ทำไมพี่น้องกัลลาเกอร์แห่งวง Oasis ถึงมีพฤติกรรมขวางโลกขนาดนี้?
• ในสายตาของคนส่วนใหญ่จะมองว่า Oasis คือวงดนตรีอันธพาล เพราะสองพี่น้องกัลลาเกอร์มักมีชื่อเสียงแย่ๆ และวีรกรรมแสบซ่าสุดเกรียนแบบเย้ยพระเจ้าท้าทุกกฎเกณฑ์ ที่ปรากฎบนหน้าสื่อตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา แต่บุคลิกและพฤติกรรมก้าวร้าวที่แสดงออกมานั้นมีต้นเหตุมาจากประสบการณ์อันเลวร้ายและบาดแผลในวัยเด็กที่มี 'พ่อ' เป็นผู้หยิบยื่นให้
• Thomas Augustine Gallagher หรือ 'ทอมมี่ กัลลาเกอร์' เป็นชาวไอริช มาจากครอบครัวใหญ่ที่มีพี่น้อง 6 คน ทอมมี่มีวัยเด็กที่ยากลำบาก และเมื่อทอมมี่แต่งงานกับ 'เพ็กกี้' ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน คือ พอล, โนล และเลียม ในหนังสือ Brothers from Childhood to Oasis: The Real Story ได้ถ่ายถอดเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กผ่านคำบอกเล่าของพอล กัลลาเกอร์ พี่ชายคนโตของบ้าน
• "พ่อเป็นคนแข็งกร้าว พวกเรา 3 คนพี่น้องมีวัยเด็กที่ไม่สดใสนัก พ่อของเราทำตัวร้ายกับลูกๆ เสมอ พ่อไม่เคยอนุญาตให้พวกเราดูการ์ตูนทีวีเลย เราจะแอบดูได้ก็ต่อเมื่อพ่อไม่อยู่บ้าน หรือไม่ก็ไปนอนค้างบ้านผู้หญิงคนอื่น ในวันเสาร์ประมาณ 7 โมงเช้า พวกเราจะแอบลงมาชั้นล่างเพื่อเปิดทีวีดูการ์ตูนและรายการเด็ก เพราะรู้ดีว่าพ่อยังไม่ตื่น เพราะวันไหนที่พ่อไม่ไปทำงาน เขาจะนอนตื่นสาย หลังจากไปกินเหล้าเมาเละเทะ และกลับถึงบ้านตี 3 ตี 4"
• นอกจากนี้พอลยังบอกว่า เมื่อไรก็ตามที่พ่อเห็นลูกๆ นั่งดูทีวี ทอมมี่จะเดินไปปิดทีวีและเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงเพลงไอริชดังลั่น เพราะเขารู้ว่าลูกๆ ไม่ชอบ ส่วนรายการทีวีที่ทอมมี่อนุญาตให้ลูกดูคือ รายการเกี่ยวกับธรรมชาติ ตัวนาก และสัตว์โลกต่างๆ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พอลเกลียดรายการสารคดีจำพวกนี้มาจนถึงปัจจุบัน
• แต่ทั้งนี้ทอมมี่คือผู้ชักนำลูกๆ เข้าวงการเชียร์บอล โดยเฉพาะการปวารณาตัวเป็นแฟนบอลเดนตายของสโมสรแมนฯ ซิตี้ โดยทอมมี่พาพอลและโนลไปชมแมตช์นัดสำคัญระหว่างแมนฯ ซิตี้ - นิวคาสเซิล ณ สนามกีฬา Maine Road ในปี 1971 (เลียมยังไม่เกิด) หลังจากนั้นทั้งคู่มักจะรบเร้าให้พ่อพาไปดูแมนฯ ซิตี้อยู่เสมอ นี่อาจจะเป็นเรื่องดีเรื่องเดียวที่พอลเอ่ยถึงพ่อของเขา ส่วนที่เหลือนั้น...
