เรารู้ชัดแล้วว่าชาติสิ้นแล้ว บัดนี้จะไม่มีการเกิดอีก กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว เราพร้อมแล้วที่จะประกาศคำสอนของพระศาสดา

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

ขอนอบน้อมแด่พระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ขอนอบน้อมแด่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปที่มีมาในพระพุทธศาสนาทั้งในอดีตและปัจจุบันที่เก็บรักษา และถ่ายทอดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นอย่างดี ปฏิบัติดีตลอดมา ถึงแม้นในเวลาต่อๆมาภายหลัง จะตีความในอรรถในธรรมที่ลึกซึ้งที่สุด ที่เป็นปรมัตถธรรม และเป็นเรื่องโลกุตตระธรรม และเป็นหัวใจสำคัญสุดของพระพุทธศาสนาผิดไป

แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว เห็นแล้ว ได้ทำให้แจ้งแล้ว หลุดพ้นแล้ว และพร้อมแล้วที่จะประกาศคำสอนของพระบรมศาสดาเอกของโลกอีกครั้ง เพื่อยังประโยชน์เพื่อความบริสุทธิ์ของมวลมนุษย์ตามพระราชประสงค์ต่อไป

และที่สำคัญผมเคารพและนับถือพระอาจารย์ศึกฤทธิ์ ที่ได้ชี้ทางและนำคำสอนแท้ๆของพระศาสดามาเผยแผ่ แต่อาจารย์ก็ยังตีความในอรรถในธรรมของพระศาสดาผิดไปอยู่อีกมาก ผมเข้าไปบอกอาจารย์แล้ว 1 ครั้ง อาจารย์ก็ยังมีทิฏฐิมากเหลือเกิน และที่สำคัญสุดอาจารย์รู้ทั้งรู้ว่าวิญญาณไม่ใช่ของอาจารย์ แต่อาจารย์ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่กับวิญญาณ ถ้าอาจารย์ลองวางทิฏฐิมานะในตนลง และลองอ่านโฟสต์นี้ดู ว่าอาจารย์ยังไม่บรรลุอมตะธรรม และอาจารย์ไปแปลความหมายของสายปฏิจจสมุปบาทของพระศาสดาผิดไปจริงๆ แต่อาจารย์เดินมาเกือบถูกทางแล้ว แต่ในสายปฏิจจสมุปบาทนั้นต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดภพ เกิดชาติ เกิดตัณหา หรือเกิดอุปทานอะไรทั้งสิ้น มันเป็นแต่เพียงมีเหตุปัจจัยอาศัยกันและกันในการเกิดทุกข์เท่านั้น ทุกข์เท่านั้นที่เกิดในโลก โดยที่อาจารย์อธิบายทุกขสมุทัยซึ่งเป็นสายเกิด ปัจจัยในการเกิดให้เป็นสายดับทุกข์ไปด้วยรวมกันเป็นอันเดียวสายเดียว ก็จะทำให้เกิดอยู่เรื่อยๆไป ไม่สามารถดับสนิทของทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะเหตุปัจจัยในการเกิดยังมีอยู่ มีอวิชาอยู่ และเมื่ออาจารย์วางทิฏฐิวางตัณหาวางวิญญาณกลับคืนสู่โลก อาจารย์ก็จะบรรลุอรหัตผลในชาตินี้ อย่าไปรอเกิดในพรหมโลกเลย เพราะอายุมันยาวนานยิ่งนักกว่าจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน

ตามที่เป็นที่ถกถียงกันมาก ว่าอะไรกันแน่ที่เกิดขึ้นในสายปฏิจจสมุปบาท ระหว่าง  สัตตานังหรือวิญญาณ  แท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น  มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป เพราะพระพุทธเจ้าได้อธิบายกฎของธรรมชาติไว้อย่างละเอียดที่สุด นั้นคือ เหตุของความแก่ เหตุของความตาย เหตุของทุกข์ทั้งปวงล้วน รวมถึงเหตุของการเกิด  จึงรวมเป็น เหตุของการเกิดทุกข์  เพราะความเกิดนี้แหละเป็นทุกข์อย่างยิ่ง นั้นก็คือเหตุของการได้โลกใบนี้ขึ้นมา เพราะมีตัณหา และอุปทานในภพนี้ขึ้นมา ทุกข์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ดังนั้น ก็แล้วแต่ว่าใครจะมีอุปทาน  มีตัณหามากก็จะทุกข์มาก นี้แหละคือเหตุเกิดทุกข์  ไม่มีเหตุเกิดของเจ้าของทุกข์ ไม่มีคน สัตว์ สิ่งของในสายทั้งสิ้น ทุกสิ่งล้วนถูกปรุงแต่งขึ้น  
เราต้องเริ่มที่เกิดโลก หรือเกิดวิญญาณ หรือปฏิสนธิเกิดขึ้น จะเริ่มที่เกิดอวิชาไม่ได้ เพราะเราไม่รู้เบื้องต้น ไม่รู้ว่าเราไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน แต่อวิชามันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดวิญญาณ นั่นแหละคือเกิดปรากฏได้ครั้งเดียวเท่านั้น

เราต้องเข้าไปเห็นว่ามัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่ความจริงวิญญาณไม่ได้เกิด ดับ
(ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอัน เป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดย ความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ      พระสูตรนี้ พระพุทธองค์หมายถึงการยึดมั่นอุปทานในขันธ์ 5 พระพุทธองค์หมายถึงการยึดมั่นในรูปที่เป็นร่างกาย ยังดีกว่ายึดมั่นอุปทานในขันธ์5 (นามรูป) ที่พระองค์เรียกว่าจิต มโน หรือวิญญาณนั้นเอง)

เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย
เพราะมีสังขาร เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ
เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป
เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ
เพราะมีสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ
เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา
เพราะมีเวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา
เพราะมีตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน
เพราะมีอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ
เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ
เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน

คือทุกอย่างล้วนเกิดมาแต่เหตุ
และพระพุทธองค์ได้แสดงธรรมอันเป็นเหตุเกิดทั้งหมดไว้ครบถ้วน ถูกต้อง ดีแล้ว
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นในโลกนี้
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น
และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
ถ้าท่านบัญญติ อะไรลงไป ไม่ว่าจิต เจตสิก วิญญาณ สัตตานัง หรืออะไรก็ตาม ก็จะทำให้มีอัตตามีตัวตน แล้วก็จะติดอยู่ในโลก ออกจากโลกนี้ไม่ได้

แต่ที่เข้าใจผิดกันเป็นอย่างมาก และยาวนาน เพราะอรรถกถาในพระไตรปิฎก และเปรียญธรรมชั้นโทอธิบาย จึงทำให้ไม่มีใครบรรลุอมตะธรรมอันสูงสุดนี้ได้อีกเลย
การอธิบายปฏิจจสมุปบาท ชั้นโท
เพราะไปเข้าใจผิดในเรื่องที่สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา
เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย
เพราะมีสังขาร เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ (เกิดวิญญาณครั้งที่ 1)
เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป
เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ
เพราะมีสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ
เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา
เพราะมีเวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา
เพราะมีตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน
เพราะมีอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ(ปฏิสนธิวิญญาณครั้งที่ 2)
เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน
มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒
1.วรจรแห่งปฎิจจสมุทปบาทคาบเกี่ยวไปถึง 3 ช่วงชีวิต แบ่งเป็น 3 กาลเวลา ดังนี้  
1) อดีต      =  อวิชชา สังขาร                                        
2) ปัจจุบัน = วิญญาณ นามรูป  สฬายตนะ ผัสสะ     เวทนา  ตัณหา อุปาทาน ภพ                              
3) อนาคต    =  ชาติ ชรา มรณะ (โลกะ ปริเทวะ )
        2.เมื่อแยกออกเป็น 3 ช่วงเช่นนี้ ย่อมถือเอาช่วงกลาง คือ ชีวิตปัจจุบัน คือ ชาตินี้เป็นหลัก
1) อดีตเหตุ     =  อวิชชา สังขาร                                      
2) ปัจจุบันผล = วิญญาณ นามรูป  สฬายตนะ ผัสสะ  เวทนา                                                              
3)ปัจจุบันเหตุ =  ตัณหา อุปาทาน ภพ                            
4) อนาคตผล    =  ชาติ ชรา มรณะ (โลกะ ปริเทวะ )
ทำให้องค์ความรู้ทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มา
ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย  !!!
เพราะเหตุอยู่ชาตินึง  ผลอยู่อีกชาตินึง     ต้องสร้างเหตุชาตินี้ เพื่อไปเห็นผลในอนาคต
เพราะไปบัญญัติ อัตตา (อาตมัน)  คือ วิญญาณ      เข้าไปในสายปฏิจจสมุปบาท
ทำให้ธรรมทั้งหมดไม่เป็น                              
สันทิฏฐิโก คือ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
อกาลิโก   คือ  ให้ผลไม่จำกัดกาล
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ  คือ อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน                                                          
และธรรมทั้งหมดไม่เป็นโลกุตตระธรรม ว่าเฉพาะด้วยเรื่อง สุญญตา (ความว่าง)
      และใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย  !!!

