เกริ่นนำ (เล็กน้อย)
การเดินทางของ “ร้อนเร่า ... เร้าอารมณ์” ในฐานะครบรอบ 10 ปี
ร้อนเร่า ... เร้าอารมณ์ เป็นพล็อตนิยายที่เกิดขึ้นประมาณปี 2548 แต่ได้ออกโลดแล่นจริงๆในปี 2549
1. ปี 2549 ได้ตีพิมพ์เป็นเรื่องสั้น และนำลงในนิตยสารฉบับหนึ่ง แต่ต้องปรับโครงเรื่องและเปลี่ยนชื่อเรื่อง
2. ปี 2550 เขียนโดยใช้ชื่อเดิม เสนอสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง มีการคุยกันพักหนึ่ง แล้วก็ห่างกันไป
3. ปี 2551 นำลงในพันทิปโดยเข้าใจไปเองว่าคงมีแต่คนอ่านผู้ใหญ่ ตอนนั้นได้รับทั้งดอกไม้และก้อนหิน แต่ต้องยอมรับว่าในครั้งนั้น สามตอนแรกมันก็แรงมากจริงๆ จึงยุติการเขียนในตอนที่ 3 ผู้สนใจสามารถตามอ่านคำวิจารณ์ได้จาก
http://topicstock.ppantip.com/writer/topicstock/2008/10/W7139573/W7139573.html
4. ปี 2552 นำ “ร้อนเร่าเร้าอารมณ์” ไปลงในเว็บเฉพาะกลุ่มเว็บหนึ่งตามคำแนะนำของคนในพันทิปนี่แหละ เขียนไปเขียนมา ก็รู้สึกแปลกๆ คือมีการเรียกร้องให้มีการเพิ่มบทอัศจรรย์ ซึ่งผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ คือผมเขียน “ร้อนเร่าเร้าอารมณ์” ในฐานะการตรวจสอบเรื่องเพศ ความรัก ชีวิตและความเป็นมนุษย์ (พอๆกับเขียนนิยายเรื่องนิวตรอนฯเพื่อตรวจสอบความเป็นไปในจักรวาล) ไม่ได้เขียนเพื่อสนองตัณหา ราคะและกามารมณ์ ผมจึงรู้สึกว่าการนำนิยายเรื่องนี้ลงในเว็บเฉพาะกลุ่มยิ่งเป็นการทำลายนิยายเรื่องนี้ จึงถอนตัวออกมา
5. ปี 2552- 53 มีสำนักพิมพ์หนึ่งสนใจ และเสนอให้ปรับหลายอย่างมากจนตีพิมพ์ได้โดยใช้ชื่ออื่น เป็นการปรับจนกลายเป็นนิยายคล้ายละครหลังข่าวแบบน้ำเน่าสุดๆ
6. ปี 2553-2555 มีอีกสำนักพิมพ์สนใจแต่ให้ปรับอีกหลายจุด และอยากให้เพิ่มบทอัศจรรย์อีกหลายจุด จนได้มีการตีพิมพ์หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ มีการเปลี่ยนชื่อ ปรับตัวละคร ปรับโครงเรื่องเยอะแยะมากมายก่ายกอง
7. ปี 2556-2557 มีอีกสำนักพิมพ์อีกที่สนใจ แต่อยากให้ปรับโครงเรื่องและเพิ่มบทอัศจรรย์เข้าไปอีก ตรงนี้เป็นอีกจุดที่ผมสงสัยมากว่า เขาว่าโครงเรื่องมันแรง แต่อยากให้เพิ่มบทอัศจรรย์ ผมว่ามันขัดแย้งกันอย่างรุนแรงมากๆเลยนะ จึงห่างๆกันไป
8. ปี 2558 มีมูลนิธิหนึ่งอยากจัดพิมพ์เพราะเขาบอกว่าโครงเรื่องตรงกับสิ่งที่เขาสนใจ แต่สุดท้ายก็คุยกันไม่รู้เรื่อง
9. ปี 2559 ผมคิดอยู่นานนะว่าจะปรับจากพล็อตแรกๆเลย แล้วลดความแรงลง ซึ่งน่าจะนำลงในพันทิปได้ คือตอนเป็นเรื่องสั้น มันจะออกประมาณวันที่ 20 ตุลาคม 2549 มาถึงวันนี้ 20 ตุลาคม 2559 พอดี มันก็เดินทางมาครบ 10 พอดี คือผมอยากเผยแพร่เรื่องนี้ในเว็บแบบพันทิปเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปีของการเดินทางของนิยาย (ที่มีปัญหา) เรื่องนี้ ผมว่า concept ของนิยายเรื่องนี้มันมีคุณค่าบางอย่าง เพียงแต่มันเป็นการตรวจสอบเรื่องเพศ ความรัก และความเป็นมนุษย์ที่ดูหมิ่นเหม่มากไปหน่อย แต่การปรับครั้งนี้ ผมคิดว่าก็น่านำลงได้
แต่ถ้าใครอ่านแล้วไม่สบายใจก็บอกได้นะครับ
การนำลงพันทิปเมื่อปี 51 ทำให้ความเห็นคนแบ่งเป็นสองกลุ่ม แต่ที่จะนำลงครั้งนี้ ได้มีการปรับให้เบาลงแล้ว หวังว่าน่าจะพอไปได้นะครับ
ที่สำคัญ พล็อตเรื่องได้รับแรงบันดาลใจมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงในสังคมบ้านเรานะครับ อาจจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นเรื่องจริง แต่พอจะพูดได้ว่าได้รับแรงบันดาลใจมากจากเรื่องจริงครับ.