• ทอมมี่เป็นพ่อที่เข้มงวดมาก บังคับให้ลูกเข้านอนเวลา 1 ทุ่มครึ่ง เลทได้มากสุดคือ 2 ทุ่ม พอลบอกว่า "มันเป็นเรื่องที่แย่มากสำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน พวกเราอยากจะเล่นข้างนอกเหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่พ่อแม่อนุญาตให้เล่นถึง 3 ทุ่ม แต่พวกเราต้องนอนข่มตาหลับบนเตียง ผมคิดว่าพ่อเกลียดที่เห็นพวกเรามีความสุข เขาเป็นคนประเภทที่ไม่อยากเห็นลูกสนุกสนาน ผมและโนลพยายามทำทุกอย่างเพื่อหาเรื่องออกนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นทำงานอาสาสมัคร หรือแต่งชุดลูกเสือไปทำงานที่โบสถ์ในวันอาทิตย์"
• "ในขณะที่แม่ของเราพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกๆ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าเวลาที่เราอยากได้อะไร แม่จะชอบบอกว่าหามาให้ไม่ได้หรอก แต่ในที่สุดแล้วแม่จะหาสิ่งนั้นมาให้เราได้เสมอ ผมกับโนลไม่เคยใช้ของมือสองเลย นั่นเป็นเพราะแม่ของเราขยันทำงานเพื่อลูกๆ ผิดกับพ่อ...เขานำเงินที่หามาได้ไปเลี้ยงเหล้าเพื่อนฝูงในสังคมแบบไอริชที่เขาชื่นชอบ"
• นอกจากนี้แล้ว ทอมมี่ยังร้ายกาจกับลูกๆ มาก พอลบรรยายว่าเมื่อพ่อกลับมาบ้าน พ่อเหมือนปีศาจกลายร่าง "พ่อไม่ได้มีคุณธรรมอย่างที่คนเป็น 'พ่อ' ควรจะมี...เขาติดพนัน ขี้เหล้า สูบบุหรี่ ชอบใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกายลูกๆ ตบตีแม่ เจ้าอารมณ์ โมโหร้าย มีเรื่องชู้สาวให้แม่เสียใจ ชอบหาเรื่องชกต่อยกับคนอื่น และหาผลประโยชน์ใส่ตัวเป็นที่หนึ่ง สมัยที่พ่อเป็นดีเจ เขาไม่เคยซื้อผลงานเพลงของศิลปินเลย แต่จะใช้วิธีลอบอัดเพลง โดยการนำเทปคาสเซ็ตมาบันทึกเสียงเพลงเมื่อรายการวิทยุเปิดเพลง"
• ครั้งหนึ่งเขาเคยเอาแผ่นเพลง 20 ก็อปปี้ให้พอลปั่นจักรยานไปส่งให้พ่อค้าเทปผีแผ่นเสียงเถื่อนในตลาด ขายต่อราคาแผ่นละ 4 ปอนด์ นี่คือประสบการณ์วัยเด็กที่พอลจำได้ไม่ลืม เมื่อพอลโตขึ้นเขาเคยทำงานเป็นดีเจในผับไอริชอยู่ช่วงหนึ่ง พอลเล่นเพลงอยู่ชั้นบน ส่วนทอมมี่เล่นเพลงอยู่ชั้นล่าง และทั้งคู่บังเอิญเจอกัน ทอมมี่ตกใจและถามลูกชายว่า "นี่แกมาทำอะไรที่นี่วะ" พอลจึงตอบว่า "สวัสดียามค่ำครับพ่อ! แม่ พวกน้องชาย และตัวผมสบายดี ไปก่อนนะครับ"
• พอลยังบอกว่าพ่อคือเหตุผลหลักที่ทำให้โนลไม่เคยเหยียบเข้าไปในผับไอริชเลย เพราะเขารู้ดีว่าอาจจะเจอหน้าพ่อเข้าสักวัน โนลอยากจะหนีความเป็นไอริชที่พ่อพยายามยัดเยียดให้ โนลไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับเพื่อนๆ ของพ่อ นั่นทำให้โนลพลอยเกลียดสำเนียงไอริช และมุขตลกแบบไอริช เพลง 'Whatever' ที่โนลแต่งขึ้นมานั้น สะท้อนว่าเขาต้องการหนีไปให้พ้นจากพ่อและความเป็นไอริชที่ทำให้นึกถึงความโหดร้ายที่พ่อทำไว้กับลูกๆ