เหตุเพราะไปตีความในอรรถในธรรมผิด เพราะนำ 2 ประเด็นนี้มารวมกัน
ประเด็นที่ 1 คือ
ญาณทัสสนะ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ ๔ นี้มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์.
    อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป.
    ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลีปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.

เพราะอันนี้เป็นญาณของพระพุทธเจ้า มันคือกระบวนการคิดของพระองค์ ญาณนี้ไม่มีในเรา นั้นคือ

ญาณรอบที่ 1:
สัจจญาณ-กำหนดรู้ความจริง
ทุกอย่างในโลกล้วนไม่เที่ยง เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  และดับไป (อนัตตา)
ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ความเกิดจึงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เหตุเกิดทุกข์  :  ไม่ว่า  แก่ เจ็บ ตาย ชรา มรณะ และกองทุกข์ทั้งปวงย่อมมีเหตุมาจากการ  เกิด (ชาติ)

เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ  โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสทั้งหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วน  

ดังนั้นเราต้องไม่เกิด

ญาณรอบที่ 2:
กิจญาณ-กำหนดรู้กิจที่ควรทำ
ทุกข์หรือการเกิด มาจาก  มีตัณหานั้นเป็นปัจจัย
กามตัณหา  คือ  ความปรารถนายินดี เพลิดเพลินในอารมณ์ทั้ง 5 ได้แก่  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส                  
ภวตัณหา คือ ความอยากมี ความอยากเป็น                                                
วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากมี ความไม่อยากเป็น
ถ้าไม่อยากเกิดอีก คือต้อง ดับตัณหา

เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ  
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ

ญาณรอบที่ 3:
กตญาณ-กำหนดรู้ว่า ได้ทำกิจเสร็จแล้ว  (ดับตัณหา)
เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว  จึงมีความดับแห่งสังขาร
เพราะมีความดับแห่งสังขารเป็นปัจจัย จึงมีความดับแห่งวิญญาณ
เพราะมีความดับแห่งวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีความดับแห่งนามรูป
เพราะมีความดับแห่งนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ
เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีความดับแห่งผัสสะ
เพราะมีความดับแห่งผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีความดับแห่งเวทนา
เพราะมีความดับแห่งเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีความดับแห่งตัณหา
เพราะมีความดับแห่งตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
เพราะมีความดับแห่งอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีความดับแห่งภพ
เพราะมีความดับแห่งภพเป็นปัจจัย จึงมีความดับแห่งชาติ
เพราะมีความดับแห่งชาติ นั่นแล ชรา มรณะ  โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส    อุปายาสทั้งหลายจึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้   ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้    
ความดับสนิทไม่เหลือ แห่งทุกข์ (ดับสนิทของโลก)  เพราไม่มีตัณหา  ไม่มีอุปทานในภพแล้ว จึงไม่มีการเกิดอีก ทั้งทุกข์ แก่  และตาย เหตุเพราะอวิชชาดับไป จึงไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีก เข้าสู่สภาวะนิพพานนั้นเอง
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ประเด็นที่ 2
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป
นามรูปจักบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ
             ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
             ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่จักขาดความสืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม
             ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
             เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูป
ก็คือวิญญาณนั่นเอง ฯ
             ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้-
             ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณจักไม่ได้อาศัยในนามรูปแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งชาติชรามรณะและกองทุกข์ พึงปรากฏ ต่อไปได้บ้างไหม ฯ
             ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
           เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งวิญญาณ
ก็คือนามรูปนั่นเอง ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้แหละ อานนท์ วิญญาณและนามรูปจึงยังเกิด แก่ ตาย จุติ หรืออุปบัติ ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติ ทางแห่งบัญญัติทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญาและวัฏฏสังสาร ย่อมเป็นไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ๆ ความเป็นอย่างนี้ ย่อมมีเพื่อบัญญัติ คือนามรูปกับวิญญาณ ฯ