ร้อนเร่าเร้าอารมณ์ ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/35715756
ร้อนเร่าเร้าอารมณ์ ตอนที่ 2
คำรพหันไปมองตรงหน้าต่าง ตอนนี้ฝนตกลงมาห่าใหญ่ แต่เมื่อเขาหันกลับไป เห็นแต้มยังคงนั่งนิ่งอยู่ แอร์ในนี้เริ่มเย็น แต้มคงหนาวมาก แต่ด้วยหน้าที่ เธอเลยไม่ได้ขยับตัวแต่ประการใด
ถึงแต้มจะนิ่งมาก แต่ตอนเป็นแบบ เธอมักคิดแต่เรื่องในอดีต ตั้งแต่ครั้งแรกที่เป็นแบบ เธอถูกทาบทามจากเพื่อนในต่างประเทศที่หาแบบสาวชาวเอเชียไม่ได้
เพื่อนเธอต้องการคนที่พร้อมทั้งรูปร่างหน้าตาและความเข้าใจว่าแบบเปลือยให้กับนักศึกษามีความสำคัญอย่างไร
แต้มใช้เวลาคิดอยู่ 5 วันก่อนจะตอบตกลง แน่นอนว่าเธอเข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้ดี แต่การเป็นแบบเปลือยในชั้นเรียนดูจะเป็นงานที่น่าอายอยู่ไม่น้อย
จะต้องมีดวงตาหลายคู่จับจ้องเธอ เธอเองก็จะต้องอยู่เฉยๆเป็นเวลาสองถึงสามชั่วโมง มันเป็นงานที่ใช่ว่าใครก็ทำได้ และเป็นงานที่ยากที่จะให้หลายคนเข้าใจ
ถ้าเปรียบกันแล้ว คนเป็นแบบเปลือยก็ไม่ต่างจากศพที่อุทิศให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษากัน
แต้มคิดว่าศพกับแบบเปลือยมีความสำคัญต่อนักศึกษาไม่ต่างกัน จะต่างกันก็ตรงที่ศพเป็นร่างเปลือยที่ไร้ชีวิต ส่วนแบบเปลือยเป็นร่างเปลือยที่ยังมีชีวิต
คนที่ทาบทามเธอครั้งแรกบอกว่าการที่รูปร่างหน้าตาของเธอจัดว่าสวยจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาได้อย่างมาก
แต้มไม่เข้าใจเรื่องนี้ในช่วงแรกๆ เธอกลัวว่าเธอจะทำให้นักศึกษาชายเกิดกำหนัดและจะทำให้เวลาในชั้นเรียนเสียไป
คนที่ทาบทามเธอกลับให้คำตอบว่า ความสวยงามของแบบเปลือยจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจที่ดีให้กับนักศึกษาทั้งผู้ชายและผู้หญิง และมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากต่อการสร้างศิลปินที่มีคุณภาพ
แต้มต้องทำงานนี้สักพักถึงจะเข้าใจสิ่งที่คนที่ทาบทามเธอครั้งแรกบอกมา นักศึกษาหญิงจะชอบให้เธอเป็นแบบมาก ส่วนนักศึกษาชายก็น่าจะชอบเช่นกัน
เธอเองก็มักจะสังเกตนักศึกษาชายในช่วงที่เธอทำงานในช่วงแรกๆ บางคนคงต้องข่มความคิดในการอยากสัมผัสร่างกายของเธอมาเป็นชื่นชมและอยากสร้างผลงานที่มีคุณภาพขึ้นมาแทน
ในตอนเป็นแบบเปลือยช่วงแรกๆในต่างประเทศ เธอเองต้องปรับทัศนคติเป็นอย่างมาก นักศึกษาชายหลายคนก็คงต้องปรับตัวขนานใหญ่เช่นเดียวกัน
การเป็นแบบเปลือยกับการเป็นนักศึกษาหนุ่มที่ต้องสเกตซ์ภาพนู้ดจากแบบเปลือยคงต้องต่อสู้กับอะไรบางอย่างพอๆกัน
แต่ถ้าทั้งสองตระหนักถึงหน้าที่และเข้าใจว่าร่างเปลือยของหญิงสาวนั้นไม่อนาจารและเต็มไปด้วยความงามทางศิลปะ แต่ละฝ่ายก็จะบรรลุถึงพลังของตัวเอง
เรื่องราวเหล่านี้เป็นที่เข้าใจยากมากสำหรับคนทั่วไป ทำให้แต้มไม่เปิดเผยเรื่องงานของเธอกับคนอื่น แม้แต่ในสังคมต่างประเทศก็ไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้