• สมัยเด็กๆ พอลและโนลมักถูกพ่อทุบตีทำร้ายอยู่เสมอ คุณแม่เพ็กกี้บอกว่า "เขา (ทอมมี่) เคยเกือบจะฆ่าโนล" ส่วนเลียมเองไม่ถูกพ่อทำร้ายร่างกาย แต่เลียมมักอยู่ในเหตุการณ์ความรุนแรงของครอบครัวเสมอ เลียมเห็นพ่อตบตีแม่เป็นประจำ นั่นคือสิ่งที่ทำร้ายจิตใจเลียมมาก นอกจากนี้พฤติกรรมที่พ่อทำให้เลียมเห็นเมื่อมีใครสักคนเถียงขึ้นมาคือ การตะคอกกลับอย่างสุดเสียง นอกจากนี้ทอมมี่เคยทิ้งให้ลูกๆ เดินกลับบ้านเองเป็นระยะทาง 2 ไมล์ เพราะต้องขับรถไปหาผู้หญิงคนอื่น พร้อมกับหอบถุงที่มีมะเขือเทศ มันฝรั่ง และถั่ว ไปประเคนให้ผู้หญิงบ้านเล็กคนนั้น ซึ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลูกๆ ช่วยกันปลูกทั้งหมด
• โนลเคยให้สัมภาษณ์ถึงพ่อว่า "เขาเป็นสามีที่แย่และเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง ความเป็นพ่อ-ลูกระหว่างผมและเขาจบลงไปตั้งนานแล้ว" และที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ สมัยเด็กๆ โนลเคยพูดติดอ่างและเป็นเด็กที่สูญเสียความมั่นใจ เพราะกลัวพ่อของตัวเองมากๆ เนื่องจากทอมมี่ชอบตวาดลูกๆ คุณแม่เพ็กกี้ต้องพาโนลไปรักษาอาการพูดติดอ่างอย่างต่อเนื่องนานถึง 4 ปีเต็ม แม้จะโตเป็นวัยรุ่นแล้วแต่โนลก็ยังเป็นคนเงียบขรึมและชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
• ส่วนทางด้านเลียม ซึ่งเป็นน้องเล็กสุดก็เคยเจอเหตุการณ์ทำร้ายจิตใจเช่นกัน ตอนที่เลียมอายุ 6-7 ขวบ พ่อใช้ให้ไปซื้อบุหรี่ เลียมกลับมาพร้อมกับบุหรี่ของพ่อ และลูกกวาดกล่องเล็กๆ ยี่ห้อ Gobstopper พ่อถามเลียมว่าเงินทอนหายไปไหน เลียมจึงบอกพ่อไปตามตรงว่าเอาเงินที่เหลือไปซื้อลูกกวาด หากเป็นพ่อคนอื่นๆ อาจจะเอ็นดูในความไร้เดียงสาของลูก แต่สำหรับทอมมี่ กัลลาเกอร์ นั้น...เขากระชากกล่องลูกกวาดจากมือเลียม เทให้ลูกกวาดหล่นบนพื้น เอาเท้าเหยียบและกระทืบลูกกวาดเหล่านั้น พร้อมกับหันไปพูดกับเลียมว่า "เป็นไงล่ะ นี่คือผลของการทำอะไรโดยไม่บอกฉัน"
• พอลเผยว่า ทุกวันนี้คุณแม่เพ็กกี้รู้สึกละอายใจที่เคยปล่อยให้ลูกๆ อยู่กับพ่อแบบนั้น "ผมเองก็รู้สึกแย่กับชีวิตวัยเด็ก แต่ผมอยากขอบคุณแม่และต้องขอโทษแม่ด้วยที่พวกเราทำให้ปวดหัว การเลี้ยงดูลิงทั้ง 3 ตัวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย" ในขณะที่เลียมเองยังเคยพูดถึงคุณแม่เพ็กกี้ว่า "แม่ผมเป็นนางฟ้าของลูก ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น"
