หลายท่านคงจะได้ยินชื่อวง “Oasis” กันมาบ้างละ หากยังงงว่าเอ๊ะมันวงอะไรให้ลอง Search เพลง Wonderwall หรือ Don’t look back in anger ฟัง ก็น่าจะรู้สึกคุ้นสักนิดสักหน่อยบ้างละ ในส่วนของเราผู้เป็นแฟนเพลงวงนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนไม่ว่าเพลงไหนเปิดมาเราก็ร้องตามได้อยู่แล้ว (จะขิงทำไม?) ได้ไปดู As it was รอบสื่อ จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราดีใจมาก เรียกได้ว่าเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีอีกอย่างหนึ่งปีนี้เลยละ (ขอบคุณสปอนเซอร์และ @M ด้วยนะคะ)
วง Oasis ในอดีตมีนักร้องนำ คือ เลียม กัลลาเกอร์ และมือกีต้าร์/นักแต่งเพลงคนเก่งอย่างโนแอล กัลลาเกอร์ สองพี่น้องจอมกวนประสาท ปากดี หยิ่งผยอง และ “ชอบทะเลาะกันเอง” ตีกันบ้านแทบแตก มันเป็นอะไรกันนักกันหนา จนในที่สุดฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดที่ปารีส 2009 สองพี่น้องประกาศว่าจะไม่เล่นคอนเสิร์ต โนแอล ประกาศลาออกจากวง เป็นอันอวสานวงร็อคที่แสนโด่งดัง Oasis เกริ่นมาซะยาวเพียงจะบอกว่านี่คือจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ As it was ค่ะ ในวันที่เลียมไม่มีพี่ชาย ไม่มีวง Oasis แล้วเขาจะไปทำมาหากินอะไร เพราะทั้งชีวิตเขาเป็นนักร้องมาโดยตลอด หนังพาเราไปที่จุดเริ่มต้นในวันนั้น โดยใช้คลิปเล็กๆ มาร้อยเรียงกัน ผสานด้วยบทสัมภาษณ์ของเลียมที่มานั่งชมตัวเองให้เราฟัง ทั้งขำ และสนุก
ภาพยนตร์เรื่องนี้ หลายคนมองเป็น propaganda ของเลียมที่พยายามนำเสนอข้อ(อวด)ดีของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นมุมมองในด้านความพยายาที่ยอดเยี่ยม หลังจากที่เขาได้พบรักครั้งใหม่กับแฟนสาวผู้จัดการส่วนตัวที่เข้ามาดูแลชีวิตเขา เราจะได้เห็นเลียมในมุมกลัวเมีย มุมของการเป็นพ่อที่น่ารัก มุมที่พยายามสู้ชีวิตที่จริงจังกว่าครั้งไหนๆ เพื่อกลับมาบนเวทีอีกครั้ง และอยากจะพิสูจน์ตัวเองให้สื่อที่เกลียดชังเขาได้เห็นว่า “ไม่มีพี่ เขาก็ทำได้” ในยุคนี้ ยุคที่เพลงฮิพฮอพกำลังครองตลาดเพลง เลียมกลับมาร็อคอีกครั้งและทำให้เด็กรุ่นลูกวิ่งตามเขาได้เป็นพรวน เราว่าปรากฏการณ์ค่อนข้างพิเศษ และเป็นที่สนใจเลยทีเดียว
ส่วนตัวเรามองว่าหนังสนุกดีนะคะ ตัดต่ออกมาได้อย่างไม่มากไม่น้อย ระยะเวลา 85 นาที เรามองว่าพอสมควร ไม่พยายามยืดจนเกินไป ไม่งั้นน่าเบื่อแย่ มีเซอไพร์สเล็กๆ ได้เจอเดวิค แบล็คแฮมหรือเจ้าแมนยูของเลียมด้วย แต่เพราะหนังมันมาจากเลียมด้านเดียว หากใครเป็นทีมโนแอลก็คงจะเหม็นเลียมกันอยู่บ้างละ เรามองว่าคนเรามันเปลี่ยนกันได้นะคะ แม้ว่าสมัยก่อนเลียมจะเหียมจริงๆ แต่ตอนนี้เขาอายุ 45 แล้วไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นเหมือนที่ผ่านมา ใครที่เคยเกลียดหรือเหม็นเลียมอยู่ลองเปิดใจไปดูหนังเรื่องกันดูเถอะค่ะ เลียมน่ะเขาเปลี่ยนไปแล้ว
-----------------------------------
ฝากติดตามเพจ Like Flick ใน Facebook ด้วยนะคะ
