สวัสดีผู้ที่หลงเข้ามาอ่านรีวิวการเดินทางของเรา อาจจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะเขียนอะไรยาวๆทีไร วนไปวนมาทุกที รีวิวนี่เขียนจากความรู้สึกละกันเนาะ
ด้วยความที่เป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไป แต่ใจรักการเดินทางเวอร์ๆ สองวันก็ไปได้ ไม่ใช่ปัญหา ตอนแรกก็มีหลายที่ที่อยากไป แต่บังเอิญได้ไปอ่านรีวิว
http://ppantip.com/topic/31935354 ก็เลยตกลงปลงใจไปตามเค้าเลย ง่ายจังวุ้ย ทริปนี้ไปกัน 3 สาว ก็มีเรา เฟอร์บี้และหน้ามน อันนี้เป็นฉายาที่เพื่อนๆตั้งกันในกลุ่ม แต่ช่างมันเถอะไม่ใช่ประเด็นหลัก เริ่มกันเลยดีกว่า
ก่อนจะไปแต่ละคนก็หารีวิวจากอินเตอร์เน็ต อ่านกันพร้อม ประหนึ่งเป็นการบิ้วอารมณ์ การเดินทางก็ง่ายๆไม่ยุ่งยาก เราทั้งสามมีความว้อนท์ในรถไฟ วัยรุ่นก็จัดไป รถไฟฟรีสายธนบุรี-น้ำตก
โปรแกรมของเราเริ่มเดินทางตอนตี 5 วันที่ 22 สิงหาคม 59 เพราะว่าหอเราอยู่ไกลจากสถานีรถไฟมาก แถวๆบางนา ด้วยความที่ประหยัดงบในการเดินทางเราจะขึ้นรถเมล์กันไป และข้ามเรือที่ท่าช้างไปที่สถานีธนบุรี เราวางแผนกันไปว่างั้น แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ มันต้องมีอะไรซับซ้อนมากกว่านั้น มันถึงจะน่าตื่นเต้น
จากการสอบถามเพื่อนร่วมงานว่าจะไปท่าช้างต้องขึ้นรถเมล์สาย 25 คันสีแดงที่แยกบางนา แต่ด้วยความเอ๋อหรือมึนหรืออะไรก็แล้วแต่ พอถึงแยกบางนาไม่ลงจ้า ไปลงตรง BTSอุดมสุข และก็ด้วยความไม่รู้ว่ารถเมล์สาย 25 คันสีแดงมันไม่ผ่านตรงนั้น ก็ยืนรอต่อไปจนฟ้าเริ่มจะแจ้ง รถก็อาจจะติดก็เป็นได้ เลยมีการเปลี่ยนเส้นทางกันกะทันหันเล็กน้อย
เราก็เลยพาเพื่อนขึ้นรถเมล์สาย 139 ราคา 18บาท ไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยฯและต่อสาย 108 ฝั่งราชวิถี ตอนนั้นเหลือบดูนาฬิกา 6โมงครึ่งวุ้ย! คิดว่าไปรอรถไฟนานแน่เลย เพราะค่าตั๋วไปแยกบางขุนนนท์แค่ 13 บาท แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดค่ะพี่น้อง เราหนีจากรถติดมาเพื่อเจอรถติดค่ะงานนี้ รถติดอยู่แถวๆสวนดุสิตประมาณครึ่งชั่วโมง น้องอยากจิร้องไห้ แต่เอาเถอะ! ผลสุดท้ายเราก็สถานีรถไฟก่อนเวลาประมาณ 15 นาที คนแถวนั้นบอกว่าให้ไปรอที่สถานีย่อยก็ได้ น่าจะเรียกว่าสถานีจรัลสนิทวงศ์นะ ถ้าจำไม่ผิด รอไปสักพักรถไฟที่รักก็มาเวลา 8 โมงเช้าเป๊ะ! ปู๊น ปู๊นนนนน