• มีอีกเรื่องหนึ่งที่พอลแอบเล่า "มองย้อนกลับไปสมัยที่เรายังเด็ก ความจริงแล้วผมและโนลแอบชื่นชมเลียมนะ ไอ้เลียมมันมีความบ้าบิ่น มันรักอิสระ ทุกสิ่งที่เลียมแสดงออกมาคือตัวแทนความกล้าที่ผมและโนลรู้สึกอยู่ภายใน แต่แสดงออกมาไม่ได้ เพราะกลัวพ่อของตัวเอง นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเลียมจึงเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ตลก และสุขภาพจิตดีกว่าพี่ๆ มากนัก"
• สุดท้ายแล้ว คุณแม่เพ็กกี้ตัดสินใจหอบลูกๆ ทั้ง 3 คนหนีออกจากบ้าน ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มี 'ทอมมี่ กัลลาเกอร์' อยู่ในชีวิต และเดินเรื่องฟ้องหย่าในที่สุด ทุกวันนี้พี่น้องกัลลาเกอร์ตัดขาดกับพ่อแล้ว...ที่เล่ามาทั้งหมดนี้คือต้นเหตุของพฤติกรรมคุ้มดีคุ้มร้ายของพวกพี่น้องกัลลาเกอร์ ที่ได้รับอิทธิพลแย่ๆ มาจากปัญหาครอบครัวในวัยเด็กนั่นเอง
• "ผมไม่พูดหรอกว่าผมมีบาดแผล แต่วัยเด็กย่อมส่งผลต่อตัวตนของทุกคน อย่าไปคิดถึงมันมากเกินไป เพราะจะทำให้คุณเป็นบ้า" โนล กัลลาเกอร์ กล่าว.
Credit: เฟซบุ๊กเพจ All about RKID
https://web.facebook.com/AllaboutRKID/photos/a.143988156274354/265094820830353/?type=3&theater
'พ่อ' และต้นแบบความก้าวร้าวที่พี่น้องกัลลาเกอร์ (วง Oasis) อยาก 'ลืม'
• ในสายตาของคนส่วนใหญ่จะมองว่า Oasis คือวงดนตรีอันธพาล เพราะสองพี่น้องกัลลาเกอร์มักมีชื่อเสียงแย่ๆ และวีรกรรมแสบซ่าสุดเกรียนแบบเย้ยพระเจ้าท้าทุกกฎเกณฑ์ ที่ปรากฎบนหน้าสื่อตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา แต่บุคลิกและพฤติกรรมก้าวร้าวที่แสดงออกมานั้นมีต้นเหตุมาจากประสบการณ์อันเลวร้ายและบาดแผลในวัยเด็กที่มี 'พ่อ' เป็นผู้หยิบยื่นให้
• Thomas Augustine Gallagher หรือ 'ทอมมี่ กัลลาเกอร์' เป็นชาวไอริช มาจากครอบครัวใหญ่ที่มีพี่น้อง 6 คน ทอมมี่มีวัยเด็กที่ยากลำบาก และเมื่อทอมมี่แต่งงานกับ 'เพ็กกี้' ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน คือ พอล, โนล และเลียม ในหนังสือ Brothers from Childhood to Oasis: The Real Story ได้ถ่ายถอดเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กผ่านคำบอกเล่าของพอล กัลลาเกอร์ พี่ชายคนโตของบ้าน
