ประเด็น เริ่มมาจาก สมาชิกบางท่าน ตัดต่อข้อความ บิดเบือนไปว่า มีปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ
แต่พอสอบถามหาหลักฐานจากพระสูตรขึ้นมาจริงๆ กลับไม่พบหลักฐานข้อความดังกล่าวเลย
v
v
》มีเหตุปัจจัย.....》ชาติ ชรา มรณะ-》ชาติ ชรา มรณะ...》...~~~》ได้มาเกิดเป็น"เรา" ในพระชาติที่มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.....
http://ppantip.com/topic/35651223/comment1
หลังจากนั้น มีสมาชิกอีกท่านหนึ่ง พยายามยก ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ การระลึกชาติ ขึ้นมาอ้างว่า
เป็น ปฏิจจสมุปบาท แบบมีสัตว์ บุคคล ฯลฯ เวียนเกิดเวียนตาย ข้ามภพข้ามชาติ
แต่ผมไม่เห็นด้วย นะครับ เพราะว่า ......
1 หาก ท่านคันโตนา จะดึงดัน จะยัดเยียดให้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นธรรมอย่างเดียวกันกับ ปฏิจจสมุปบาทให้ได้
ถ้าอย่างนั้น ฤาษีชีไพร อัญเดียรถีย์ ที่สามารถระลึกชาติได้ ก็คงเป็น อรหันต์ สำหรับท่านคันโตนา ได้หมดทุกคน นั่นแหละครับ
ทั้งนี้ ก็เพราะ ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวโดยอ้างพระพุทธเจ้าว่า
"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท"
ท่านคันโตนา ครับ
ท่านรู้ตัวไหมครับว่า เหตุผลของท่านน่ะ มันฟังไม่ขึ้น เอาเสียเลย
v
v
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ไว้ว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อ
ว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ดังนี้. ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ใด
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรมแล.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=6042&Z=6308
2 พระพุทธเจ้าตรัสชัดเจนครับว่า สิ่งที่พระองค์ ตรัสรู้ มีสองอย่างคือ
"ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ .....
2.1 ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็นธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
2.2 ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง
ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรมเป็นที่ดับ นิพพาน"
สรุปก็คือ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ปฏิจจสมุปบาท กับ นิพพาน ครับ
ทีนี้ ถ้าหาก ท่านคันโตนา บอกว่า ปฏิจจสมุปบาท ก็คือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ......
คำถาม ก็คือ พวกฤาษีชีไพร อัญเดียรถีย์ เขาก็ตรัสรู้ธรรมแบบเดียวกับพระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา เหรอครับ ?
ท่านคันโตนา นี่ก็พูดไปได้ ไม่อายปากบ้างเลยนะครับ นี่ท่านกำลังกดข่มพระศาสดา ให้ต่ำ และยกอัญเดียรถีย์ ให้สูงขึ้น อยู่นะครับ
ถ้ามัน "ย่ำแย่" จนถึงขนาด แยกแยะไม่ได้แล้วว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่ใช่ ปฏิจจสมุปบาท ก็พอเถิดครับ หยุดเหอะ
อย่าพยายาม ทู่ซี้ ดึงดัน ทำอะไร ที่มันอาจจะน่ารังเกียจ มากไปกว่านี้ เลยนะครับท่าน
จบไปเงียบๆ เถิดครับ
v
v
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
พรหมสังยุต
ปฐมวรรคที่ ๑
อายาจนสูตรที่ ๑
[๕๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ
แถบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เขตอุรุเวลาประเทศ ฯ
ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคผู้เสด็จ
เข้าที่ลับ ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก
รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต
ก็หมู่สัตว์นี้แล ยังยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย ก็
ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็นธรรมอาศัยกันและกัน
เกิดขึ้น อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย
จะพึงเห็นได้ยาก แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยาก คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรม
เป็นที่ดับ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม แต่ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรม
ของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความ
ลำบากของเรา ฯ
อนึ่ง ได้ยินว่า คาถาอันน่าอัศจรรย์ยิ่งนักเหล่านี้ ที่พระผู้มีพระภาค
ไม่เคยได้ทรงสดับมาแต่ก่อน เกิดแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคว่า
บัดนี้ เราไม่ควรจะประกาศธรรม ที่เราตรัสรู้แล้วโดยยาก
ธรรมนี้ เหล่าสัตว์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำแล้ว จะตรัสรู้
ไม่ได้ง่าย เหล่าสัตว์ผู้ยินดีแล้วด้วยความกำหนัด ถูกกองแห่ง
