Fanboy Reviews: Oasis: Supersonic

*Disclaimer* บทความรีวิวนี้ มาจากมุมมองที่เต็มไปด้วยอคติและ nostalgia ของบุคคลที่เรียกตัวเองว่า "แฟนบอย" กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ

ผมคิดว่าผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับ Oasis แล้ว..
ผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องดูหนังเรื่องนี้..
แต่พอเห็นใบปิดของหนังเรื่องนี้ที่โรงตอนที่ไปดูเรื่อง "มหัศจรรย์ตลาดปลาซึคิจิ"
ผมแทบควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่

ผมเช็คเพจ Documentary Club ทุกวัน รอประกาศรอบฉายอย่างใจจดใจจ่อ
แล้วก็ใจหายที่ในทีแรกเพจบอกว่าโรงที่ขอนแก่นขอดูฟีดแบ็คจากใน กทม. ก่อน
ผมทำใจแล้วว่าคงไม่ได้ดู แต่วันต่อมา เพจก็แกล้งผมอีกครั้งด้วยการประกาศว่าที่ขอนแก่นได้รอบมาแล้ว 3 วัน
ผมไม่แน่ใจว่าหนังจะได้ยืดรอบฉายไปมากกว่านี้หรือเปล่า
ผมเลยตัดสินใจนัดเพื่อนสมัยมัธยมที่บ้า Oasis เหมือนกัน เคยทำวงเล่นเพลงโอเอซิสกันมาดูกันวันนี้เลย

จริงอยู่ที่ว่าผมรู้เรื่องส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
แต่การได้เห็นภาพ ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอีกครั้ง
ความรู้สึกต่างๆมันก็ประดังกลับมา
ภาพตอนที่ซื้อเทปวงนี้ม้วนแรก ภาพตอนที่แกะเพลงจนเล่นได้ทั้งอัลบั้ม
ภาพตอนเข้าห้องซ้อมเล่นและร้องเพลงเหล่านี้สุดเสียง
กลับมาอย่างแจ่มชัดในจิตใจ
มันย้ำเตือนว่าครั้งหนึ่งผมเคยรักวงนี้ขนาดไหน
ไม่สิ..รักมาตลอดไม่เปลี่ยนแปลงมากกว่า

หนังเล่าเรื่องตั้งแต่ฟอร์มวงกันเมื่อปี 1991 ถึง คอนเสิร์ตในตำนาน Knebworth ปี 1996
ซึ่งก็ควรเป็นอย่างนั้น เพราะนั่นคือช่วงที่ดีที่สุด
เล่าเรื่องด้วยฟุตเทจหายากที่ถ่ายไว้ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกไปจนถึงยุครุ่งเรืองประกอบการบรรยาย
สลับกับอาร์ตเวิร์กแนวคอลลาจที่ดูสวยดี
หนังเล่าเรื่องแบบลึก แต่ไม่กว้าง
หนังโฟกัสที่การเดินทางของโอเอซิสในฐานะวงและความสัมพันธ์ภายในเพียวๆ
ไม่มีเรื่องการแย่งชิงตำแหน่งจ้าวแห่งบริตพ็อพกับ blur (ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนคงรู้กันดีอยู่แล้ว)
ผมได้อ่านได้ฟังเรื่องราวนี้มาหลายครั้งก็จริง แต่นี่คือครั้งแรกที่ได้ฟังจากมุมมองของเจ้าตัว
และมันก็ทำให้ผมรู้จักวงที่ผมรักวงนี้ดีขึ้น

วัยเด็กที่ไม่สวยงามนักหล่อหลอมสองพี่น้องกัลลาเกอร์ให้เป็นคนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
โนลกลายเป็นคนเก็บตัว จริงจัง โอหัง หลงตัวเอง อีโก้สูง
ส่วนเลียมกลายเป็นคนบ้าคลั่ง โผงผาง ไม่รู้จักโต ไร้ความรับผิดชอบ
แต่นั่นแหละที่ทำให้โอเอซิสพิเศษ
สองพี่น้องนี่รักกันและเกลียดกันมาก
อย่างที่โนลพูดตอนต้นๆเรื่อง ความสัมพันธ์นี้แหละที่เป็นแรงผลักดันให้โอเอซิสประสบความสำเร็จ และก็นำพาโอเอซิสไปสู่จุดจบ