• "พ่อเป็นคนแข็งกร้าว พวกเรา 3 คนพี่น้องมีวัยเด็กที่ไม่สดใสนัก พ่อของเราทำตัวร้ายกับลูกๆ เสมอ พ่อไม่เคยอนุญาตให้พวกเราดูการ์ตูนทีวีเลย เราจะแอบดูได้ก็ต่อเมื่อพ่อไม่อยู่บ้าน หรือไม่ก็ไปนอนค้างบ้านผู้หญิงคนอื่น ในวันเสาร์ประมาณ 7 โมงเช้า พวกเราจะแอบลงมาชั้นล่างเพื่อเปิดทีวีดูการ์ตูนและรายการเด็ก เพราะรู้ดีว่าพ่อยังไม่ตื่น เพราะวันไหนที่พ่อไม่ไปทำงาน เขาจะนอนตื่นสาย หลังจากไปกินเหล้าเมาเละเทะ และกลับถึงบ้านตี 3 ตี 4"
• นอกจากนี้พอลยังบอกว่า เมื่อไรก็ตามที่พ่อเห็นลูกๆ นั่งดูทีวี ทอมมี่จะเดินไปปิดทีวีและเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงเพลงไอริชดังลั่น เพราะเขารู้ว่าลูกๆ ไม่ชอบ ส่วนรายการทีวีที่ทอมมี่อนุญาตให้ลูกดูคือ รายการเกี่ยวกับธรรมชาติ ตัวนาก และสัตว์โลกต่างๆ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พอลเกลียดรายการสารคดีจำพวกนี้มาจนถึงปัจจุบัน
• แต่ทั้งนี้ทอมมี่คือผู้ชักนำลูกๆ เข้าวงการเชียร์บอล โดยเฉพาะการปวารณาตัวเป็นแฟนบอลเดนตายของสโมสรแมนฯ ซิตี้ โดยทอมมี่พาพอลและโนลไปชมแมตช์นัดสำคัญระหว่างแมนฯ ซิตี้ - นิวคาสเซิล ณ สนามกีฬา Maine Road ในปี 1971 (เลียมยังไม่เกิด) หลังจากนั้นทั้งคู่มักจะรบเร้าให้พ่อพาไปดูแมนฯ ซิตี้อยู่เสมอ นี่อาจจะเป็นเรื่องดีเรื่องเดียวที่พอลเอ่ยถึงพ่อของเขา ส่วนที่เหลือนั้น...
• ทอมมี่เป็นพ่อที่เข้มงวดมาก บังคับให้ลูกเข้านอนเวลา 1 ทุ่มครึ่ง เลทได้มากสุดคือ 2 ทุ่ม พอลบอกว่า "มันเป็นเรื่องที่แย่มากสำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน พวกเราอยากจะเล่นข้างนอกเหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่พ่อแม่อนุญาตให้เล่นถึง 3 ทุ่ม แต่พวกเราต้องนอนข่มตาหลับบนเตียง ผมคิดว่าพ่อเกลียดที่เห็นพวกเรามีความสุข เขาเป็นคนประเภทที่ไม่อยากเห็นลูกสนุกสนาน ผมและโนลพยายามทำทุกอย่างเพื่อหาเรื่องออกนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นทำงานอาสาสมัคร หรือแต่งชุดลูกเสือไปทำงานที่โบสถ์ในวันอาทิตย์"
• "ในขณะที่แม่ของเราพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกๆ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าเวลาที่เราอยากได้อะไร แม่จะชอบบอกว่าหามาให้ไม่ได้หรอก แต่ในที่สุดแล้วแม่จะหาสิ่งนั้นมาให้เราได้เสมอ ผมกับโนลไม่เคยใช้ของมือสองเลย นั่นเป็นเพราะแม่ของเราขยันทำงานเพื่อลูกๆ ผิดกับพ่อ...เขานำเงินที่หามาได้ไปเลี้ยงเหล้าเพื่อนฝูงในสังคมแบบไอริชที่เขาชื่นชอบ"