ความมืดหุ้มห่อแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันทวนกระแส ละเอียด
ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก เป็นอณู ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาเห็นดังนี้ พระหฤทัยก็ทรงน้อมไปเพื่อ
ความขวนขวายน้อย ไม่ทรงน้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=4405&Z=4482
3 ผมเห็นว่า การที่ท่านคันโตนา พยายาม "มั่วนิ่ม" ว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
คือ ปฏิจจสมุปบาท นี่แหละครับ ที่สมควรเรียกว่า "ข้างๆคูๆ"
กรุณา กล่าวอิงอรรถอิงธรรม ด้วยนะครับท่าน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปฏิจจสมุปบาทนี่แหละ คือ อริยสัจจ์สี่
ดังนั้น ถ้า ปฏิจจสมุปบาท คือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณจริง(ตามคำของท่านคันโตนา)
ก็แปลว่า พวกฤาษีชีไพร ที่ระลึกชาติได้ เขาก็ตรัสรู้ อริยสัจจ์สี่ ด้วยน่ะสิครับ
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ท่านคันโตนา จะมามั่วนิ่ม กับผม ไม่ได้นะครับ
ไวพจน์ ของ ปฏิจจสมุปบาท คืออะไร ?
ก็เช่น อิทัปปัจจยตา ปัจจยาการ หรือ อริยสัจจ์สี่
ผมไม่เคยพบหลักฐานจากพระสูตรพระวินัย เลยว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ปฏิจจสมุปบาท
ถ้าหากท่านคันโตนา มั่นใจว่า มี ....... กรุณายกพระสูตรขึ้นแสดง ด้วยครับ
อนุโมทนา ครับท่าน
v
v
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
๕. นครสูตร
[๒๕๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก่อนแต่กาลตรัสรู้ เมื่อเรายังเป็น
พระโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ เราได้มีความคิดอย่างนี้ว่า โลกนี้ถึงความลำบาก
หนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดทราบชัด
ซึ่งธรรมเป็นที่สลัดออกจากกองทุกข์ คือ ชราและมรณะนี้ได้เลย เมื่อไรหนอ
ธรรมเป็นที่สลัดออกไปจากกองทุกข์คือชราและมรณะนี้จึงจักปรากฏ ฯ
[๒๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอ
แลมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เพราะ
การใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติแลมีอยู่ ชราและ
มรณะจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า
เมื่ออะไรหนอ แลมีอยู่ ชาติจึงมี ... ภพจึงมี ... อุปาทานจึงมี ... ตัณหาจึงมี ...
เวทนาจึงมี ... ผัสสะจึงมี ... สฬายตนะจึงมี ... นามรูปจึงมี ... เพราะอะไรเป็น
ปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เรานั้นได้
มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อ
นามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เรานั้นได้มี
ความคิดดังนี้ว่า วิญญาณนี้แลได้กลับแล้วเพียงเท่านี้ ไม่ไปพ้นจากนามรูปได้เลย
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ โลกย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ กล่าวคือ เพราะ
นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะ
นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ฯลฯ
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลาย
ที่เราไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์เกิด ดังนี้ ฯ
[๒๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดดังนี้ เมื่ออะไรหนอแล
ไม่มีอยู่ ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ เพราะการ
ใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะ
จึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่อ
อะไรหนอแล ไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี ... ภพจึงไม่มี ... อุปาทานจึงไม่มี ... ตัณหา
จึงไม่มี ... เวทนาจึงไม่มี ... ผัสสะจึงไม่มี ... สฬายตนะจึงไม่มี ... นามรูปจึง
ไม่มี ... เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะการใส่ใจโดย
แยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า
เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มี
วิญญาณจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า
มรรคนี้เราได้บรรลุแล้วแล ด้วยปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ เพราะนามรูปดับ วิญญาณ
จึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี
ด้วยอาการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เรายังไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้
ทุกข์ดับ เหตุให้ทุกข์ดับ ดังนี้ ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=2780&Z=2854&pagebreak=0
การระลึกชาติ ไม่ใช่ ปฏิจจสมุปบาท นี่ครับ ?