ครั้งแรกสุด  คือ ( สเปิร์ม ปฏิสนธิกับ  ไข่ )
เกิดวิญญาณขึ้น นั้นหมายถึง  เกิดโลกนี้ขึ้น  และเกิดทุกข์ขึ้นแล้ว

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย  จึงเกิดวิญญาณ
ความเกิดขึ้นแห่งชาติชรามรณะและกองทุกข์ พึงปรากฏ

เมื่อเกิดขึ้นมาก็ทุกข์ทันทีเลย  เพราะมีเกิดปรากฏ คือวิญญาณ
ชาติปิ ทุกขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ทุกข์จากการเกิด
“ ขณะที่อยู่ในครรภ์มารดานั้น ทารกต้องประสบทุกข์อันเกิดจากสถานที่ที่อาศัย คือความคับแคบของมดลูก ทำให้ทารกต้องอยู่ในท่านั่งยองๆ หันหลังให้กับหน้าท้อง หันหน้าเข้าสู่กระดูกสันหลังของมารดา นั่งทับอาหารเก่า (ลำไส้ใหญ่) ไว้ และทูนอาหารใหม่ของมารดา (ลำไส้เล็ก) ไว้เบื้องบนศีรษะ สองมือกอดเข่าเสมือนหนึ่งวานรนั่งอยู่ในโพรงไม้ยามฝนตก ทั้งยังมีพังผืด คือถุงน้ำคร่ำและรกห่อหุ้มกายทำให้ไม่สามารถเหยียดแขนขาออกไปได้ เมื่อยแสนเมื่อยก็ขยับได้แต่เพียงเล็กน้อยพอให้แม่รู้สึกตัวว่าลูกดิ้น ซึ่งยังความดีใจให้กับมารดาโดยหารู้ไม่ว่า ขณะนั้นลูกรักกำลังเกิดทุกขเวทนาอย่างเหลือล้น และจะต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนั้นไปอีกตราบนานเท่านานที่ต้องอยู่ในครรภ์มารดาอันตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอสุภะนั้น ความร้อนอันเกิดจากเตโชธาตุของมารดาที่มีอยู่ตลอดเวลาเป็นประดุจไฟที่คอยเผาทารกน้อยให้ร้อนทุรนทุราย พิจารณาดูแล้วไม่ต่างไปจากก้อนเนื้อที่ถูกนึ่งอยู่ในหม้อ ต้องเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส จัดได้ว่าไม่ต่างไปจากขุมนรกที่มืดมนอนธกาลเท่าใดนัก….นี่คือ ทุกข์ที่ชีวิตพึงได้รับเป็นปฐมจากการที่ต้องอุบัติขึ้นในครรภ์มารดา ชาติทุกข์เช่นนี้มีชื่อว่า “ คัพโภกันติกมูลกทุกข์ “

เหตุแห่งการเกิดในครรภ์
             [๔๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการ ความเกิดแห่งทารกก็มี ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน แต่มารดายังไม่มีระดู และทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามีระดู แต่ทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกันด้วย มารดามีระดูด้วย ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการอย่างนี้ ความเกิดแห่งทารกจึงมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดาย่อมรักษาทารกนั้นด้วยท้องเก้าเดือนบ้าง สิบเดือนบ้าง เมื่อล่วงไปเก้าเดือน หรือสิบเดือนมารดาก็คลอดทารกผู้เป็นภาระหนักนั้น ด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก และเลี้ยงทารกผู้เป็นภาระหนักนั้นซึ่งเกิดแล้ว ด้วยโลหิตของตนด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก.