แต้มเข้าใจสิ่งที่เธอทำดี และพอคิดกลับมาเมืองไทย ประณตที่เป็นรุ่นพี่และตอนนี้เป็นอาจารย์แล้วก็ไม่พลาดที่จะทาบทามเธอ
“แต้มกลัวนะคะถ้าจะเป็นแบบในเมืองไทย”
ประณตยิ้มอย่างให้กำลังใจ
“แบบเปลือยสำหรับให้นักศึกษาได้ฝึกฝีมือมีมานานแล้วนะ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก และวงการศิลปะในเมืองไทยก็เข้าใจเรื่องนี้กันดี”
แต้มไม่ปฏิเสธประณต แต่ที่เธอกลัวคือสังคมต่างหาก เธอเข้าใจดีว่าสังคมก็มีกรอบอีกอย่างหนึ่งและคิดเสมอว่าผู้หญิงต้องไม่เปลือยร่างกายตนต่อหน้าผู้อื่น นอกจากคนที่เป็นผัว ผัวเป็นคำที่มีอำนาจมากที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งสามารถเห็นร่างเปลือยและจะกระทำสิ่งใดก็ตามกับร่างเปลือยของหญิงสาวนั้นได้ โดยที่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง
“เรื่องของผัวเมีย” เป็นคำติดปากในกรณีนี้ บางครั้งผัวก็ทำร้ายเมียได้ กฎหมายบางทีก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง
สิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้แต้มกลัว
เธอมักจะไม่กลัวกับการเป็นแบบเปลือย แต่กลัวคำว่าผัวและเมียแทน
บางทีแต้มคิดเลยเถิดไปถึงความเป็นมนุษย์ การเปลือยในชั้นเรียนก็กระตุ้นให้เธอคิดถึงความเป็นมนุษย์บางอย่างขึ้นมาได้
เธอเคยกล้าขอให้นักศึกษาศิลปะในต่างประเทศเปลือยไปพร้อมกับเธอ
การขอครั้งนั้นทำให้อาจารย์วิชานั้นตกใจมากเพราะไม่เคยมีแบบเปลือยคนใดเรียกร้องให้มีการแก้ผ้ากันทั้งห้องมาก่อน
เนื่องจากครั้งนั้น เธอต้องการทดลองอะไรบางอย่าง เธอจึงยืนยันว่า “เพื่อความยุติธรรม เราทุกคนควรจะเปลือยเหมือนกัน รวมทั้งอาจารย์ด้วย”
ในท้ายที่สุดทุกคนก็ยอม แต้มสัมผัสได้ว่าการยอมของแต่ละคนคงมีหลายเหตุผล ตัวอาจารย์ที่เป็นผู้ชายคงยอมเพื่อให้เรื่องจบๆกันไป
นักศึกษาผู้หญิงคงยอมเพราะอยากจะอวดหุ่นของตัวเอง นักศึกษาชายอาจจะยอมเพราะอยากที่จะเปลือยบ้าง อยากรู้ว่าตัวเองจะรู้สึกยังไง หรืออาจจะอยากโชว์ของดี
ไม่ว่าใครจะมีเหตุผลใด การเปลือยอย่างเท่าเทียมก็ได้เกิดขึ้น และไม่ผิดกฎหมายด้วยเพราะนี่คือชั้นเรียนศิลปะ มันเป็นพื้นที่ๆเปลือยได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
วันนั้นเหมือนเธอได้เห็นทุ่งดอกจำปีที่มีลักษณะแปลกประหลาด เดี๋ยวบานเดี๋ยวเหี่ยวตามอารมณ์ของเจ้าของดอกจำปีนั้น
บางครั้งมันก็คือประสบการณ์แปลกประหลาดที่ต่างประเทศมองว่าเป็นเรื่องที่ควรลองทำและลองคิด
ที่แปลกไปกว่านั้น หลังจากการเป็นแบบ ทางอาจารย์ได้จัดเลี้ยงเล็กๆเพื่อขอบคุณเธอ แต่อาจารย์ดันเสนอว่าตอนงานเลี้ยงก็เปลือยแบบนี้แหละเก๋ดี
เราทุกคนก็เลยกินขนมไป และก็พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกัน พอคุยกันถูกคอ และได้มีการเปิดประเด็นใหม่ๆ หลายคนคงลืมไปเลยว่าในห้องนี้ทุกคนเปลือยเปล่า
พอคนชอบศิลปะมาคุยกัน ก็จะเริ่มสนใจแนวคิดซึ่งกันและกัน
และนั่นก็เป็นช่วงที่หลายคนไม่ได้สนใจเลยว่าแต่ละคนกำลังเปลือยอยู่
