สัปดาห์แห่งความผันผวนของหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

กระทู้สนทนา
สัปดาห์แห่งความผันผวนของหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรเข้ามาดู

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=60442

วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้ว่า  “ถ้าคุณไม่สามารถทนเห็นหุ้นที่คุณถืออยู่ตกลงไป 50% โดยที่ไม่รู้สึกขวัญผวาได้  คุณก็ไม่ควรอยู่ในตลาดหุ้น”  นี่เป็นคำกล่าวที่บ่งบอกให้เห็นว่าราคาหุ้นนั้นมักจะมีความผันผวนหนัก ๆ  ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเสมอ  และเวลานั้นจะเป็นเวลาที่ทดสอบจิตใจว่าคุณพร้อมที่จะเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นหรือไม่  กล่าวโดยเฉพาะก็คือ  ถ้าหุ้นตกลงมาอย่างหนักจนถึงระดับ 50% โดยที่คุณมั่นใจว่าพื้นฐานของตัวหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก  คุณจะยังสามารถถือมันไว้ไม่รีบขายไปเสียก่อนได้หรือไม่  ถ้าคำตอบคือไม่!  เพราะคุณกลัวว่ามันจะตกลงต่อไปอีก  ถ้าเป็นแบบนี้  คุณก็ไม่ควรจะลงทุนในตลาดหุ้น  เหตุผลก็เพราะว่าคุณจะพลาดและเสียหายหนักเมื่อพบในภายหลังว่าหุ้นตัวนั้นก็จะปรับตัวกลับขึ้นมา—ตามพื้นฐานที่ควรจะเป็นของมัน  ดังนั้น  สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว  การที่หุ้นตกโดยที่วิเคราะห์ชัดเจนแล้วว่าพื้นฐานของกิจการไม่ได้เปลี่ยน  เราก็ไม่ควรที่จะขายหุ้น  ทางที่ดีก็คือ  ไม่ต้องไปทำอะไร  หรือทางที่อาจจะดีกว่าก็คือ  เข้าไปซื้อหุ้นที่ตกลงมามาก ๆ  นั้น  แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่คิดง่ายแต่ทำยากสำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีพฤติกรรม  “หนีตาย” เวลาอยู่ใน “อันตรายร้ายแรง” ในยีนของทุกคน

    สัปดาห์ก่อนช่วงวันที่ 10-14 ตุลาคม 59 นั้น  ตลาดหุ้นไทยเกิดความ “ผันผวน” รุนแรงมาก  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 59 ที่ 1,504 จุด  พอเปิดตลาดในวันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม ดัชนีตลาดก็ปรับลดลงอย่างรุนแรงเนื่องจากเหตุการณ์ “ปัจจัยภายในประเทศ” ที่ไม่น่าจะไม่เกี่ยวกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโดยตรง  ดัชนีปิดที่ 1,457 จุด ลดลงมา 47 จุดหรือลดลง 3.1%  โดยที่กลุ่มนักลงทุนที่ขายหุ้น “อย่างหนัก” ก็คือนักลงทุนสถาบัน  ที่ขายสุทธิถึงกว่า 7 พันล้านบาทซึ่งถือว่าสูงมากเนื่องจากนักลงทุนสถาบันนั้นเป็นนักลงทุนกลุ่มที่มักมีการซื้อขายต่อวันน้อยเพียงประมาณ 10% ของการซื้อขายหุ้นทั้งหมดของตลาด  และโดยปกติก็มักจะมีการซื้อขายรวมเพียงประมาณ 4-5 พันล้านบาทต่อวันเท่านั้น

    วันที่ 11 ตุลาคม 59 ดัชนีหุ้นไทยยังคงผันผวนแรงและปรับตัวลดลงหลายสิบจุดในช่วงเช้า  อย่างไรก็ตาม  ดัชนีก็กระเตื้องขึ้นมากและปิดตลาดที่ 1,442 จุด หรือลดลงเพียง 15 จุด หรือปรับตัวลง 1% คนที่ “กล้า” เข้าไปซื้อตอนเช้าและขายตอนบ่ายก็จะสามารถทำกำไรได้หลายเปอร์เซ็นต์ในเวลาอันสั้น  วันนี้ก็อีกเช่นกันที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันเป็นผู้ขายสุทธิค่อนข้างมากที่ 3,345 ล้านบาท  ดูเหมือนว่านักลงทุนสถาบันจะยังกังวลและขายหุ้นต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า