เราเลือกนั่งกันตู้สุดท้าย เพราะเบาะนิ่มเหมาะแก่การนั่งนานๆ คนน้อยมาก แอบดีใจเล็กๆ ตอนแรกเราสามคนก็นั่งด้วยกันนะ สักพักแยกกันคนละมุมเข้าสู่โหมดโลกส่วนตัวแบบประหยัดพลังงานสุดๆ ไม่ค่อยมีการคุยกันระหว่างทางเท่าไหร่ ส่วนใหญ่สองคนนั้นจะหลับ แต่เราเป็นพวกชอบมองวิวข้างทางและฟังเพลงโปรดไปด้วย มันสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเข้ากาญจนบุรียิ่งเห็นธรรมชาติ ยิ่งเห็นอะไรเขียวๆแล้วมันโคตรสบายตา
ของกินบนรถไฟก็มีแม่ค้าเดินไปมาไม่ขาด เราเลยอุดหนุนขนมต้มคุณป้า กล่องละ 10 บาท ถูกมาก ข้างในมีขนมต้ม 4 ลูก แป้งนิ่มอุ่นๆคลุกมะพร้าวทึนทึก ไส้ข้างในเป็นมะพร้าวเคี่ยวน้ำตาลไม่หวานมากกำลังดี สรุปแล้วคืออร่อยนั่นแหละ อธิบายยาวทำไม >< แค่ขนมต้ม 4 ลูกมันยังไม่อิ่มไง เลยจัดแซนวิชจากเซเว่นไปอีกหนึ่งอัน คราวนี้ล่ะ หลับสบายเลย แง้ T^T เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีถึงสถานีกาญจนบุรีแล้วจ้า
ชมวิวสะพานข้ามแม่น้ำแควกันสักนิด
และแล้วการนั่งรถไฟอันแสนยาวนานของเราก็ถึงสถานีน้ำตก รวมๆแล้วก็ประมาณ 6 ชั่วโมง ชิลๆ เรายังมีต่ออีกวุ้ย! ลงมาก็มองหารถสองแถวที่เค้าว่าตามรีวิว 20 บาท พี่เขาจอดแล้วชี้ให้ไปยืนรอตรงต้นหูกวาง รออะไรล่ะคะ วิ่งข้ามถนนไป แวะเซเว่นก่อน หาของกิน มีความหิวระดับสิบ จะกินข้าวแม่ค้าแถวนั้นก็บอกไม่น่าจะทันรถ เพราะรถใกล้จะมาแล้ว โอเค๊!! ไม่กินก็ได้ มาเที่ยวนี่ต้องสตรองขนาดไหน ถามใจดู ><
รอสักแปปรถเมล์ก็มาจริงๆ เป็นรถพัดลมราคาตั๋ว 130 บาท นั่งยาวไปจนสุดสาย อากาศก็ไม่ได้ร้อนมากอย่างที่คิด มีแดดก็จริงแต่ก็ไม่แรงเท่าแดดกรุงเทพ นั่งมองวิวไปเพลินๆ หลับอีกแล้ว ตื่นอีกทีคือหนาวเพราะฝนตก ตอนนั้นในใจคิด อากาศมันดีมากเลยโว้ยยยยยย แค่นั่งรถก็คุ้มแล้ว เหมือนได้เดินทางเข้าสู่ธรรมชาติของจริง มองไปทางไหนก็เขียว ต้นไม้ ใบหญ้า ภูเขา ชอบบบบบบบบ ฝั่งที่เรานั่งนี่คือฝั่งซ้ายยิ่งถ้าใกล้ถึงสังขละบุรีจะเห็นแม่น้ำ เวิ้งน้ำกว้างๆ หมู่บ้านเล็กๆ แพที่อยู่ในน้ำ โอ้ยยยยยยยย เมืองอะไรช่างน่าอยู่ขนาดนี้ ><