ไม่มีการเขิน เสื้อผ้าไม่เกี่ยว ที่สร้างความบันเทิงได้อย่างเดียวคือความเข้าใจและสนใจในงานศิลปะ
หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องชีวิต ปรัชญา และวรรณกรรม
หลายคนได้เพื่อนใหม่ในวันนั้น วันนั้นพวกเราจึง “ซึ้งหมู่” ทุกคนรู้สึกอบอุ่นถึงแม้ว่าจะไม่มีใครใส่เสื้อผ้าเลยก็ตาม
พอนักศึกษาชายเข้าใจถึงแก่นแท้ของศิลปะ ทุ่งดอกจำปีก็เหี่ยวมากเหมือนกับไม่ได้มีคนมารดน้ำเป็นแรมปี
แต้มชอบสีสันของชีวิตในวันนั้นมาก และเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งที่ทำให้เธอยังคงรับเป็นแบบเปลือยในชั้นเรียนมาจนถึงทุกวันนี้ รวมทั้งรับเป็นแบบในการถ่ายภาพนู้ดด้วย
แต้มรู้ดีว่าเธอกำลังทำอะไรและคิดอะไรอยู่
บางครั้งชีวิตก็ถูกขับเคลื่อนโดยร่างเปลือยเปล่า
แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องศิลปะอย่างถ่องแท้ เราจะเข้าใจว่าร่างเปลือยไม่อนาจารเลย
แน่นอนว่ามันเหมือนมีเส้นบางๆมากั้น มันก็เหมือนกับมีเสื้อผ้ามาปกปิดความเป็นมนุษย์ของเรา เพราะความเป็นมนุษย์ทางกายภาพของเราก็คือร่างกายที่เปลือยเปล่านี่แหละ
ถึงแม้แต้มจะเข้าใจงานของเธอดี แต่เธอก็ต้องปกปิดทุกคนอยู่ดีว่าเธอทำงานอะไร
ขณะที่แต้มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฝนข้างนอกก็ยังตกหนักอยู่
----------------------------------------------------
พอฝนตก รถก็ติด พยัพรู้สึกว่าเขาถูกขังอยู่ในห้องๆหนึ่งกลางถนนกับผู้ชายแปลกหน้า ผู้ชายที่ดูเป็นผู้ชายทุกกระเบียดนิ้ว ผู้ชายที่รักภรรยาของตัวเองมาก อยากจะสร้างความสุขให้กับภรรยาอีกครั้ง ถึงแม้จะต้องมีอะไรกับชายหนุ่มก็ตาม
พยัพรับความคิดนี้ไม่ได้ เขาไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้ แก่แล้วทำไมไม่ไปเข้าวัดเข้าวา ยังจะมาหาวิธีแปลกพิสดารในการหาความสุขทางเพศอีก ความสุขทางเพศมันสำคัญต่อเขามากถึงขนาดนั้นเลยเหรอ
มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้เลย ทำไมผู้ชายแมนๆแบบผู้ชายคนนี้ถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมาได้
มันเข้าใจลำบากมาก พยัพรู้สึกแย่ และอยากลงจากรถตอนนี้
แต่รถมันติดมาก ฝนก็ตกหนัก การอยู่บนรถจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
พอรถติดนานๆ คนขับแท็กซี่จึงพูดทำลายความเงียบขึ้น
“น้องอยากมีแท็กซี่ประจำไหม”
โปรดติดตามตอนต่อไป
ร้อนเร่าเร้าอารมณ์ ตอนที่ 2
การเดินทางของ “ร้อนเร่า ... เร้าอารมณ์” ในฐานะครบรอบ 10 ปี
ร้อนเร่า ... เร้าอารมณ์ เป็นพล็อตนิยายที่เกิดขึ้นประมาณปี 2548 แต่ได้ออกโลดแล่นจริงๆในปี 2549
1. ปี 2549 ได้ตีพิมพ์เป็นเรื่องสั้น และนำลงในนิตยสารฉบับหนึ่ง แต่ต้องปรับโครงเรื่องและเปลี่ยนชื่อเรื่อง
2. ปี 2550 เขียนโดยใช้ชื่อเดิม เสนอสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง มีการคุยกันพักหนึ่ง แล้วก็ห่างกันไป