ปฏิจจสมุปบาทสายแรกสายเดียวที่มี  การเกิดครบ  แต่สายอื่นจะมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น แล้วอย่าอื่นเป็นเพียงเหตุปัจจัยที่อาศัยกันและกันในการเกิดทุกข์
ภิกษุ ท. ! ทารกนั้นเจริญวัยขึ้น มีอินทรีย์อันเจริญเต็มที่แล้ว เล่นของเล่นสำหรับเด็ก เช่นเล่นไถน้อยๆ เล่นหม้อข้าวหม้อแกง เล่นของเล่นชื่อโมกขจิกะ(ของเล่นชนิดหนึ่ง ตอนบนหมุนได้) เล่นกังหันลมน้อยๆ เล่นตวงของของด้วยเครื่องตวงที่ทำด้วยใบไม้ เล่นรถน้อยๆ เล่นธนูน้อยๆ.
ภิกษุ ท. ! ทารกนั้นครั้นเจริญวัยขึ้นแล้ว มีอินทรีย์อันเจริญเต็มที่แล้ว เป็นผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้า ให้เขาบำเรออยู่ ; ทางตา ด้วยรูป, ทางหู ด้วยเสียง, ทางจมูก ด้วยกลิ่น, ทางลิ้น ด้วยรส, และทางผิวกาย ด้วยการสัมผัสผิวกาย(โผฏฐัพพะ), ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งน่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ ที่ยวนตายวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใน และเป็นที่ตั้งแห่งความรัก.
ทารกนั้น ครั้นเห็นรูปด้วยจักษุ(ตา) เป็นต้น ที่ยั่วยวนให้เกิดความรัก, ย่อมขัดใจในรูปเป็นต้น ที่ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรัก ; ไม่เป็นผู้ตั้งไว้ซึ่งสติอันเป็นไปในกาย มีใจเป็นอกุศล ไม่รู้ตามที่เป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย

ครั้งที่ 2  จะเกิดขึ้นมาครบโดยสืบเนื่องมาจากสายแรก ที่เกิดวิญญาณขึ้นแล้ว

                              .เมื่อสิ่งนี้มี, สิ่งนี้ย่อมมี;
                 เพราะความเกิดขึ้นของสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย
เพราะมีสังขาร เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ
เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป                                                    
เพราะนามรูป เป็นปัจจัย  จึงเกิดวิญญาณ(เกิดวิญญาณ)
เพราะมี(เกิด)นามรูป เป็นปัจจัย จึงมี(เกิด) สฬายตนะ
เพราะมี(เกิด)สฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี(เกิด) ผัสสะ
เพราะมี(เกิด)ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี(เกิด) เวทนา
เพราะมี(เกิด)เวทนา เป็นปัจจัย จึงมี(เกิด) ตัณหา
เพราะมี(เกิด)ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมี(เกิด) อุปาทาน(เกิดอุปทานในภพ)
เพราะมี(เกิด)อุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี(เกิด) ภพ
เพราะมี(เกิด)ภพ เป็นปัจจัย จึงมี (เกิด)ชาติ
เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน

นี้แหละคือสิ่งที่ถูกต้อง
แต่เมื่อเข้าใจผิดเอาประเด็น 1 และ 2 มารวมกันจึงทำให้ได้สายปฏิจจสมุทบาท 3 ภพ 3 ชาติทำให้ทุกอย่างผิดหมด และเมื่อสายแรกเกิดไปแล้วเราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ดังนั้น เราทำได้เพียงอย่างเดียวคือ การดับตัณหา  และดับอุปทานในภพนี้  ก็จะดับสนิทของทุกข์ทั้งหมดได้ในชาตินี้ คือเข้าสู่สภาวะนิพพานในชาตินี้ และดับโลกทั้งใบได้ และนี้แหละการดับทุกข์  โดยทางออกจากโลกมีทางเดียวเท่านั้นที่จะออกจากโลกได้คือ อริยมรรคมีองค์ 8 เท่านั้น โดยการแทงตลอดอย่างดีด้วยยทิฏฐิในอริยสัจ 4 ท่านทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส และดับตัณหาเถิด โดยอย่างไปเพลินกับอายตนะทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  โดยให้อยู่สายกลางไว้อย่าเข้าไปหาส่วนสุดของทั้งสองคือ มีตัวตน หรือว่าไม่มีตัวตนตายแล้วขาดสูญ ให้เดินให้ตรงสายกลางเข้าไว้ คือทุกอย่างล้วนเกิดมาแต่เหตุ และพระพุทธองค์ได้แสดงธรรมอันเป็นเหตุเกิดทั้งหมดไว้ครบถ้วน ถูกต้อง ดีแล้ว

แต่ถ้าท่านทั้งหลายยังต้องการความสุขในโลกอยู่ การดับทุกข์ไม่จำเป็นต้องใช้อริยสัจ 4 หรอก เพียงท่านใช้หลักธรรมไหนก็ได้ ของใครก็ได้  ศาสนาไหนก็ได้ ท่านคิดขึ้นมาเองยังได้เลย ไม่จำเป็นต้องเป็นธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาที่สั่งสมบารมีมาเกินกว่าจะประมาณ เพื่อที่จะตรัสรู้มาหรอกมันเสียของ  แต่เมื่อไรท่านทั้งหลายต้องการความเป็นอมตะตลอดกาล ต้องการอมตะธรรม ต้องการพ้นจากการความแก่ เจ็บ ตาย และการเกิดอีก มีเพียงแค่หลักธรรมนี้ทางเดียวเท่านั้น ไม่ว่าพระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคตกาล ก็เป็นองค์ความรู้เดียวกันทั้งสิ้น

เมื่อท่านทั้งหลายสงสัยอะไรของให้ถามมาเถิด เพราะไม่ว่าท่านจะถามอรยิสาวกรูปไหนในพุทธกาลก็มีองค์ความรู้ลึกสุดเพียงเท่านี้แหละ ไม่หยั่งลึกไปกว่านี้แล้ว อยู่ที่ว่าพระอรหันตสาวกจะอธิบายให้ท่านรู้ ท่านเห็นอย่างไร และเราของยืนยันเช่นเดียวกับพระศาสดา ว่าทุกอย่างทำได้จริง ไม่เกินวิสัยของมนุษย์ และอมตะธรรมมีอยู่ในทุกคน และเราได้รู้แล้ว เห็นแล้ว แต่ก่อนท่านทั้งหลายจะถามอะไรขอให้วางทิฏฐิมานะในตนให้หมดก่อนที่เคยเชื่อมาว่า 2+2=5 หรือ 2+2=6  เพราะเราได้รู้จริง เห็นจริง แล้วว่าแท้ที่จริง 2+2=4  แล้วเราพร้อมชี้ทางวิธีคิดที่ถูกต้องตามพระศาสดาว่า  2+2=4  โดยเราไม่ต้องการจะมาถกถียง หรือไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น  แต่เราพร้อมตอบทุกข้อสงสัย และเพียงเพื่อต้องการจะประกาศคำสอนของพระศาสดาเท่านั้น

