหรือไม่ดีก่อนซื้อ แต่กับหุ้นทำไมเราถึงซื้อขายง่ายจัง ทั้งที่เม็ดเงินมากกว่าการซื้อของพวกนั้นตั้งหลายเท่า
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านครับ ด้วยความปราถนาดีต่อนักลงทุนทุกท่าน
ใครอยากมีพอร์ตหุ้นที่เติบโต ยั่งยืน แต่ยังซื้อหุ้นตามข่าว ตามโบรคเชียร์ ลองเข้ามาอ่านครับ
-ข่าว ทุกวันในไลน์ ในเวปบอร์ด ทีวี
-มาร์หรือโบรคเชียร์ ไม่ว่าจะส่วนตัวหรือจากบทวิเคราะห์
-ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นลงหวือหวา most active
อะไรอีกล่ะ คิดไม่ออก ผมแค่อยากจะบอกว่าถ้าเราหวังจะอยู่รอดในตลาดยาวๆ อยากสร้างพอร์ตให้โตไปเรื่อยๆ แต่เราตัดสินใจซื้อขายจากข้อมูลที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นไม่เพียงพอแน่ๆครับ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ธุรกิจ ผลประกอบการณ์ในอนาคต ฯลฯ เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับนักลงทุน เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะสะท้อนลงมาที่ราคาหุ้นในที่สุด แต่ถ้าใครหวังแค่ว่าจะมาหาค่ากับข้าว เก็งกำไรฉาบฉวยก็ผ่านไปได้เลยนะครับ ไม่เป็นไร
ยกตัวอย่างวิธี basic ในการ valuation ที่ผมว่าง่ายที่สุดก็คือการใช้ P/E หรือราคาหุ้นต่อกำไร จะคิดต่อหุ้นหรือทั้งบริษัทก็ได้ค่าเหมือนกัน สมการนี้ง่ายมากนะครับ ย้ายข้างไปมาแล้วแต่ว่าเราจะหาค่าอะไร โดย
P/E ratio = P/E
P = Price หรือราคาหุ้น
E = Earning หรือกำไรของบริษัท
เราอยากรู้ว่าหุ้นตัวนี้ควรจะมีราคาเท่าไหร่ ดังนั้น
P=E*ค่า P/E ratio
สิ่งที่จะหานั้นคือค่าใน "อนาคต" นะครับ เพราะถ้าเราจะหาค่าปัจจุบัน ไปดูในเวปเอาได้เลย ไม่จำเป็น ดังนั้นสิ่งที่เราจะหาเป็นลำดับแรกก็คือตัว "E" (Earning) หรือกำไรของบริษัท ต่อมาคือค่า P/E ratio อันนี้อาจจะต้องมโน (แบบมีหลักการ) แต่เราจะมโนกันหลังจากได้ค่า E กันนะครับ ส่วนราคา (P) อดใจเอาไว้ท้ายสุดครับ เราจะรู้อัตโนมัติตามสมการข้างต้นหลังจากได้ตัว E และ ค่า P/E ratio
ที่นี้สิ่งที่เราต้องทำคือ วิเคราะห์ผลกำไรในอนาคตของบริษัท (E) ไม่ต้องวิเคราะห์ไปไกลมากก็ได้ครับ เอาแค่ 1-4 ไตรมาสข้างหน้าก่อน หาบริษัทที่กำไรจะโต (ราคาหุ้นจะสูงขึ้น) โตจากอะไร... เราต้องมี base line ก่อนครับ สามารถหาง่ายๆโดยดูเอาจากงบการเงินรายไตรมาสก็ได้ครับ เช่นตัวนี้ (ผมไม่ได้ถือหุ้นตัวนี้นะครับ)
https://www.set.or.th/set/newsdetails.do?newsId=14948038281011&language=th&country=TH
ถ้างบไตรมาสที่ผ่านมาโตจากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว ลองย้อนไปดูอีกสักหน่อย สัก 2-3 ไตรมาส แนวโน้มเติบโตเหมือนกันหรือเปล่า หาเหตุผลว่าโตเพราะอะไร ถ้ามาจากกำไรปกติ เช่น ยอดขายเพิ่ม ลูกค้าเพิ่ม การต้นทุนลด หรือพูดง่ายๆว่าเป็นการโตเพราะธุรกิจหลักแบบนี้ดี แต่ถ้าโตเพราะกำไรพิเศษ เช่น กำไรจากการขายที่ดิน เกิดขึ้นแค่ไตรมาสเดียว คราวหน้าไม่มีแบบนี้แล้วผ่านไปก่อนเลยครับ เน้นแค่กำไรปกติพอก่อน
จากนั้นลองมาคาดการณ์ผลกำไรไตรมาสหน้าและไตรมาสต่อๆไปดูกัน โดยเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (ค้นหางบเก่าๆได้ใน tab ข่าวของหุ้นแต่ละตัว)
https://www.set.or.th/set/companynews.do?symbol=WICE&ssoPageId=8&language=th&country=TH
คาดการณ์ให้ครบ 4 ไตรมาสข้างหน้า จากนั้นลองเอามาบวกกันดู หากำไรต่อหุ้นได้เป็น 0.25 + 0.30 + 0.35 + 0.35 = 1.25 บาทต่อหุ้น ต่อปี หรือ 4 ไตรมาส (ไม่ใช่กำไรของ WICE นะครับ ผมสมมติเฉยๆ) หุ้นตัวนี้ควรมีราคาเท่าไหร่? ทีนี้ถึงจุดไคลแมกซ์แล้วครับ เราได้ตัว E มาแล้ว อยากรู้ตัว P หรือราคาเราต้องค่า P/E ratio ที่เหมาะสมให้มัน (มโนแบบมีหลักการ) เพราะ P=E*ค่า P/E ratio แต่เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าหุ้นตัวนี้ควรจะมี P/E ratio ที่เท่าไหร่?