• นอกจากนี้แล้ว ทอมมี่ยังร้ายกาจกับลูกๆ มาก พอลบรรยายว่าเมื่อพ่อกลับมาบ้าน พ่อเหมือนปีศาจกลายร่าง "พ่อไม่ได้มีคุณธรรมอย่างที่คนเป็น 'พ่อ' ควรจะมี...เขาติดพนัน ขี้เหล้า สูบบุหรี่ ชอบใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกายลูกๆ ตบตีแม่ เจ้าอารมณ์ โมโหร้าย มีเรื่องชู้สาวให้แม่เสียใจ ชอบหาเรื่องชกต่อยกับคนอื่น และหาผลประโยชน์ใส่ตัวเป็นที่หนึ่ง สมัยที่พ่อเป็นดีเจ เขาไม่เคยซื้อผลงานเพลงของศิลปินเลย แต่จะใช้วิธีลอบอัดเพลง โดยการนำเทปคาสเซ็ตมาบันทึกเสียงเพลงเมื่อรายการวิทยุเปิดเพลง"
• ครั้งหนึ่งเขาเคยเอาแผ่นเพลง 20 ก็อปปี้ให้พอลปั่นจักรยานไปส่งให้พ่อค้าเทปผีแผ่นเสียงเถื่อนในตลาด ขายต่อราคาแผ่นละ 4 ปอนด์ นี่คือประสบการณ์วัยเด็กที่พอลจำได้ไม่ลืม เมื่อพอลโตขึ้นเขาเคยทำงานเป็นดีเจในผับไอริชอยู่ช่วงหนึ่ง พอลเล่นเพลงอยู่ชั้นบน ส่วนทอมมี่เล่นเพลงอยู่ชั้นล่าง และทั้งคู่บังเอิญเจอกัน ทอมมี่ตกใจและถามลูกชายว่า "นี่แกมาทำอะไรที่นี่วะ" พอลจึงตอบว่า "สวัสดียามค่ำครับพ่อ! แม่ พวกน้องชาย และตัวผมสบายดี ไปก่อนนะครับ"
• พอลยังบอกว่าพ่อคือเหตุผลหลักที่ทำให้โนลไม่เคยเหยียบเข้าไปในผับไอริชเลย เพราะเขารู้ดีว่าอาจจะเจอหน้าพ่อเข้าสักวัน โนลอยากจะหนีความเป็นไอริชที่พ่อพยายามยัดเยียดให้ โนลไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับเพื่อนๆ ของพ่อ นั่นทำให้โนลพลอยเกลียดสำเนียงไอริช และมุขตลกแบบไอริช เพลง 'Whatever' ที่โนลแต่งขึ้นมานั้น สะท้อนว่าเขาต้องการหนีไปให้พ้นจากพ่อและความเป็นไอริชที่ทำให้นึกถึงความโหดร้ายที่พ่อทำไว้กับลูกๆ
• สมัยเด็กๆ พอลและโนลมักถูกพ่อทุบตีทำร้ายอยู่เสมอ คุณแม่เพ็กกี้บอกว่า "เขา (ทอมมี่) เคยเกือบจะฆ่าโนล" ส่วนเลียมเองไม่ถูกพ่อทำร้ายร่างกาย แต่เลียมมักอยู่ในเหตุการณ์ความรุนแรงของครอบครัวเสมอ เลียมเห็นพ่อตบตีแม่เป็นประจำ นั่นคือสิ่งที่ทำร้ายจิตใจเลียมมาก นอกจากนี้พฤติกรรมที่พ่อทำให้เลียมเห็นเมื่อมีใครสักคนเถียงขึ้นมาคือ การตะคอกกลับอย่างสุดเสียง นอกจากนี้ทอมมี่เคยทิ้งให้ลูกๆ เดินกลับบ้านเองเป็นระยะทาง 2 ไมล์ เพราะต้องขับรถไปหาผู้หญิงคนอื่น พร้อมกับหอบถุงที่มีมะเขือเทศ มันฝรั่ง และถั่ว ไปประเคนให้ผู้หญิงบ้านเล็กคนนั้น ซึ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลูกๆ ช่วยกันปลูกทั้งหมด
• โนลเคยให้สัมภาษณ์ถึงพ่อว่า "เขาเป็นสามีที่แย่และเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง ความเป็นพ่อ-ลูกระหว่างผมและเขาจบลงไปตั้งนานแล้ว" และที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ สมัยเด็กๆ โนลเคยพูดติดอ่างและเป็นเด็กที่สูญเสียความมั่นใจ เพราะกลัวพ่อของตัวเองมากๆ เนื่องจากทอมมี่ชอบตวาดลูกๆ คุณแม่เพ็กกี้ต้องพาโนลไปรักษาอาการพูดติดอ่างอย่างต่อเนื่องนานถึง 4 ปีเต็ม แม้จะโตเป็นวัยรุ่นแล้วแต่โนลก็ยังเป็นคนเงียบขรึมและชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