    วันที่ 12 ตุลาคม 59 ดูเหมือนว่าความผันผวนของตลาดหุ้นจะเข้าสู่ภาวะสูงสุดและไม่ใช่นักลงทุนสถาบันเท่านั้นที่อาจจะกังวลต่อปัจจัยภายในประเทศ  นักลงทุนแทบทุกกลุ่มต่างก็  “แพนิก” และซื้อ-ขายหุ้นกันอย่างที่อาจจะไม่คิดถึงเหตุผล  ดัชนีตลาดหุ้นช่วงหนึ่งนั้นลดลงไปอยู่ที่ 1,343 จุด  ลดลงจากราคาปิดวันก่อนหน้าถึง 99 จุดหรือ 6.9%  อย่างไรก็ตาม  ก่อนปิดตลาด  แรงเก็งกำไรก็กลับเข้ามาซื้อหุ้นทำให้ดัชนีกระเตื้องขึ้นมากและปิดตลาดที่ดัชนี 1,406 จุด หรือเป็นการลดลงจากวันก่อนหน้าเพียง 36 จุด หรือ 2.5%  ปริมาณการซื้อขายหุ้นในวันนี้สูงถึง 130,000 ล้านบาทซึ่งน่าจะเป็นปริมาณการซื้อขายปกติที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย

    วันที่ 13 ตุลาคม 59 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จสวรรคต  ดัชนีตลาดหุ้นในช่วงระหว่างวันยังคงมีความผันผวนแรงมาก ช่วงหนึ่งดัชนีตกลงไปเหลือ 1,357 จุด ลดลงถึง 49 จุด หรือลดลง 3.5%   อย่างไรก็ตาม  ในช่วงก่อนปิดตลาดดัชนีกลับกระเตื้องขึ้นอย่างเร็วและแรงมากดัชนีปิดที่ 1,413 จุด บวกมาประมาณ 6.6 จุดหรือ 0.5% จากวันก่อนหน้า  โดยมีกลุ่มนักลงทุนสถาบันเป็นผู้ซื้อสุทธิถึง 9,716 ล้านบาทแทนที่จะเป็นฝ่ายที่ขายในช่วง 3 วันก่อนหน้านี้  ปริมาณการซื้อขายของตลาดในวันนี้ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงแรงเก็งกำไรมหาศาลที่กว่า 1 แสนล้านบาท

    วันที่ 14 ตุลาคม 59 ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่เปิดตลาดและคงเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องมาจากช่วงก่อนปิดตลาดวันก่อนหน้านั้น  ดัชนีปิดตลาดที่ 1,478 จุด  เพิ่มขึ้น 65 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึง 4.6%  และด้วยปริมาณการซื้อขายรวมถึงกว่า 1 แสนล้านบาท  และก็เช่นเดิม  นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ซื้อสุทธิถึง 13,525 ล้านบาท  และนี่ก็คือเหตุการณ์ “สัปดาห์แห่งความผันผวนของตลาดหุ้นไทย” ที่ทำให้นักลงทุนหลายคนเสียหายหนักเพราะ “กลัว”  และได้เข้าไปซื้อขายหุ้นผิดจังหวะหรือผิดเวลา  ในอีกด้านหนึ่งก็มีคนที่  “กล้า”  และซื้อขายหุ้นถูกจังหวะและทำกำไรได้มากในเวลาอันสั้น

    แต่ในมุมของนักลงทุนระยะยาวที่เน้นที่พื้นฐานและราคาหุ้นของกิจการโดยเฉพาะที่เป็น VI “พันธุ์แท้” นั้น  เหตุการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่แล้วให้บทเรียนอะไรบ้าง?

    ดอกไม้ข้อแรกก็คือ  แม้ว่าทุกวันของสัปดาห์ที่แล้วตลาดจะมีการปรับตัวขึ้นลงอย่างรุนแรงมากและมีการซื้อขายเปลี่ยนมือของหุ้นเฉลี่ยเกือบแสนล้านบาทต่อวัน  ซึ่งน่าจะทำให้มีคนได้และเสียจากการเล่นหุ้นมหาศาล  แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ “ไม่ได้ทำอะไรเลย” เพราะเห็นว่าพื้นฐานของตลาดและหุ้นที่ตนเองถืออยู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป  พวกเขาก็อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับความผันผวนนี้มากนัก  เหตุผลก็เพราะว่า  ถ้าดูดัชนีหุ้นก่อนสัปดาห์ที่แล้วในวันที่ 7 ตุลาคม 59 ที่ 1,504 เทียบกับวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 59 ที่1,478 ก็เท่ากับว่าหุ้นลดลง 26 จุดหรือเพียง 1.7%  ในหนึ่งสัปดาห์ซึ่งแทบจะไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย

    ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรเลยและมูลค่าหุ้นในพอร์ตก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรแม้ว่าในช่วงหนึ่งก็คิดอยากจะเข้าไปซื้อหุ้นที่ตกลงมาหนักและคิดว่าพอที่จะลงทุนได้ในระดับหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ไม่ได้ซื้อ  ผมเองเป็นคนที่ไม่ชอบ “รีบซื้อหุ้น”  ผมไม่ชอบต้องรีบซื้อหุ้นเพราะคิดว่ามันจะ  “เด้ง”  หุ้นที่ผมซื้อนั้น  ผมมักจะรอให้มัน “นิ่ง” ซักระยะหนึ่งมากกว่า  การซื้อหุ้นเพราะคิดว่ามันจะ  “เด้ง” นั้น  ผมคิดว่ามันเป็นวิธีการแบบ  “เก็งกำไร” ซึ่งผมไม่อยากทำ  ในความรู้สึกของผม  มันเป็นเรื่องที่คล้าย ๆ  กับการ  “ผิดศีล” ในฐานะของการเป็น VI    อีกอย่างหนึ่ง  ผมไม่อยากที่จะพบว่าซื้อแล้วมันกลับลงไปอีกซึ่งมันเกิดขึ้นได้เสมอ  ผมไม่อยาก “เจ็บ”   การ “พลาด”  เพราะไม่ได้ซื้อนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผม  ผมพลาดมาตลอด  แต่ผลการลงทุนระยะยาวของผมก็ยังคงดีอยู่โดยการลงทุนในหุ้นธรรมดา ๆ  ในภาวะตลาดหุ้นที่ “ธรรมดา ๆ”

    ดอกไม้บทเรียนข้อสองก็คือ  นักลงทุนสถาบันที่ได้ชื่อว่ามีความรู้และความสามารถในการลงทุนมากกว่าคนทั่วไป  รวมทั้งน่าจะเป็นคนที่น่าจะมีอารมณ์หรือ EQ ที่มั่นคงกว่านักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาเนื่องจากเป็นคนที่บริหารเงินที่ไม่ใช่เงินของตัวเองและไม่ต้องกลัวว่าจะขาดทุนเป็นส่วนตัวนั้น  เหตุการณ์ความผันผวนในสัปดาห์ที่แล้วอาจจะเป็นเครื่องฟ้องว่า  นักบริหารเงินมืออาชีพในฐานะที่เป็นกลุ่มนั้น  อาจจะไม่ได้เป็นนักลงทุนที่ดีกว่านักลงทุนสมัครเล่นหรือบุคคลธรรมดา  การซื้อขายหุ้นของนักลงทุนสถาบันดูเหมือนจะเป็นแนว  “ตาม ๆ  กันไป” ไม่ได้มีลักษณะที่เป็นอิสระหรือเป็นตัวของตัวเองอย่างที่  “มืออาชีพ”  ควรเป็น  และถ้าถามว่าในตลาดหุ้นไทยใครควรจะได้รับตำแหน่งว่าเป็น “Mr. Market” หรือ “นายตลาด”  ในความหมายของเบน เกรแฮม ที่เปรียบเหมือนเป็นคนที่อารมณ์ขึ้นลงแรงพร้อมซื้อหรือขายหุ้นตามอารมณ์แล้วละก็  ผมก็คิดว่านักลงทุนสถาบันก็น่าจะมีสิทธิได้รับเลือกคนหนึ่ง

    บทเรียนสุดท้ายสำหรับคนที่ได้กำไรจากความผันผวนรอบนี้ก็คือ  อย่าคิดว่าตนเองเก่งหรือมีความสามารถและ “กล้าหาญ” ในการลงทุน  มันอาจจะเป็นเรื่องของโชคที่ไม่สามารถนำไปใช้กับเหตุการณ์อื่น  ว่าที่จริงการทำกำไรได้อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราติดใจและติดนิสัยในการเก็งกำไรซึ่งไม่เป็นผลดีในระยะยาวก็ได้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่