นอกจากนี้หนังยังทำให้เราเห็นเรื่องนี้จากมุมมองของคนอื่นๆในวง
ที่ก่อนหน้านี้เป็นเหมือน 'มินเนี่ยน' ของสองพี่น้องกัลลาเกอร์
รวมถึงคนอื่นๆที่เกี่ยวข้องเช่น อลัน แม็กกี, มาร์ค คอยล์ คนอื่นๆในครอบครัวกัลลาเกอร์
มุมมองต่างๆกันนี่แหละ ที่เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเรื่อง
เช่นเรื่องตอนโนลเข้าวง โนลบอกว่าเปิดประตูห้องซ้อมเข้าไปแบบหล่อๆ ส่วนเลียมบอกว่าโนลคุกเข่าอ้อนวอนขอเข้าวงอย่างกับลูกหมา

เรื่องราวของโอเอซิสย้ำเตือนเราว่าเราไม่จำเป็นต้อง perfect แต่เราต้องมี passion ในการสร้างสิ่งยิ่งใหญ่
โอเอซิสไม่ใช่วงที่เก่งกาจอะไร โนลไม่ใช่มือกีตาร์หรือนักแต่งเพลงที่เก่งที่สุด เลียมไม่ใช่นักร้องที่ดีที่สุด โบนเฮ้ดเล่นเครื่องดนตรีเป็นหลายอย่างแต่ไม่เด่นซักอย่าง กวิ๊กซี่เป็นมือเบสประเภทดึ่มดึ่ม โทนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อลัน ไวท์ นี่เก่งหน่อย แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร
เพลงของโอเอซิสก็ง่ายๆ ส่วนใหญ่ คีย์ C ไม่ก็ G เมโลดี้ง่ายๆตรงๆ โซโล่เพนทาโทนิคพื้นๆ
จบเพลงร้องประโยคเดิมวนไปวนมาซ้ำๆ จนเป็นสูตร เพื่อนผมที่เป็นนักดนตรีบางคนไม่เข้าใจความพิเศษของโอเอซิสเลย
แต่มันมีความพิเศษอยู่จริงๆ เพลงของโอเอซิสมันเก็บเอาชีวิต จิตวิญญาณ และ attitude มาถ่ายถอดได้อย่างยอดเยี่ยม
พฤติกรรมของวงหลายอย่างก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง แต่แม้ตัวบุคคลจะไม่สมบูรณ์แบบ เพลงของโอเอซิสยังคงเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้
และหลังจากเรื่องร้ายมักจะมีเรื่องดีตามมา เลียมมีเรื่องทะเลาะวิวาท โดนค้อนทุบหัวแล้วกลายเป็นคนรักดนตรี โนลบอกว่าการที่พ่อทุบตีเขาอาจเป็นการมอบพรสวรรค์ให้กับเขา ความเละตุ้มเป๊ะของการทัวร์อเมริกาครั้งแรก ทำให้โนลออกจากวงไปชั่วคราว แต่ก็ทำให้เขาได้เพลง Talk Tonight ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงที่เขาชอบที่สุดมา There're ups and downs in life, you just have to roll with it.

เสียงเพลง The Masterplan ตอนจบเรื่อง ทำเอาผมตารื้นๆ อยู่เหมือนกัน
ณ เวลาหนึ่ง พวกเขาคือวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดวงหนึ่งของโลก
เป็น Supernova ที่ระเบิดแล้วสว่างไสวไปทั่วฟ้า
โอเอซิสจะกลับมาไหม เลียมกับโนลจะกลับมาดีกันได้หรือไม่ ชีวิตเราจะเป็นอย่างไรต่อไป
All we know is that we don't know..

คะแนนหนัง 8/10 คะแนนความชอบ/ความรู้สึก 10/10
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่