[brief] แม้ว่าเราอาจไม่มีโอกาสเห็นสองพี่น้องกลับมารวมตัวกันอีกได้ง่ายๆ แต่ทั้ง Supersonic และ As It Was คือหนังสารคดีที่สามารถพาเราไปหวนรำลึกถึงเรื่องราวของ Oasis ที่ครั้งหนึ่งเคยได้สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีของโลก อีกทั้งบทเพลงและตัวตนของอดีตสมาชิกวงนั้นยังคงเชื่อมโยงกับความรู้สึกของคนนับล้านได้ แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปสักแค่ไหนก็ตาม
.
[ต่อไปจะมีการพูดถึงเนื้อหาบางส่วนของหนังทั้งสองเรื่อง]
.
เมื่อหลายปีก่อน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่ชายของผมเปิดเพลง Don’t Look Back In Anger ฟังวนไปอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ตอนได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกตัวผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอ “ได้ฟัง” จริงๆ แล้วผมสัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดบางอย่างและความเหนือยุค (อย่างบอกไม่ถูก) นั่นคือที่มาที่ทำให้ผมรู้จักวงร็อคแอนด์โรลจากอังกฤษอย่าง Oasis
.
จะว่าไปแล้ว พี่ชายหนึ่งคนก็สามารถมีอิทธิพลต่อแนวเพลงที่คนๆ หนึ่งจะชอบฟัง เช่นเดียวกับที่ Liam Gallagher-ที่วันหนึ่งหลังจากโดนทุบกะโหลกที่โรงเรียนก็ดัน-ชอบฟังเพลงที่ Noel พี่ชายของเขามักเปิดในห้องนอนของทั้งสองเเป็นประจำ จนเป็นจุดกำเนิดของปรากฏการณ์ระดับโลกช่วงยุค 90 และช่วงนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่บ้านเรามีหนังสารคดีของ Oasis อย่าง Supersonic (2016) มาฉายใหม่ พร้อมกับหนังสารคดีอีกเรื่องที่เล่าเรื่องของเลียมภายหลังการยุบวง อย่าง As It Was (2019)
.
Supersonic เล่าเรื่องจุดกำเนิด จุดรุ่งเรือง (แฝงจุดสิ้นสุด) ของวงตั้งแต่ช่วงก่อนก่อตั้งจนถึงปรากฎการณ์ที่คอนเสิร์ต Knebworth ปี 96 หนังเล่าเรื่องผ่านภาพและ footage เก่าๆ โดยมีเลียม โนล สมาชิกคนอื่นๆ ของวง ครอบครัว โปรดิวเซอร์ ฯลฯ มาให้เสียงบรรยายเล่าถึงเหตุการณ์ของวงและชีวิตส่วนตัว ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นพัฒนาการของวง และความโกรธเกรี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์ที่ปัจจัยทำให้วงประสบความสำเร็จ (จวนจะพัง และล่มสลายในที่สุด) ความสนุกของหนังอยู่ที่การร้อยเรียงภาพ footage เสียงบรรยาย และแน่นอน-เพลงของ Oasis ได้สนุก สดใหม่ และน่าติดตามมากๆ การบลัฟกันระหว่างเลียมและโนล ที่แม้จะมาในรูปแบบ voice-over ก็ยังแสบและจิกกัดกันไม่ปล่อย อีกสิ่งหนึ่งที่พิเศษของหนังเรื่องนี้คือ การให้น้ำหนักกับเรื่องราวกับมุมมองของคนที่อยู่รอบข้าง ซึ่งทำให้เราเข้าใจถึงเรื่องราวของวงและสองพี่น้องได้ดีขึ้น และทำให้เราได้รู้ว่าทำไมเลียมกับโนลถึงไม่เจอกันอีกเลยหลังจากปี 2009
.
ส่วนใน As It Was นั้นจะเล่าเรื่องการกลับมาตั้งตัวในวงการดนตรีของเลียมภายหลังจากที่เขาและโนลทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนวงต้องยุบไป เราจะได้เห็นเลียมมาเป็นคนเล่าเรื่องคนหลัก [และคนคุม QC] ของหนัง ด้วยท่าทีที่ครุ่นคิดมากขึ้น นิ่งขึ้น แต่ความคิดและตัวตนที่มีมาแต่เดิมนั้นก็ยังอยู่ไม่ได้จางหายไป แม้ว่าการนำเสนอของ As It Was จะเรียบง่าย ไม่ได้หวือหวา แต่หนังก็มีสิ่งที่น่าสนใจคือ การที่เลียมออกมายอมรับว่ามีสิ่งไหนบ้างที่เขาทำไปแล้วผิดพลาด สำเร็จ เสียใจ หรือไม่เสียใจตรงไหน การนำเสนอความน่ารักของเลียมที่มีต่อครอบครัว และการส่งสารบอกไปถึงโนลเป็นนัยๆ ว่าเขายังคงรอวันที่จะได้กลับมาติดต่อกับพี่ชายของเขาอีกครั้ง
.