แต่พอสอบถามหาหลักฐานจากพระสูตรขึ้นมาจริงๆ กลับไม่พบหลักฐานข้อความดังกล่าวเลย
v
v
》มีเหตุปัจจัย.....》ชาติ ชรา มรณะ-》ชาติ ชรา มรณะ...》...~~~》ได้มาเกิดเป็น"เรา" ในพระชาติที่มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.....
http://ppantip.com/topic/35651223/comment1
หลังจากนั้น มีสมาชิกอีกท่านหนึ่ง พยายามยก ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ การระลึกชาติ ขึ้นมาอ้างว่า
เป็น ปฏิจจสมุปบาท แบบมีสัตว์ บุคคล ฯลฯ เวียนเกิดเวียนตาย ข้ามภพข้ามชาติ
แต่ผมไม่เห็นด้วย นะครับ เพราะว่า ......
1 หาก ท่านคันโตนา จะดึงดัน จะยัดเยียดให้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นธรรมอย่างเดียวกันกับ ปฏิจจสมุปบาทให้ได้
ถ้าอย่างนั้น ฤาษีชีไพร อัญเดียรถีย์ ที่สามารถระลึกชาติได้ ก็คงเป็น อรหันต์ สำหรับท่านคันโตนา ได้หมดทุกคน นั่นแหละครับ
ทั้งนี้ ก็เพราะ ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวโดยอ้างพระพุทธเจ้าว่า
"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท"
ท่านคันโตนา ครับ
ท่านรู้ตัวไหมครับว่า เหตุผลของท่านน่ะ มันฟังไม่ขึ้น เอาเสียเลย
v
v
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ไว้ว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อ
ว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ดังนี้. ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ใด
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรมแล.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=6042&Z=6308
2 พระพุทธเจ้าตรัสชัดเจนครับว่า สิ่งที่พระองค์ ตรัสรู้ มีสองอย่างคือ
"ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ .....
2.1 ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็นธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
2.2 ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง
ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรมเป็นที่ดับ นิพพาน"
สรุปก็คือ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ปฏิจจสมุปบาท กับ นิพพาน ครับ
ทีนี้ ถ้าหาก ท่านคันโตนา บอกว่า ปฏิจจสมุปบาท ก็คือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ......
คำถาม ก็คือ พวกฤาษีชีไพร อัญเดียรถีย์ เขาก็ตรัสรู้ธรรมแบบเดียวกับพระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา เหรอครับ ?
ท่านคันโตนา นี่ก็พูดไปได้ ไม่อายปากบ้างเลยนะครับ นี่ท่านกำลังกดข่มพระศาสดา ให้ต่ำ และยกอัญเดียรถีย์ ให้สูงขึ้น อยู่นะครับ
ถ้ามัน "ย่ำแย่" จนถึงขนาด แยกแยะไม่ได้แล้วว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่ใช่ ปฏิจจสมุปบาท ก็พอเถิดครับ หยุดเหอะ
อย่าพยายาม ทู่ซี้ ดึงดัน ทำอะไร ที่มันอาจจะน่ารังเกียจ มากไปกว่านี้ เลยนะครับท่าน
จบไปเงียบๆ เถิดครับ
v
v
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
พรหมสังยุต
ปฐมวรรคที่ ๑
อายาจนสูตรที่ ๑
[๕๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ
แถบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เขตอุรุเวลาประเทศ ฯ
ครั้งนั้น ความปริวิตกแห่งพระหฤทัยบังเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคผู้เสด็จ
เข้าที่ลับ ทรงพักผ่อนอยู่อย่างนี้ว่า ธรรมที่เราตรัสรู้แล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก
รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต
ก็หมู่สัตว์นี้แล ยังยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย ก็
ฐานะนี้ คือ ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้นนี้ เป็นธรรมอาศัยกันและกัน
เกิดขึ้น อันหมู่สัตว์ผู้ยินดีด้วยอาลัย ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย
จะพึงเห็นได้ยาก แม้ฐานะนี้ ก็เห็นได้ยาก คือ ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอก ธรรม
เป็นที่ดับ นิพพาน ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม แต่ชนเหล่าอื่นจะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรม
ของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความ
ลำบากของเรา ฯ
อนึ่ง ได้ยินว่า คาถาอันน่าอัศจรรย์ยิ่งนักเหล่านี้ ที่พระผู้มีพระภาค
ไม่เคยได้ทรงสดับมาแต่ก่อน เกิดแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคว่า
บัดนี้ เราไม่ควรจะประกาศธรรม ที่เราตรัสรู้แล้วโดยยาก
ธรรมนี้ เหล่าสัตว์ผู้ถูกราคะโทสะครอบงำแล้ว จะตรัสรู้
ไม่ได้ง่าย เหล่าสัตว์ผู้ยินดีแล้วด้วยความกำหนัด ถูกกองแห่ง