As it was : พบกับจอมกวนประสาท 'เลียม กัลลาเกอร์' ในโฉมใหม่ ที่แสนจะน่ารัก น่าเอ็นดู
หลายท่านคงจะได้ยินชื่อวง “Oasis” กันมาบ้างละ หากยังงงว่าเอ๊ะมันวงอะไรให้ลอง Search เพลง Wonderwall หรือ Don’t look back in anger ฟัง ก็น่าจะรู้สึกคุ้นสักนิดสักหน่อยบ้างละ ในส่วนของเราผู้เป็นแฟนเพลงวงนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนไม่ว่าเพลงไหนเปิดมาเราก็ร้องตามได้อยู่แล้ว (จะขิงทำไม?) ได้ไปดู As it was รอบสื่อ จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราดีใจมาก เรียกได้ว่าเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีอีกอย่างหนึ่งปีนี้เลยละ (ขอบคุณสปอนเซอร์และ @M ด้วยนะคะ)
วง Oasis ในอดีตมีนักร้องนำ คือ เลียม กัลลาเกอร์ และมือกีต้าร์/นักแต่งเพลงคนเก่งอย่างโนแอล กัลลาเกอร์ สองพี่น้องจอมกวนประสาท ปากดี หยิ่งผยอง และ “ชอบทะเลาะกันเอง” ตีกันบ้านแทบแตก มันเป็นอะไรกันนักกันหนา จนในที่สุดฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดที่ปารีส 2009 สองพี่น้องประกาศว่าจะไม่เล่นคอนเสิร์ต โนแอล ประกาศลาออกจากวง เป็นอันอวสานวงร็อคที่แสนโด่งดัง Oasis เกริ่นมาซะยาวเพียงจะบอกว่านี่คือจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ As it was ค่ะ ในวันที่เลียมไม่มีพี่ชาย ไม่มีวง Oasis แล้วเขาจะไปทำมาหากินอะไร เพราะทั้งชีวิตเขาเป็นนักร้องมาโดยตลอด หนังพาเราไปที่จุดเริ่มต้นในวันนั้น โดยใช้คลิปเล็กๆ มาร้อยเรียงกัน ผสานด้วยบทสัมภาษณ์ของเลียมที่มานั่งชมตัวเองให้เราฟัง ทั้งขำ และสนุก
ภาพยนตร์เรื่องนี้ หลายคนมองเป็น propaganda ของเลียมที่พยายามนำเสนอข้อ(อวด)ดีของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นมุมมองในด้านความพยายาที่ยอดเยี่ยม หลังจากที่เขาได้พบรักครั้งใหม่กับแฟนสาวผู้จัดการส่วนตัวที่เข้ามาดูแลชีวิตเขา เราจะได้เห็นเลียมในมุมกลัวเมีย มุมของการเป็นพ่อที่น่ารัก มุมที่พยายามสู้ชีวิตที่จริงจังกว่าครั้งไหนๆ เพื่อกลับมาบนเวทีอีกครั้ง และอยากจะพิสูจน์ตัวเองให้สื่อที่เกลียดชังเขาได้เห็นว่า “ไม่มีพี่ เขาก็ทำได้” ในยุคนี้ ยุคที่เพลงฮิพฮอพกำลังครองตลาดเพลง เลียมกลับมาร็อคอีกครั้งและทำให้เด็กรุ่นลูกวิ่งตามเขาได้เป็นพรวน เราว่าปรากฏการณ์ค่อนข้างพิเศษ และเป็นที่สนใจเลยทีเดียว
ส่วนตัวเรามองว่าหนังสนุกดีนะคะ ตัดต่ออกมาได้อย่างไม่มากไม่น้อย ระยะเวลา 85 นาที เรามองว่าพอสมควร ไม่พยายามยืดจนเกินไป ไม่งั้นน่าเบื่อแย่ มีเซอไพร์สเล็กๆ ได้เจอเดวิค แบล็คแฮมหรือเจ้าแมนยูของเลียมด้วย แต่เพราะหนังมันมาจากเลียมด้านเดียว หากใครเป็นทีมโนแอลก็คงจะเหม็นเลียมกันอยู่บ้างละ เรามองว่าคนเรามันเปลี่ยนกันได้นะคะ แม้ว่าสมัยก่อนเลียมจะเหียมจริงๆ แต่ตอนนี้เขาอายุ 45 แล้วไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นเหมือนที่ผ่านมา ใครที่เคยเกลียดหรือเหม็นเลียมอยู่ลองเปิดใจไปดูหนังเรื่องกันดูเถอะค่ะ เลียมน่ะเขาเปลี่ยนไปแล้ว
-----------------------------------
ฝากติดตามเพจ Like Flick ใน Facebook ด้วยนะคะ