แม้ Supersonic และ As It Was จะไม่ได้มาจากผู้สร้างเดียวกันหรือเป็นภาคต่อกัน แต่ก็มีจุดร่วมหลายอย่าง คือ การเล่าเรื่องราวภายในครอบครัวกัลลาเกอร์ และความเป็นไอคอนเหนือยุคสมัย เช่น มุมมองในหนังทั้งสองที่ Peggie Gallagher มีต่อลูกชาย, ใน Supersonic ที่เล่าเรื่องราวของพ่อของเลียมและโนล อันเป็นบทพิสูจน์ความอดทนของทั้งสอง และมีอยู่ช่วงหนึ่งของหนังที่เลียมบอกว่าเพลงของ Oasis นั้นอยู่เหนือกาลเวลา , ใน As It Was ที่เล่าเรื่องครอบครัว ลูกๆ และความรักของเลียม และการนิยามตัวเองว่าเขายังสามารถเชื่อมโยงกับคนยุคใหม่ได้ แต่จุดร่วมที่สำคัญที่สุด คือ การถ่ายทอดความเป็นพี่น้องของเลียมและโนล ที่ไม่ว่าจะเล่าผ่านมุมมองของใครก็เห็นได้ถึงความซับซ้อน-ทั้งรักทั้งเกลียดของสองคนนี้ ซึ่งเป็นแรงผลักดันของ Oasis
ในทุกๆ ด้าน
.
แม้ว่าเราคงอาจไม่มีโอกาสได้เห็นสองพี่น้องกลับมารวมตัวกันอีกโดยง่าย อาจเป็นเพราะแผนการที่ลิขิตเอาไว้หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ทั้ง Supersonic และ As It Was คือหนังสารคดีที่สามารถพาเราไปหวนรำลึกถึงเรื่องราวของ Oasis ที่ครั้งหนึ่งเคยได้สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีของโลก และ-ทั้งบทเพลง และอดีตสมาชิกวง-ยังคงเชื่อมโยงกับคนนับล้านให้รู้สึกซูเปอร์โซนิกได้ไม่เคยเปลี่ยน แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปสักแค่ไหนก็ตาม
.
ทั้งสองเรื่องยังฉายควบที่ลิโด้ฯ อยู่นะครับ ส่วน As It Was ที่ฉายในเชนโรงหนังต่างๆ รอบก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว จะเป็นแฟน ไม่ได้เป็นแฟน หรือแค่เคยฟังเพลงของ Oasis เฉยๆ ก็ดูได้สนุกแน่นอน
.
ติดตามและให้กำลังใจ #kfctherevieWER ได้ที่ twitter @kfcthereviewer และตามกระทู้ต่างๆ ได้ตามโอกาสนะครับ
ถ้าชอบกระทู้นี้อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อนๆ ของคุณได้อ่านกันนะครับ ขอบคุณครับ : )
[CR] kfctherevieWER: "Oasis: Supersonic (2016) x Liam Gallagher: As It Was (2019) รู้สึกซูเปอร์โซนิกไม่เคยเปลี่ยน"
.
[ต่อไปจะมีการพูดถึงเนื้อหาบางส่วนของหนังทั้งสองเรื่อง]
.
เมื่อหลายปีก่อน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่ชายของผมเปิดเพลง Don’t Look Back In Anger ฟังวนไปอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ตอนได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกตัวผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอ “ได้ฟัง” จริงๆ แล้วผมสัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดบางอย่างและความเหนือยุค (อย่างบอกไม่ถูก) นั่นคือที่มาที่ทำให้ผมรู้จักวงร็อคแอนด์โรลจากอังกฤษอย่าง Oasis
.
จะว่าไปแล้ว พี่ชายหนึ่งคนก็สามารถมีอิทธิพลต่อแนวเพลงที่คนๆ หนึ่งจะชอบฟัง เช่นเดียวกับที่ Liam Gallagher-ที่วันหนึ่งหลังจากโดนทุบกะโหลกที่โรงเรียนก็ดัน-ชอบฟังเพลงที่ Noel พี่ชายของเขามักเปิดในห้องนอนของทั้งสองเเป็นประจำ จนเป็นจุดกำเนิดของปรากฏการณ์ระดับโลกช่วงยุค 90 และช่วงนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่บ้านเรามีหนังสารคดีของ Oasis อย่าง Supersonic (2016) มาฉายใหม่ พร้อมกับหนังสารคดีอีกเรื่องที่เล่าเรื่องของเลียมภายหลังการยุบวง อย่าง As It Was (2019)
.