3. ปี 2551 นำลงในพันทิปโดยเข้าใจไปเองว่าคงมีแต่คนอ่านผู้ใหญ่ ตอนนั้นได้รับทั้งดอกไม้และก้อนหิน แต่ต้องยอมรับว่าในครั้งนั้น สามตอนแรกมันก็แรงมากจริงๆ จึงยุติการเขียนในตอนที่ 3 ผู้สนใจสามารถตามอ่านคำวิจารณ์ได้จาก http://topicstock.ppantip.com/writer/topicstock/2008/10/W7139573/W7139573.html
4. ปี 2552 นำ “ร้อนเร่าเร้าอารมณ์” ไปลงในเว็บเฉพาะกลุ่มเว็บหนึ่งตามคำแนะนำของคนในพันทิปนี่แหละ เขียนไปเขียนมา ก็รู้สึกแปลกๆ คือมีการเรียกร้องให้มีการเพิ่มบทอัศจรรย์ ซึ่งผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ คือผมเขียน “ร้อนเร่าเร้าอารมณ์” ในฐานะการตรวจสอบเรื่องเพศ ความรัก ชีวิตและความเป็นมนุษย์ (พอๆกับเขียนนิยายเรื่องนิวตรอนฯเพื่อตรวจสอบความเป็นไปในจักรวาล) ไม่ได้เขียนเพื่อสนองตัณหา ราคะและกามารมณ์ ผมจึงรู้สึกว่าการนำนิยายเรื่องนี้ลงในเว็บเฉพาะกลุ่มยิ่งเป็นการทำลายนิยายเรื่องนี้ จึงถอนตัวออกมา
5. ปี 2552- 53 มีสำนักพิมพ์หนึ่งสนใจ และเสนอให้ปรับหลายอย่างมากจนตีพิมพ์ได้โดยใช้ชื่ออื่น เป็นการปรับจนกลายเป็นนิยายคล้ายละครหลังข่าวแบบน้ำเน่าสุดๆ
6. ปี 2553-2555 มีอีกสำนักพิมพ์สนใจแต่ให้ปรับอีกหลายจุด และอยากให้เพิ่มบทอัศจรรย์อีกหลายจุด จนได้มีการตีพิมพ์หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ มีการเปลี่ยนชื่อ ปรับตัวละคร ปรับโครงเรื่องเยอะแยะมากมายก่ายกอง
7. ปี 2556-2557 มีอีกสำนักพิมพ์อีกที่สนใจ แต่อยากให้ปรับโครงเรื่องและเพิ่มบทอัศจรรย์เข้าไปอีก ตรงนี้เป็นอีกจุดที่ผมสงสัยมากว่า เขาว่าโครงเรื่องมันแรง แต่อยากให้เพิ่มบทอัศจรรย์ ผมว่ามันขัดแย้งกันอย่างรุนแรงมากๆเลยนะ จึงห่างๆกันไป
8. ปี 2558 มีมูลนิธิหนึ่งอยากจัดพิมพ์เพราะเขาบอกว่าโครงเรื่องตรงกับสิ่งที่เขาสนใจ แต่สุดท้ายก็คุยกันไม่รู้เรื่อง
9. ปี 2559 ผมคิดอยู่นานนะว่าจะปรับจากพล็อตแรกๆเลย แล้วลดความแรงลง ซึ่งน่าจะนำลงในพันทิปได้ คือตอนเป็นเรื่องสั้น มันจะออกประมาณวันที่ 20 ตุลาคม 2549 มาถึงวันนี้ 20 ตุลาคม 2559 พอดี มันก็เดินทางมาครบ 10 พอดี คือผมอยากเผยแพร่เรื่องนี้ในเว็บแบบพันทิปเป็นการฉลองครบรอบ 10 ปีของการเดินทางของนิยาย (ที่มีปัญหา) เรื่องนี้ ผมว่า concept ของนิยายเรื่องนี้มันมีคุณค่าบางอย่าง เพียงแต่มันเป็นการตรวจสอบเรื่องเพศ ความรัก และความเป็นมนุษย์ที่ดูหมิ่นเหม่มากไปหน่อย แต่การปรับครั้งนี้ ผมคิดว่าก็น่านำลงได้
แต่ถ้าใครอ่านแล้วไม่สบายใจก็บอกได้นะครับ
การนำลงพันทิปเมื่อปี 51 ทำให้ความเห็นคนแบ่งเป็นสองกลุ่ม แต่ที่จะนำลงครั้งนี้ ได้มีการปรับให้เบาลงแล้ว หวังว่าน่าจะพอไปได้นะครับ
ที่สำคัญ พล็อตเรื่องได้รับแรงบันดาลใจมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงในสังคมบ้านเรานะครับ อาจจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นเรื่องจริง แต่พอจะพูดได้ว่าได้รับแรงบันดาลใจมากจากเรื่องจริงครับ.