ความมืดหุ้มห่อแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันทวนกระแส ละเอียด
ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก เป็นอณู ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาเห็นดังนี้ พระหฤทัยก็ทรงน้อมไปเพื่อ
ความขวนขวายน้อย ไม่ทรงน้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=4405&Z=4482
3 ผมเห็นว่า การที่ท่านคันโตนา พยายาม "มั่วนิ่ม" ว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
คือ ปฏิจจสมุปบาท นี่แหละครับ ที่สมควรเรียกว่า "ข้างๆคูๆ"
กรุณา กล่าวอิงอรรถอิงธรรม ด้วยนะครับท่าน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปฏิจจสมุปบาทนี่แหละ คือ อริยสัจจ์สี่
ดังนั้น ถ้า ปฏิจจสมุปบาท คือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณจริง(ตามคำของท่านคันโตนา)
ก็แปลว่า พวกฤาษีชีไพร ที่ระลึกชาติได้ เขาก็ตรัสรู้ อริยสัจจ์สี่ ด้วยน่ะสิครับ
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ท่านคันโตนา จะมามั่วนิ่ม กับผม ไม่ได้นะครับ
ไวพจน์ ของ ปฏิจจสมุปบาท คืออะไร ?
ก็เช่น อิทัปปัจจยตา ปัจจยาการ หรือ อริยสัจจ์สี่
ผมไม่เคยพบหลักฐานจากพระสูตรพระวินัย เลยว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ปฏิจจสมุปบาท
ถ้าหากท่านคันโตนา มั่นใจว่า มี ....... กรุณายกพระสูตรขึ้นแสดง ด้วยครับ
อนุโมทนา ครับท่าน
v
v
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
๕. นครสูตร
[๒๕๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก่อนแต่กาลตรัสรู้ เมื่อเรายังเป็น
พระโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ เราได้มีความคิดอย่างนี้ว่า โลกนี้ถึงความลำบาก
หนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดทราบชัด
ซึ่งธรรมเป็นที่สลัดออกจากกองทุกข์ คือ ชราและมรณะนี้ได้เลย เมื่อไรหนอ
ธรรมเป็นที่สลัดออกไปจากกองทุกข์คือชราและมรณะนี้จึงจักปรากฏ ฯ
[๒๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอ
แลมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เพราะ
การใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติแลมีอยู่ ชราและ
มรณะจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า
เมื่ออะไรหนอ แลมีอยู่ ชาติจึงมี ... ภพจึงมี ... อุปาทานจึงมี ... ตัณหาจึงมี ...
เวทนาจึงมี ... ผัสสะจึงมี ... สฬายตนะจึงมี ... นามรูปจึงมี ... เพราะอะไรเป็น
ปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เรานั้นได้
มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อ
นามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เรานั้นได้มี
ความคิดดังนี้ว่า วิญญาณนี้แลได้กลับแล้วเพียงเท่านี้ ไม่ไปพ้นจากนามรูปได้เลย
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ โลกย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ กล่าวคือ เพราะ
นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะ
นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ฯลฯ
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลาย
ที่เราไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์เกิด ดังนี้ ฯ
[๒๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดดังนี้ เมื่ออะไรหนอแล
ไม่มีอยู่ ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ เพราะการ
ใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะ
จึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่อ
อะไรหนอแล ไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี ... ภพจึงไม่มี ... อุปาทานจึงไม่มี ... ตัณหา
จึงไม่มี ... เวทนาจึงไม่มี ... ผัสสะจึงไม่มี ... สฬายตนะจึงไม่มี ... นามรูปจึง
ไม่มี ... เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะการใส่ใจโดย
แยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า
เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มี
วิญญาณจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า
มรรคนี้เราได้บรรลุแล้วแล ด้วยปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ เพราะนามรูปดับ วิญญาณ
จึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี
ด้วยอาการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เรายังไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้
ทุกข์ดับ เหตุให้ทุกข์ดับ ดังนี้ ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=2780&Z=2854&pagebreak=0