Supersonic เล่าเรื่องจุดกำเนิด จุดรุ่งเรือง (แฝงจุดสิ้นสุด) ของวงตั้งแต่ช่วงก่อนก่อตั้งจนถึงปรากฎการณ์ที่คอนเสิร์ต Knebworth ปี 96 หนังเล่าเรื่องผ่านภาพและ footage เก่าๆ โดยมีเลียม โนล สมาชิกคนอื่นๆ ของวง ครอบครัว โปรดิวเซอร์ ฯลฯ มาให้เสียงบรรยายเล่าถึงเหตุการณ์ของวงและชีวิตส่วนตัว ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นพัฒนาการของวง และความโกรธเกรี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์ที่ปัจจัยทำให้วงประสบความสำเร็จ (จวนจะพัง และล่มสลายในที่สุด) ความสนุกของหนังอยู่ที่การร้อยเรียงภาพ footage เสียงบรรยาย และแน่นอน-เพลงของ Oasis ได้สนุก สดใหม่ และน่าติดตามมากๆ การบลัฟกันระหว่างเลียมและโนล ที่แม้จะมาในรูปแบบ voice-over ก็ยังแสบและจิกกัดกันไม่ปล่อย อีกสิ่งหนึ่งที่พิเศษของหนังเรื่องนี้คือ การให้น้ำหนักกับเรื่องราวกับมุมมองของคนที่อยู่รอบข้าง ซึ่งทำให้เราเข้าใจถึงเรื่องราวของวงและสองพี่น้องได้ดีขึ้น และทำให้เราได้รู้ว่าทำไมเลียมกับโนลถึงไม่เจอกันอีกเลยหลังจากปี 2009
.
ส่วนใน As It Was นั้นจะเล่าเรื่องการกลับมาตั้งตัวในวงการดนตรีของเลียมภายหลังจากที่เขาและโนลทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนวงต้องยุบไป เราจะได้เห็นเลียมมาเป็นคนเล่าเรื่องคนหลัก [และคนคุม QC] ของหนัง ด้วยท่าทีที่ครุ่นคิดมากขึ้น นิ่งขึ้น แต่ความคิดและตัวตนที่มีมาแต่เดิมนั้นก็ยังอยู่ไม่ได้จางหายไป แม้ว่าการนำเสนอของ As It Was จะเรียบง่าย ไม่ได้หวือหวา แต่หนังก็มีสิ่งที่น่าสนใจคือ การที่เลียมออกมายอมรับว่ามีสิ่งไหนบ้างที่เขาทำไปแล้วผิดพลาด สำเร็จ เสียใจ หรือไม่เสียใจตรงไหน การนำเสนอความน่ารักของเลียมที่มีต่อครอบครัว และการส่งสารบอกไปถึงโนลเป็นนัยๆ ว่าเขายังคงรอวันที่จะได้กลับมาติดต่อกับพี่ชายของเขาอีกครั้ง
.
แม้ Supersonic และ As It Was จะไม่ได้มาจากผู้สร้างเดียวกันหรือเป็นภาคต่อกัน แต่ก็มีจุดร่วมหลายอย่าง คือ การเล่าเรื่องราวภายในครอบครัวกัลลาเกอร์ และความเป็นไอคอนเหนือยุคสมัย เช่น มุมมองในหนังทั้งสองที่ Peggie Gallagher มีต่อลูกชาย, ใน Supersonic ที่เล่าเรื่องราวของพ่อของเลียมและโนล อันเป็นบทพิสูจน์ความอดทนของทั้งสอง และมีอยู่ช่วงหนึ่งของหนังที่เลียมบอกว่าเพลงของ Oasis นั้นอยู่เหนือกาลเวลา , ใน As It Was ที่เล่าเรื่องครอบครัว ลูกๆ และความรักของเลียม และการนิยามตัวเองว่าเขายังสามารถเชื่อมโยงกับคนยุคใหม่ได้ แต่จุดร่วมที่สำคัญที่สุด คือ การถ่ายทอดความเป็นพี่น้องของเลียมและโนล ที่ไม่ว่าจะเล่าผ่านมุมมองของใครก็เห็นได้ถึงความซับซ้อน-ทั้งรักทั้งเกลียดของสองคนนี้ ซึ่งเป็นแรงผลักดันของ Oasis ในทุกๆ ด้าน
.
แม้ว่าเราคงอาจไม่มีโอกาสได้เห็นสองพี่น้องกลับมารวมตัวกันอีกโดยง่าย อาจเป็นเพราะแผนการที่ลิขิตเอาไว้หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ทั้ง Supersonic และ As It Was คือหนังสารคดีที่สามารถพาเราไปหวนรำลึกถึงเรื่องราวของ Oasis ที่ครั้งหนึ่งเคยได้สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีของโลก และ-ทั้งบทเพลง และอดีตสมาชิกวง-ยังคงเชื่อมโยงกับคนนับล้านให้รู้สึกซูเปอร์โซนิกได้ไม่เคยเปลี่ยน แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปสักแค่ไหนก็ตาม
.
ทั้งสองเรื่องยังฉายควบที่ลิโด้ฯ อยู่นะครับ ส่วน As It Was ที่ฉายในเชนโรงหนังต่างๆ รอบก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว จะเป็นแฟน ไม่ได้เป็นแฟน หรือแค่เคยฟังเพลงของ Oasis เฉยๆ ก็ดูได้สนุกแน่นอน
.
ติดตามและให้กำลังใจ #kfctherevieWER ได้ที่ twitter @kfcthereviewer และตามกระทู้ต่างๆ ได้ตามโอกาสนะครับ
ถ้าชอบกระทู้นี้อย่าลืมกดแชร์ให้เพื่อนๆ ของคุณได้อ่านกันนะครับ ขอบคุณครับ : )
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้