ร้อนเร่าเร้าอารมณ์ ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/35715756
ร้อนเร่าเร้าอารมณ์ ตอนที่ 2
คำรพหันไปมองตรงหน้าต่าง ตอนนี้ฝนตกลงมาห่าใหญ่ แต่เมื่อเขาหันกลับไป เห็นแต้มยังคงนั่งนิ่งอยู่ แอร์ในนี้เริ่มเย็น แต้มคงหนาวมาก แต่ด้วยหน้าที่ เธอเลยไม่ได้ขยับตัวแต่ประการใด
ถึงแต้มจะนิ่งมาก แต่ตอนเป็นแบบ เธอมักคิดแต่เรื่องในอดีต ตั้งแต่ครั้งแรกที่เป็นแบบ เธอถูกทาบทามจากเพื่อนในต่างประเทศที่หาแบบสาวชาวเอเชียไม่ได้
เพื่อนเธอต้องการคนที่พร้อมทั้งรูปร่างหน้าตาและความเข้าใจว่าแบบเปลือยให้กับนักศึกษามีความสำคัญอย่างไร
แต้มใช้เวลาคิดอยู่ 5 วันก่อนจะตอบตกลง แน่นอนว่าเธอเข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้ดี แต่การเป็นแบบเปลือยในชั้นเรียนดูจะเป็นงานที่น่าอายอยู่ไม่น้อย
จะต้องมีดวงตาหลายคู่จับจ้องเธอ เธอเองก็จะต้องอยู่เฉยๆเป็นเวลาสองถึงสามชั่วโมง มันเป็นงานที่ใช่ว่าใครก็ทำได้ และเป็นงานที่ยากที่จะให้หลายคนเข้าใจ
ถ้าเปรียบกันแล้ว คนเป็นแบบเปลือยก็ไม่ต่างจากศพที่อุทิศให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษากัน
แต้มคิดว่าศพกับแบบเปลือยมีความสำคัญต่อนักศึกษาไม่ต่างกัน จะต่างกันก็ตรงที่ศพเป็นร่างเปลือยที่ไร้ชีวิต ส่วนแบบเปลือยเป็นร่างเปลือยที่ยังมีชีวิต
คนที่ทาบทามเธอครั้งแรกบอกว่าการที่รูปร่างหน้าตาของเธอจัดว่าสวยจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาได้อย่างมาก
แต้มไม่เข้าใจเรื่องนี้ในช่วงแรกๆ เธอกลัวว่าเธอจะทำให้นักศึกษาชายเกิดกำหนัดและจะทำให้เวลาในชั้นเรียนเสียไป
คนที่ทาบทามเธอกลับให้คำตอบว่า ความสวยงามของแบบเปลือยจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจที่ดีให้กับนักศึกษาทั้งผู้ชายและผู้หญิง และมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากต่อการสร้างศิลปินที่มีคุณภาพ
แต้มต้องทำงานนี้สักพักถึงจะเข้าใจสิ่งที่คนที่ทาบทามเธอครั้งแรกบอกมา นักศึกษาหญิงจะชอบให้เธอเป็นแบบมาก ส่วนนักศึกษาชายก็น่าจะชอบเช่นกัน
เธอเองก็มักจะสังเกตนักศึกษาชายในช่วงที่เธอทำงานในช่วงแรกๆ บางคนคงต้องข่มความคิดในการอยากสัมผัสร่างกายของเธอมาเป็นชื่นชมและอยากสร้างผลงานที่มีคุณภาพขึ้นมาแทน
ในตอนเป็นแบบเปลือยช่วงแรกๆในต่างประเทศ เธอเองต้องปรับทัศนคติเป็นอย่างมาก นักศึกษาชายหลายคนก็คงต้องปรับตัวขนานใหญ่เช่นเดียวกัน
การเป็นแบบเปลือยกับการเป็นนักศึกษาหนุ่มที่ต้องสเกตซ์ภาพนู้ดจากแบบเปลือยคงต้องต่อสู้กับอะไรบางอย่างพอๆกัน
แต่ถ้าทั้งสองตระหนักถึงหน้าที่และเข้าใจว่าร่างเปลือยของหญิงสาวนั้นไม่อนาจารและเต็มไปด้วยความงามทางศิลปะ แต่ละฝ่ายก็จะบรรลุถึงพลังของตัวเอง