และไม่มีเรื่องไหนต้องรู้อีกแล้วในโลกนี้ องค์ความรู้เพียงเท่านี้แหละเพียงพอแล้วที่จะพาท่านทั้งหลายออกจากโลก และอนันตจักรวาลไปได้ และเป็นอมตะ ตลอดกาล อยู่เหนือเทวโลก พรหมโลก สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน และเปรตวิสัยตลอดกาล
เกมส์นี้มีเวลาให้เราเล่นไม่เกิน 100 ปี ซึ่งเราต้องชนะให้ได้ อย่าให้เกมส์นี้กิเลสตัณหาชนะอีก ชาตินี้ต้องเป็นชาติสุดท้ายให้ได้ ถ้าเราชนะได้คือเข้าสู่สภาวะนิพพาน ได้เร็วเท่าไร เกมส์ก็จะจบเร็วเท่านั้น Game over ทันที เพราะเราเล่นมาแล้วไม่รู้กี่ชาติแล้ว และชาตินี้แหละเป็นฐานะที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ที่ท่านทั้งหลายจะบรรลุธรรม เพราะอายุสั้น และได้รับรู้สึกทุกอารมณ์ และเป็นภพที่ประพฤติพรหมจรรย์ได้ดีที่สุดแล้ว และที่สำคัญท่านได้รู้จักพระพุทธศาสนาแล้ว และสำคัญที่สุดกัปนี้เป็นภัทรกัป ที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นมากที่สุดแล้วถึง 5 พระองค์ จะไม่มีสภาวะไหนจะเหมาะสมไปมากกว่านี้แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายจงวางทุกอย่างกลับคืนสู่โลกไปเถิด แล้วเราจะเป็นคนเหนือโลก เหนือการควบคุมของโลกธาตุทั้งหมด ของธรรมชาติทั้งหมด ออกจากวัฏฏสงสารสักที
ขอให้ทุกท่านเริ่มเล่นเกมส์นี้ได้เลย
เพราะท่านได้รู้กลไกการทำงานทั้งหมดแล้ว อย่างเดียวที่ต้องทำคือ ดับตัณหา กิเลส และดับอุปทานในภพ โดยเดินสายกลาง อย่าเข้าหาส่วนสุดของสองฝั่ง คือมีตัวตน หรือไม่มีตัวตน โดยเดินให้ตรงตามมรรคมีองค์ 8 ไว้และอย่าไปเชื่อสิ่งศักดิ์ใดๆทั้งสิ้น เพราะไม่มีใครสามารถดลบันบาลอะไรได้ ทุกอย่างล้วนเกิดมาแต่เหตุ และท่านก็ได้รู้ธรรมอันเกิดแต่มาเหตุที่แทงตลอดอย่าดีด้วยทิฏฐิแล้ว ฉะนั้นท่านทั้งหลายอย่าเพลิน พอใจกับทุกอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ อีกเลย เพราะนั่นหาใช่ของท่านไม่ แล้วท่านจะเป็นผู้ชนะเกมส์นี้
และเมื่อท่านคิดว่าท่านแน่ๆแหละ ฝึกจิตมาเป็นอย่างดีแล้ว มาถึงด่านสุดท้ายแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายจงวางทุกอย่างกลับคืนสู่โลกไปแล้วโกนเกล้าเข้าบวชแล้วถือเอาแต่ บาตร จีวร เสนาสนะ และยารักษาโรค เท่านั้นพอ เพราะจะเป็นสิ่งเดียวที่จะพาท่านออกนอกโลกได้ ไม่ต้องสร้างยานอวกาศเหมือนNASAหรอก แล้วจงปรารภความเพียรเผากิเลสให้ยิ่งกว่าประมาณเพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ แล้วท่านจะเข้าสู่วิมุตติหรือหลุดพ้นออกจากโลกก่อนนาซ่าอย่างแน่นอน โดยไปขอยืมญาณของพระพุทธเจ้ามาขับเข้าสู่วิมุติ นั่นคือ วิมุติญาณทัศนะ เพราะญาณทัศนะไม่ได้มีในเรา ก็คือนำองค์ความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มาใคร่ครวญอยู่ตลอด เพราะตอนพระองค์เข้าปรินิพพานพระองค์ได้จอดญาณนี้ไว้กลับคืนสู่โลกแล้ว

ตลอดชีวิตท่านไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องอื่นอีกแล้ว รู้เรื่องนี้เรื่องเดียวพอแล้วตลอด100ปี รู้เรื่องเดียวก็ถือว่าคุ้มสุดคุ้มแล้วที่เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ แต่ถ้ารู้แล้วไม่ทำ ถือว่ายังไม่รู้ แต่ถ้าท่านเกิดมาชาตินี้แต่ไม่ได้รู้อริยสัจ4 แม้จะเป็นมหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่ต่างจากมดตัวหนึ่งที่เกิดมาแล้วก็ตายไป ไม่ต่างอะไรกันเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่