พิษสวาท (กึ่งวิพากษ์) : วาทะปรัชญาว่าด้วย "ความรัก" สักวันเราจะข้ามเวลามาพบกัน

รัศมีเรืองรองผ่องใสล้อมกรอบดวงหน้ารวมทั้งร่างกายของเธอผู้นั้น
บัดนี้ไฟรัก ไฟแค้น ที่สุมอยู่ในทรวงได้สิ้นสุดลง เธออยู่ในภาวะอันเป็นทิพย์
ภาวะที่ไม่รู้จักตาย .... ในที่สุดเขาก็ได้รับรู้รสชาตินั้น
ความรวดร้าวด่าวดิ้น .... เมื่อ "รัก" ยังอยู่ แต่ก็มิอาจแตะต้อง



ตลอดมาอัคนีรู้สึกถึงความผูกพัน และ การอยากทำอะไรเพื่อผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า เธอผู้มีใบหน้าเย็นชา น้ำเสียงทรงอำนาจและกร้าวกระด้าง หากอะไรบางอย่างบอกเขาว่ามี "สิ่ง" ที่ทำให้เธอต้องเป็นอย่างนั้น หากเขานึกไม่ถึงว่า "สิ่ง" ที่ว่านั้นก็คือ "ตัวเขาเอง" ในความฝันแม้นมันจะลงเอยด้วยความทุกข์ทนและน้ำตาของผู้หญิงที่ใบหน้าเหมือนเธอคนนั้นราวกับแกะ ก็ไม่ใช่เพียงเธอเท่านั้น ... ยามเขาตื่นจากฝันความขมขื่นก็ยังติดอยู่ตรงปลายลิ้น ไม่อาจบอกได้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร แต่ไม่ใช่ความรู้สึกอย่างเดียวที่เขารู้สึกต่อคู่หมั้นเช่นทิพอาภา มันดื่มด่ำลึกซึ้งเข้มข้นกว่าที่จะเอ่ยเอื้อนถึงความหมาย หากอัคนีก็คืออัคนี คือคนที่อยู่ในปัจจุบันที่เหลือเพียงเสี้ยวละอองวิญญาณแห่งอดีตไว้ราวหมอกควันที่เจือจางและเลือนลาง


จนเธอผู้นั้นได้ปลุกอดีตให้ตื่นจากหลับไหล
และนำมันมาบรรจบอยู่กับปัจจุบัน


ในวันพิพากษา .... เขาเพิ่งได้รู้และได้เข้าใจ เธอผู้นั้นเจ็บปวดอย่างไร เสียงคร่ำครวญสะอื้นไห้ราวกับใกล้จะหมดแรง ทำให้เขาทรุดตัวลงกอดเธอไว้ หากวันนั้นเขาจะบอกเธอสักคำ หากวันก่อนเขาจะทำอย่างที่เขาเธอทำอย่างนี้ แสดง "ความรัก" อย่างที่เธอผู้นั้นสมควรจะได้รับ ในฐานะแม่เรือน ในฐานะเมีย ในฐานะคนที่เป็นที่รัก ทุกอย่างคงไม่เป็นเช่นนี้ เธอคงไม่ต้องวางเดิมพันในความเป็นอิสระ เธอคงไม่ต้องเกลือกกลั้ววิญญาณอยู่ท่ามกลางคาวเลือดและไฟแค้น โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากจะบรรเทาความแสบร้อนนั้นด้วยถ้อยคำว่า "ผู้ชายคนนั้นรักคุณ" ถ้อยคำซ้ำไปมาเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง

คำว่ารักที่มาช้าไป 249 ปี
เวลาที่ไม่อาจหวนคืน
ความทุกข์ที่ไม่ได้รับการชดใช้


แต่แล้วในความ "รัก" เธอก็ตัดบ่วงกรรมทั้งหลายไปได้ แม้นจะถูกสิ่งที่เรียกว่ารักบทขยี้ เธอก็ตระหนักรู้ว่าใน "ความรัก" นั้น หากจะหวังเพียงความสุขสำราญ เมื่อพานพบกับความผิดหวังมิได้ดังใจเช่นตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอามีดจ้วงกรีดใจตัวเอง และ หากเธอหลีกหนีจากความทุกข์นั้น เธอก็คงก้าวสู่ดินแดนอันไร้ฤดูกาล จะหัวเราะก็ไม่เต็มที่ จะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่ มันคือการ "ไร้ใจ" และ เมื่อ "ไร้ใจ" ก็ไร้ชีวิต ณ เวลานี้กับว่าเขา และ "ความรัก" ช้าเกินกาลของเขาคือบททดสอบที่ทำให้เธอล่วงพ้นไปยังอีกภพ มีใจยินดีเมื่อเขายินดี มีความทุกข์เมื่อเขานั้นทุกข์ มีใจรักเมื่อเขานั้นรัก เธอเดินทางไปสู่ภพที่เขาเอื้อมไม่ถึง ภพที่เธอสามารถปล่อยวางและหลุดพ้น น้อมรับในทุกสิ่งที่เกิดด้วยใจสว่าง

จากคนที่วิ่งหนีในชั้นแรกวันนี้กลายเป็นเขาที่วิ่งตาม
"รัก" ที่ยังอยู่ หากเอื้อมไม่ถึงอีกต่อไป
แล้วทำอย่างไรเล่าจึงจะตามเธอทัน


ความหมายมาดแรกของอัคนี .... แม้กรรมผูกพันจะสิ้นสุดกันไป แต่เขาก็ยังยึดคำพูดเธอเป็นดังฟางเส้นสุดท้าย เขาเองนี่แหละจะผูกพันเธอไว้กับตัว ครั้งแรกที่เข้าสู่เพศบรรชิตก็คงตั้งใจไว้อย่างนั้นสะสมบุญเพื่อตามเธอไป หากจิตใจที่ด่าวดิ้นเมื่อถูกขัดเขลาใต้ร่มกาสาวพัสตร์ทำให้เขาได้ตระหนักเช่นกัน เธอผู้นั้นไปสว่างแล้ว เขาผู้นี้จะยึดมั่นถือมั่นและมองดูเขาเป็นทุกข์เพราะเธอด้วยทำไม เธอหยุดแล้ว เขาเองก็ควร "หยุด" และ จบมันลงไปเช่นกัน เขาก็ควรเป็นเช่นเธอ .... ใจที่ยินดีกับสรรพสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยใจสว่าง

กรรมใดที่ผูกพันตัดรอนกันมาก็ขอให้จบสิ้นลงไปในชาตินี้



ชาติหน้าชาติที่แล้วเป็นอจินไตยไม่ควรค้นหา
แต่เมื่อ "ไปสว่าง" ทุกอย่างเข้าสู่จุดเริ่มต้น
อาจจะเป็นวันนั้นวันไหน 10 ปี  100 ปี
ที่อาจจะเดินทางสวนกันภายใต้วัฏฏะสังสาร


หาก "ศีล" และ วัตรปฏิบัติที่เสมอกัน
อาจนำพาเรามาเจอกันก็ได้ เจอกันแบบที่เริ่มต้นใหม่
ไม่มีสิ่งใดคั่งค้างหรือติดพัน
แล้ววันนั้นอาจจะเป็นวันที่ "ความรัก" ได้แทงยอดอ่อนอีกครั้ง
ใต้เงาแห่งกาลเวลาที่ไม่สนอดีตที่ผ่านเลย



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


ป.ล. น่าจะมีวาทะ ฯ พิษสวาทเป็นซีรีส์ ... ตอนต่อไปถึง อัคนีแอนด์เดอะแกงค์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่