เรื่องราวเหล่านี้เป็นที่เข้าใจยากมากสำหรับคนทั่วไป ทำให้แต้มไม่เปิดเผยเรื่องงานของเธอกับคนอื่น แม้แต่ในสังคมต่างประเทศก็ไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้
แต้มเข้าใจสิ่งที่เธอทำดี และพอคิดกลับมาเมืองไทย ประณตที่เป็นรุ่นพี่และตอนนี้เป็นอาจารย์แล้วก็ไม่พลาดที่จะทาบทามเธอ
“แต้มกลัวนะคะถ้าจะเป็นแบบในเมืองไทย”
ประณตยิ้มอย่างให้กำลังใจ
“แบบเปลือยสำหรับให้นักศึกษาได้ฝึกฝีมือมีมานานแล้วนะ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก และวงการศิลปะในเมืองไทยก็เข้าใจเรื่องนี้กันดี”
แต้มไม่ปฏิเสธประณต แต่ที่เธอกลัวคือสังคมต่างหาก เธอเข้าใจดีว่าสังคมก็มีกรอบอีกอย่างหนึ่งและคิดเสมอว่าผู้หญิงต้องไม่เปลือยร่างกายตนต่อหน้าผู้อื่น นอกจากคนที่เป็นผัว ผัวเป็นคำที่มีอำนาจมากที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งสามารถเห็นร่างเปลือยและจะกระทำสิ่งใดก็ตามกับร่างเปลือยของหญิงสาวนั้นได้ โดยที่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง
“เรื่องของผัวเมีย” เป็นคำติดปากในกรณีนี้ บางครั้งผัวก็ทำร้ายเมียได้ กฎหมายบางทีก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง
สิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้แต้มกลัว
เธอมักจะไม่กลัวกับการเป็นแบบเปลือย แต่กลัวคำว่าผัวและเมียแทน
บางทีแต้มคิดเลยเถิดไปถึงความเป็นมนุษย์ การเปลือยในชั้นเรียนก็กระตุ้นให้เธอคิดถึงความเป็นมนุษย์บางอย่างขึ้นมาได้
เธอเคยกล้าขอให้นักศึกษาศิลปะในต่างประเทศเปลือยไปพร้อมกับเธอ
การขอครั้งนั้นทำให้อาจารย์วิชานั้นตกใจมากเพราะไม่เคยมีแบบเปลือยคนใดเรียกร้องให้มีการแก้ผ้ากันทั้งห้องมาก่อน
เนื่องจากครั้งนั้น เธอต้องการทดลองอะไรบางอย่าง เธอจึงยืนยันว่า “เพื่อความยุติธรรม เราทุกคนควรจะเปลือยเหมือนกัน รวมทั้งอาจารย์ด้วย”
ในท้ายที่สุดทุกคนก็ยอม แต้มสัมผัสได้ว่าการยอมของแต่ละคนคงมีหลายเหตุผล ตัวอาจารย์ที่เป็นผู้ชายคงยอมเพื่อให้เรื่องจบๆกันไป
นักศึกษาผู้หญิงคงยอมเพราะอยากจะอวดหุ่นของตัวเอง นักศึกษาชายอาจจะยอมเพราะอยากที่จะเปลือยบ้าง อยากรู้ว่าตัวเองจะรู้สึกยังไง หรืออาจจะอยากโชว์ของดี
ไม่ว่าใครจะมีเหตุผลใด การเปลือยอย่างเท่าเทียมก็ได้เกิดขึ้น และไม่ผิดกฎหมายด้วยเพราะนี่คือชั้นเรียนศิลปะ มันเป็นพื้นที่ๆเปลือยได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
วันนั้นเหมือนเธอได้เห็นทุ่งดอกจำปีที่มีลักษณะแปลกประหลาด เดี๋ยวบานเดี๋ยวเหี่ยวตามอารมณ์ของเจ้าของดอกจำปีนั้น
บางครั้งมันก็คือประสบการณ์แปลกประหลาดที่ต่างประเทศมองว่าเป็นเรื่องที่ควรลองทำและลองคิด
ที่แปลกไปกว่านั้น หลังจากการเป็นแบบ ทางอาจารย์ได้จัดเลี้ยงเล็กๆเพื่อขอบคุณเธอ แต่อาจารย์ดันเสนอว่าตอนงานเลี้ยงก็เปลือยแบบนี้แหละเก๋ดี