• ส่วนทางด้านเลียม ซึ่งเป็นน้องเล็กสุดก็เคยเจอเหตุการณ์ทำร้ายจิตใจเช่นกัน ตอนที่เลียมอายุ 6-7 ขวบ พ่อใช้ให้ไปซื้อบุหรี่ เลียมกลับมาพร้อมกับบุหรี่ของพ่อ และลูกกวาดกล่องเล็กๆ ยี่ห้อ Gobstopper พ่อถามเลียมว่าเงินทอนหายไปไหน เลียมจึงบอกพ่อไปตามตรงว่าเอาเงินที่เหลือไปซื้อลูกกวาด หากเป็นพ่อคนอื่นๆ อาจจะเอ็นดูในความไร้เดียงสาของลูก แต่สำหรับทอมมี่ กัลลาเกอร์ นั้น...เขากระชากกล่องลูกกวาดจากมือเลียม เทให้ลูกกวาดหล่นบนพื้น เอาเท้าเหยียบและกระทืบลูกกวาดเหล่านั้น พร้อมกับหันไปพูดกับเลียมว่า "เป็นไงล่ะ นี่คือผลของการทำอะไรโดยไม่บอกฉัน"
• พอลเผยว่า ทุกวันนี้คุณแม่เพ็กกี้รู้สึกละอายใจที่เคยปล่อยให้ลูกๆ อยู่กับพ่อแบบนั้น "ผมเองก็รู้สึกแย่กับชีวิตวัยเด็ก แต่ผมอยากขอบคุณแม่และต้องขอโทษแม่ด้วยที่พวกเราทำให้ปวดหัว การเลี้ยงดูลิงทั้ง 3 ตัวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย" ในขณะที่เลียมเองยังเคยพูดถึงคุณแม่เพ็กกี้ว่า "แม่ผมเป็นนางฟ้าของลูก ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น"
• มีอีกเรื่องหนึ่งที่พอลแอบเล่า "มองย้อนกลับไปสมัยที่เรายังเด็ก ความจริงแล้วผมและโนลแอบชื่นชมเลียมนะ ไอ้เลียมมันมีความบ้าบิ่น มันรักอิสระ ทุกสิ่งที่เลียมแสดงออกมาคือตัวแทนความกล้าที่ผมและโนลรู้สึกอยู่ภายใน แต่แสดงออกมาไม่ได้ เพราะกลัวพ่อของตัวเอง นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเลียมจึงเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ตลก และสุขภาพจิตดีกว่าพี่ๆ มากนัก"
• สุดท้ายแล้ว คุณแม่เพ็กกี้ตัดสินใจหอบลูกๆ ทั้ง 3 คนหนีออกจากบ้าน ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มี 'ทอมมี่ กัลลาเกอร์' อยู่ในชีวิต และเดินเรื่องฟ้องหย่าในที่สุด ทุกวันนี้พี่น้องกัลลาเกอร์ตัดขาดกับพ่อแล้ว...ที่เล่ามาทั้งหมดนี้คือต้นเหตุของพฤติกรรมคุ้มดีคุ้มร้ายของพวกพี่น้องกัลลาเกอร์ ที่ได้รับอิทธิพลแย่ๆ มาจากปัญหาครอบครัวในวัยเด็กนั่นเอง
• "ผมไม่พูดหรอกว่าผมมีบาดแผล แต่วัยเด็กย่อมส่งผลต่อตัวตนของทุกคน อย่าไปคิดถึงมันมากเกินไป เพราะจะทำให้คุณเป็นบ้า" โนล กัลลาเกอร์ กล่าว.
Credit: เฟซบุ๊กเพจ All about RKID
https://web.facebook.com/AllaboutRKID/photos/a.143988156274354/265094820830353/?type=3&theater