ผมแนะนำเอาง่ายๆแบบนี้ครับ เนื่องจากตลาดแต่ละช่วงเวลา มีอารมณ์ที่แตกต่างกัน บางช่วงตลาดมองโลกสดใส เราก็จะเจอแต่หุ้นแพงๆ P/E สูงๆ แต่กลับกันถ้าตลาดมองโลกคลุมเครือ ห่อเหี่ยว คนไม่อยากจะซื้อหุ้น เราก็อาจจะเจอหุ้นถูกๆจำนวนมากก็เป็นได้ ดังนั้น focus หุ้นที่เราวิเคราะห์ก่อนโดยการย้อนไปดูค่า P/E ย้อนหลังหลายๆปีก็ได้ว่า โดยรวมตลาดให้ P/E หุ้นตัวนี้ที่เท่าไหร่ จะดูหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันเปรียบเทียบด้วยก็ได้ สมมติ หุ้นตัวนี้ควรเทรดกันที่ค่า P/E=10 ดังนั้นราคาในอนาคตมันคือ 1.25*10 = 12.5 บาท จากนั้นลองไปดูราคาปัจจุบันของมันกันว่ามัน under/over value ในอนาคตที่เราคาดการณ์ไว้ (1 ปี) สมมติราคาปัจจุบันอยู่ที่ 10 บาท แสดงว่าถ้าเราซื้อตอนนี้ เราจะมีกำไร 25% ใน 1 ปี และถ้าเราคิดถี่ถ้วนและตัดสินใจซื้อมันแล้ว หลังจากนั้นเราก็แค่รอผลของมันครับ ติดตามงบการเงินที่จะออกในอนาคต คิดเสียว่าลุ้นหวยออกละกัน ระยะเวลา 1 ปีผมคิดว่าเร็วมาก ดีไม่ดีมีใครมาเห็น value ที่ซ่อนอยู่ อาจจะไม่ถึงปีราคาวิ่งไปถึงเป้าหมายละ
สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกครับ เริ่มจากธุรกิจที่เราคุ้นเคยก่อนก็ได้ ทำบ่อยๆ แล้วก็มาลุ้นงบที่จะออกแต่ละไตรมาส เป็นไปตามที่เราคิดมั้ย ปรับตัวเลขกันใหม่ก็ได้ ถ้ามันเป็นหรือไม่เป็นไปตามที่เราคิด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องรู้ชัดเจนว่าทำไมมันถึงออกมาแบบนั้น ถ้าไม่อยากศึกษาเรื่องบัญชี อาจจะอ่านบทวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทก็ได้ ตอนงบออกมา (แต่ผมแนะนำว่าควรศึกษา) ไม่ต้องกังวลเกินไปว่ามันจะผิด เพราะนักวิเคราะห์ระดับโลกก็ไม่มีวันที่จะ valuation ออกมาได้อย่างเป๊ะๆ ดังนั้นยิ่งฝึกเท่าไหร่ยิ่งเก่งครับ
ผมคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่ต้องจบการเงิน วิศวะ หรือเรียนสูงๆก็สามารถทำกันได้ แค่ต้องขยันอีกนิด เรียนรู้เพิ่มอีกหน่อย คิดเสียว่าเวลาเราซื้อเครื่องสำอางค์ ซื้ออาหาร ของกินของใช้เรายังต้องศึกษาเลยว่ามันดีหรือไม่ดีก่อนซื้อ แต่กับหุ้นทำไมเราถึงซื้อขายง่ายจัง ทั้งที่เม็ดเงินมากกว่าการซื้อของพวกนั้นตั้งหลายเท่า
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านครับ ด้วยความปราถนาดีต่อนักลงทุนทุกท่าน