เราทุกคนก็เลยกินขนมไป และก็พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกัน พอคุยกันถูกคอ และได้มีการเปิดประเด็นใหม่ๆ หลายคนคงลืมไปเลยว่าในห้องนี้ทุกคนเปลือยเปล่า
พอคนชอบศิลปะมาคุยกัน ก็จะเริ่มสนใจแนวคิดซึ่งกันและกัน
และนั่นก็เป็นช่วงที่หลายคนไม่ได้สนใจเลยว่าแต่ละคนกำลังเปลือยอยู่
ไม่มีการเขิน เสื้อผ้าไม่เกี่ยว ที่สร้างความบันเทิงได้อย่างเดียวคือความเข้าใจและสนใจในงานศิลปะ
หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องชีวิต ปรัชญา และวรรณกรรม
หลายคนได้เพื่อนใหม่ในวันนั้น วันนั้นพวกเราจึง “ซึ้งหมู่” ทุกคนรู้สึกอบอุ่นถึงแม้ว่าจะไม่มีใครใส่เสื้อผ้าเลยก็ตาม
พอนักศึกษาชายเข้าใจถึงแก่นแท้ของศิลปะ ทุ่งดอกจำปีก็เหี่ยวมากเหมือนกับไม่ได้มีคนมารดน้ำเป็นแรมปี
แต้มชอบสีสันของชีวิตในวันนั้นมาก และเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งที่ทำให้เธอยังคงรับเป็นแบบเปลือยในชั้นเรียนมาจนถึงทุกวันนี้ รวมทั้งรับเป็นแบบในการถ่ายภาพนู้ดด้วย
แต้มรู้ดีว่าเธอกำลังทำอะไรและคิดอะไรอยู่
บางครั้งชีวิตก็ถูกขับเคลื่อนโดยร่างเปลือยเปล่า
แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องศิลปะอย่างถ่องแท้ เราจะเข้าใจว่าร่างเปลือยไม่อนาจารเลย
แน่นอนว่ามันเหมือนมีเส้นบางๆมากั้น มันก็เหมือนกับมีเสื้อผ้ามาปกปิดความเป็นมนุษย์ของเรา เพราะความเป็นมนุษย์ทางกายภาพของเราก็คือร่างกายที่เปลือยเปล่านี่แหละ
ถึงแม้แต้มจะเข้าใจงานของเธอดี แต่เธอก็ต้องปกปิดทุกคนอยู่ดีว่าเธอทำงานอะไร
ขณะที่แต้มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฝนข้างนอกก็ยังตกหนักอยู่
----------------------------------------------------
พอฝนตก รถก็ติด พยัพรู้สึกว่าเขาถูกขังอยู่ในห้องๆหนึ่งกลางถนนกับผู้ชายแปลกหน้า ผู้ชายที่ดูเป็นผู้ชายทุกกระเบียดนิ้ว ผู้ชายที่รักภรรยาของตัวเองมาก อยากจะสร้างความสุขให้กับภรรยาอีกครั้ง ถึงแม้จะต้องมีอะไรกับชายหนุ่มก็ตาม
พยัพรับความคิดนี้ไม่ได้ เขาไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้ แก่แล้วทำไมไม่ไปเข้าวัดเข้าวา ยังจะมาหาวิธีแปลกพิสดารในการหาความสุขทางเพศอีก ความสุขทางเพศมันสำคัญต่อเขามากถึงขนาดนั้นเลยเหรอ
มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้เลย ทำไมผู้ชายแมนๆแบบผู้ชายคนนี้ถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมาได้
มันเข้าใจลำบากมาก พยัพรู้สึกแย่ และอยากลงจากรถตอนนี้
แต่รถมันติดมาก ฝนก็ตกหนัก การอยู่บนรถจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
พอรถติดนานๆ คนขับแท็กซี่จึงพูดทำลายความเงียบขึ้น
“น้องอยากมีแท็กซี่ประจำไหม”
โปรดติดตามตอนต่อไป