นี่คือโฉมหน้ารถเมล์ที่พาเรามาไกลถึงสังขละบุรี ตอนที่ถ่ายรูปนี้รถจอดรอรับเด็กนักเรียนอยู่ที่ทองผาภูมิ รถออกจากทองผาภูมิประมาณ 15.50 น. เพราะว่าต้องรอเด็กนักเรียนกลับบ้านด้วย คือพวกน้องอึดจริงอ่ะ ระยะทางจากทองผาภูมิไปสังขละบุรี ถ้าดูจาก GPS แค่ชั่วโมงเดียวก็ถึง แต่ด้วยความที่มันเป็นภูเขาไง ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงในการเดินทาง น้องเอาเวลาที่ไหนไปนอนกันคะลูก >< พี่นับถือเจงๆ แค่ทุกวันนี้จะงัดตัวเองจากที่นอนไปทำงานยังยาก ><
สรุปแล้วเราถึงสังขละบุรีประมาณเกือบๆ 6 โมงเย็น เดินทางกันยาวๆ 10 ชั่วโมง ชิลมากกกกกก พอลงจากรถเมล์ก็มีความเอ๋อว่า เอ๊ะ! แล้วเราจะไปทางไหนกันต่อดี พอดีมีพี่วินมอเตอร์ไซค์มาถามว่าจะไปไหน เราก็ตอบไปตามรีวิวเลยจ้า พี เกสต์เฮ้า พี่วินก็พาไปส่งคนละ 20 บาท ประมาณ 2 กิโลเมตร ตอนแรกแค่ว่าจะไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์เฉยๆแล้วค่อยไปหาหอ แต่พอพี่เค้าพาไปดูห้องก็โอเค สามคน 450 บาท วิวหลังห้องนี่ก็น่าหลงใหลสุดๆ เห็นสะพานมอญทางขวา เจดีย์พุทธคยาทางซ้าย ตอนกลางคืนมีการเปิดไฟให้เจดีย์ด้วย แล้วก็มีหมอกควันดูขลังมากมาย แต่เสียดาย ไม่ได้ถ่ายรูปไว้
นี่เป็นภาพที่เราถ่ายเล่นกันบนสะพานมอญ และด้วยความที่กำลังจะมืดก็เลยได้มาไม่กี่ภาพ อีกสองนางก็เซลฟี่กันสุดฤทธิ์ สามนาทีสี่สเตตัส ทั้งเฟสบุ๊ค ไลน์ อินสตราแกรม นี่ก็ตามกดไลท์แทบไม่ทัน
เสื้อขาวนั่น เราเอง ใช้เพื่อนถ่าย กดชัตเตอร์ไปประมาณร้อยที ใช้ได้รูปเดียว ให้ตายเถอะ เบลอไม่พอ แถมมืดด้วย แง้ ><!! ไม่เป็นไร เราให้อภัยเพื่อนได้ หลังจากที่เดินไปเดินมา ถ่ายรูปกันจนพอใจ มีรูปอัพโซเชี่ยลเสร็จแล้วนั้น ก็เริ่มมีความหิว ตกลงกันว่าไปหาของกินที่ตลาดสังขละบุรีดีกว่า ไม่รอช้า ก็รีบบึ่งรถไปทางตลาดทันที ตอนนั้นก็มืดแล้วประมาณเกือบๆสองทุ่มได้ละมั้ง หมู่บ้านก็ค่อนข้างเงียบ เหมือนกับหมู่บ้านแถวชนบททั่วไป ต่างคนต่างเข้าบ้านนอน ก็มีสามนางที่หาของกินกันอยู่ จอดรถไว้หน้าเซ่เว่น ตลาดก็คล้ายๆตลาดนัดทั่วไปธรรมดา ขายของที่กินได้ - -“ เราสามคนเดินเข้าไปร้านอาหารตามสั่ง จัดข้าวมาคนละจานเสร็จเรียบร้อย น้องหน้ามนต์มีความว้อนท์อยากกินหมูจุ่มพม่า ก็จัดไปตามใจเพื่อนขอ
