เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์ คือนิพพานหรือจิตใจที่ทำอะไรโดยไม่มีตัวกู ของกู นั่นเอง

กระทู้สนทนา
มองในตัวคน  ว่าคน คน หนึ่งนี้  มันมีอะไร
สภาวะธรรมในชีวิตประจำวันนี้คืออะไร
คือการปรุงแต่งทางจิตใจที่มีอยู่เรื่อย.  

ท่านทั้งหลายพึงเข้าใจคำว่าร่างกาย  จิตใจ
การกระทบทางตา ทางหู ทางจมูก
ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ  เป็นประจำวัน
แล้วมันปรุงเป็นความรู้สึกในทางจิตใจอยู่เรื่อย
รู้จักตัวธรรมชาติประจำวันในคนอย่างนี้ก่อน.  

ทีนี้มันก็เป็นไปตามกฎที่ว่าถ้าปรุงอย่างนี้
(คือผิดทาง) มันจะเกิดความรู้สึกเห็นแก่ตัว;
ถ้าปรุงอย่างนี้ (คือถูกทาง) มันจะไม่เกิดความรู้สึกที่เห็นแก่ตัว
แต่เห็นแก่ธรรม;  

นั่นแหละคือตัวกฎธรรมชาติที่มีอยู่อย่างแน่นอนในคนเราว่า
ถ้าคิดอย่างนี้  มันจะเกิดตัวกู–ของกู
ถ้าคิดอีกทางหนึ่ง  มันจะไม่เกิดตัวกู–ของกู.  

ตัวกู–ของกู  นี้หมายถึงกิเลสเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว
และเป็นต้นตอของความทุกข์ทั้งหมดในสังคม
หรือในตัวคนทุกคนก็ตาม.  

นี้ถ้าว่าความคิดมันปรุงแต่งจิตไปในทางผิดเกิดเป็นกิเลส
เกิดเป็นตัวกู–ของกู  มันก็มีการปฏิบัติที่ไปตามแบบของตัวกู–ของกู
อย่างดี  ก็เรียกว่าปฏิบัติอย่างบุญ
อย่างเลว  ก็เรียกว่าปฏิบัติอย่างบาป
มันก็ได้สุข  ได้ทุกข์.  

ทีนี้  ถ้าว่าเมื่อปรุงแต่งแล้ว  มันไม่เกิดตัวกู–ของกู
มันเกิดสติปัญญาแทน
อย่างนี้มันก็เป็นไปในทางธรรมะ
ในทางศาสนาคือเหนือบาป  เหนือบุญขึ้นมา
แล้วผลของมันก็คือมีจิตใจอยู่เหนือสุข–เหนือทุกข์.

นี่  พอจะวัดตัวเองได้ทุกคนว่า  เรานี้
มันยังอยู่ในระดับที่ว่าจะต้องบุญบาป  สุขทุกข์  เสมอไป
ไม่เคยเหนือบุญเหนือบาป  เหนือสุขเหนือทุกข์;  

แต่ทั้งนี้มิใช่หมายความว่ามันไม่มี  หากแต่ว่าเรายังไม่รู้จัก  ยังไม่ถึง
ฉะนั้น  ขอให้สังเกตความรู้สึกคิดนึกประจำวัน
ความรู้สึกคิดนึกที่เกิดขึ้น
เพราะตาเห็นรูป  เพราะหูได้ยินเสียง
เพราะจมูกได้กลิ่น ฯลฯ อะไรนี้

ฉะนั้นคน  ที่ไม่รู้อะไร  จะต้องเกิดสิ่งที่เรียกว่าตัวกู–ของกู
แล้วเห็นแก่ตัว  อยากทำดีก็ทำดี
อยากทำชั่วก็ทำชั่ว
แล้วผลของมันก็คือสุขและทุกข์.  

ทีนี้ถ้าเป็นคนที่ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระอริยเจ้า
คือรู้พุทธศาสนาอย่างนี้
รู้จักวิธีควบคุมความคิดอย่างนี้แล้ว
ก็ควบคุมความคิดไม่ให้เกิดตัวกู–ของกู
แต่เกิดสติปัญญาแทนขึ้นมาทุกครั้ง

เมื่อตาเห็นรูป  หูฟังเสียงก็ตาม  มันทำให้เกิดความฉลาด
รู้ว่าอันนี้ไปหลงมันไม่ได้;   เมื่อไม่เกิดตัวกู–ของกู  
ไม่หลงมันแล้ว  การปฏิบัติหรือการกระทำ
ก็กระทำไปในทางที่ไม่หลง  ไม่เป็นทาสของกิเลส.
การปฏิบัติอย่างนี้เขาเรียกว่า “อริยมรรค”
มันยิ่งไปกว่าบุญและบาป  คือเหนือกว่าบุญหรือบาป
ฉะนั้นผลของมันจึงเป็นนิพพาน
เป็นไปในทางนิพพานที่ถูกต้อง  คือเหนือสุขเหนือทุกข์;

ความสงบที่แท้จริงต้องอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์.
การที่ต้องดื่มสุขอยู่เสมอ  ท่านลองคิดดูเถอะ
หรือการที่ต้องเสวยทุกข์  ก็ลองคิดดูเถอะ
มันไม่ไหวทั้งนั้น  มันเป็นความเหน็ดเหนื่อยทั้งนั้น
ไม่ใช่ความพักผ่อน.  

นี้ก็เป็นแง่ที่สำคัญที่สุด  ที่มนุษย์จะต้องรู้จัก
เพราะว่าเดี๋ยวนี้มนุษย์ได้หลง
ในความเอร็ดอร่อยของความสุขทางฝ่ายวัตถุ
บูชาสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น
นี่เป็นเหตุให้เกิดลัทธิต่าง ๆ ที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นมา

เพราะว่าพวกนายทุนก็บูชาวัตถุ
พวกชนกรรมาชีพก็บูชาวัตถุ
แล้วมันก็ยื้อแย่งกัน  รบกัน
ปัญหาของโลกจึงแก้ไม่ได้
เพราะทุกคนบูชาวัตถุ
ทั้งพวกนายทุน  และชนกรรมาชีพ.

เพราะว่าคน  มักเป็นไปอย่างธรรมดาสามัญ
เมื่อมีการกระทบทางตา  ทางหูแล้ว
ก็ปรุงแต่งเป็นตัวกู–ของกู
แล้วก็ทำไปตามความต้องการของกิเลสตัณหา
แล้วก็ได้ความเดือดร้อน  ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม

ถ้ามันเกิดเลี้ยววกไปในทางไม่เกิดตัวกู–ของกู
แต่เกิดสติปัญญา  กำจัดความเห็นแก่ตัวเสียได้
การกระทำนั้น  ก็เป็นไปในทางที่จะ
อยู่เหนือบุญเหนือบาป  เหนือสุขเหนือทุกข์.

พุทธทาสภิกขุ
ตุลาการิกธรรม พ.ศ. ๒๕๑๒
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่