รูปร่างมันเป็นจั้งซี่ คล้ายๆหมูสะเต๊ะ แต่ใช้เครื่องในหมูทำ เช่น ปอด ตับอ่อน ใส้อ่อน มีเนื้อหมู จมูกหมูและก็หูด้วย แช่ในน้ำแดงๆเหมือนน้ำหมูแดง รสชาติเหมือนก๋วยจั๊บ มีน้ำจิ้มให้ รสชาติก็โอเค ถือว่าประทับใจในการกินครั้งแรก ก็จัดไปกันคนละสิบกว่าได้ อันที่จริงถ้าไม่ได้กินข้าวมาก่อน คงกินได้เยอะกว่านี้
พออิ่มแบบไม่สามารถกินอะไรอีกต่อไปได้ เราสามคนก็บึ่งรถกลับหอ ตอนนั้นน่าจะราวๆ 3 ทุ่ม ให้ตายเถอะ เงียบมากเจงๆ เราควรอาบน้ำนอนอย่างยิ่ง พอถึงห้องก็ไม่รอช้า เราคว้าผ้าขนหนูเข้าไปอาบน้ำก่อนใครเพื่อน สมบุกสมบันมาทั้งวัน สงสารหน้าตัวเองมาก เขม่ารถไฟติดมาอย่างดำ
สำหรับคืนนี้ ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ
สังขละบุรี...แค่นี้เอ้งงงงงง
ด้วยความที่เป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไป แต่ใจรักการเดินทางเวอร์ๆ สองวันก็ไปได้ ไม่ใช่ปัญหา ตอนแรกก็มีหลายที่ที่อยากไป แต่บังเอิญได้ไปอ่านรีวิว http://ppantip.com/topic/31935354 ก็เลยตกลงปลงใจไปตามเค้าเลย ง่ายจังวุ้ย ทริปนี้ไปกัน 3 สาว ก็มีเรา เฟอร์บี้และหน้ามน อันนี้เป็นฉายาที่เพื่อนๆตั้งกันในกลุ่ม แต่ช่างมันเถอะไม่ใช่ประเด็นหลัก เริ่มกันเลยดีกว่า
ก่อนจะไปแต่ละคนก็หารีวิวจากอินเตอร์เน็ต อ่านกันพร้อม ประหนึ่งเป็นการบิ้วอารมณ์ การเดินทางก็ง่ายๆไม่ยุ่งยาก เราทั้งสามมีความว้อนท์ในรถไฟ วัยรุ่นก็จัดไป รถไฟฟรีสายธนบุรี-น้ำตก
โปรแกรมของเราเริ่มเดินทางตอนตี 5 วันที่ 22 สิงหาคม 59 เพราะว่าหอเราอยู่ไกลจากสถานีรถไฟมาก แถวๆบางนา ด้วยความที่ประหยัดงบในการเดินทางเราจะขึ้นรถเมล์กันไป และข้ามเรือที่ท่าช้างไปที่สถานีธนบุรี เราวางแผนกันไปว่างั้น แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ มันต้องมีอะไรซับซ้อนมากกว่านั้น มันถึงจะน่าตื่นเต้น
จากการสอบถามเพื่อนร่วมงานว่าจะไปท่าช้างต้องขึ้นรถเมล์สาย 25 คันสีแดงที่แยกบางนา แต่ด้วยความเอ๋อหรือมึนหรืออะไรก็แล้วแต่ พอถึงแยกบางนาไม่ลงจ้า ไปลงตรง BTSอุดมสุข และก็ด้วยความไม่รู้ว่ารถเมล์สาย 25 คันสีแดงมันไม่ผ่านตรงนั้น ก็ยืนรอต่อไปจนฟ้าเริ่มจะแจ้ง รถก็อาจจะติดก็เป็นได้ เลยมีการเปลี่ยนเส้นทางกันกะทันหันเล็กน้อย
เราก็เลยพาเพื่อนขึ้นรถเมล์สาย 139 ราคา 18บาท ไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยฯและต่อสาย 108 ฝั่งราชวิถี ตอนนั้นเหลือบดูนาฬิกา 6โมงครึ่งวุ้ย! คิดว่าไปรอรถไฟนานแน่เลย เพราะค่าตั๋วไปแยกบางขุนนนท์แค่ 13 บาท แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดค่ะพี่น้อง เราหนีจากรถติดมาเพื่อเจอรถติดค่ะงานนี้ รถติดอยู่แถวๆสวนดุสิตประมาณครึ่งชั่วโมง น้องอยากจิร้องไห้ แต่เอาเถอะ! ผลสุดท้ายเราก็สถานีรถไฟก่อนเวลาประมาณ 15 นาที คนแถวนั้นบอกว่าให้ไปรอที่สถานีย่อยก็ได้ น่าจะเรียกว่าสถานีจรัลสนิทวงศ์นะ ถ้าจำไม่ผิด รอไปสักพักรถไฟที่รักก็มาเวลา 8 โมงเช้าเป๊ะ! ปู๊น ปู๊นนนนน
เราเลือกนั่งกันตู้สุดท้าย เพราะเบาะนิ่มเหมาะแก่การนั่งนานๆ คนน้อยมาก แอบดีใจเล็กๆ ตอนแรกเราสามคนก็นั่งด้วยกันนะ สักพักแยกกันคนละมุมเข้าสู่โหมดโลกส่วนตัวแบบประหยัดพลังงานสุดๆ ไม่ค่อยมีการคุยกันระหว่างทางเท่าไหร่ ส่วนใหญ่สองคนนั้นจะหลับ แต่เราเป็นพวกชอบมองวิวข้างทางและฟังเพลงโปรดไปด้วย มันสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเข้ากาญจนบุรียิ่งเห็นธรรมชาติ ยิ่งเห็นอะไรเขียวๆแล้วมันโคตรสบายตา
ของกินบนรถไฟก็มีแม่ค้าเดินไปมาไม่ขาด เราเลยอุดหนุนขนมต้มคุณป้า กล่องละ 10 บาท ถูกมาก ข้างในมีขนมต้ม 4 ลูก แป้งนิ่มอุ่นๆคลุกมะพร้าวทึนทึก ไส้ข้างในเป็นมะพร้าวเคี่ยวน้ำตาลไม่หวานมากกำลังดี สรุปแล้วคืออร่อยนั่นแหละ อธิบายยาวทำไม >< แค่ขนมต้ม 4 ลูกมันยังไม่อิ่มไง เลยจัดแซนวิชจากเซเว่นไปอีกหนึ่งอัน คราวนี้ล่ะ หลับสบายเลย แง้ T^T เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีถึงสถานีกาญจนบุรีแล้วจ้า
ชมวิวสะพานข้ามแม่น้ำแควกันสักนิด
และแล้วการนั่งรถไฟอันแสนยาวนานของเราก็ถึงสถานีน้ำตก รวมๆแล้วก็ประมาณ 6 ชั่วโมง ชิลๆ เรายังมีต่ออีกวุ้ย! ลงมาก็มองหารถสองแถวที่เค้าว่าตามรีวิว 20 บาท พี่เขาจอดแล้วชี้ให้ไปยืนรอตรงต้นหูกวาง รออะไรล่ะคะ วิ่งข้ามถนนไป แวะเซเว่นก่อน หาของกิน มีความหิวระดับสิบ จะกินข้าวแม่ค้าแถวนั้นก็บอกไม่น่าจะทันรถ เพราะรถใกล้จะมาแล้ว โอเค๊!! ไม่กินก็ได้ มาเที่ยวนี่ต้องสตรองขนาดไหน ถามใจดู ><
รอสักแปปรถเมล์ก็มาจริงๆ เป็นรถพัดลมราคาตั๋ว 130 บาท นั่งยาวไปจนสุดสาย อากาศก็ไม่ได้ร้อนมากอย่างที่คิด มีแดดก็จริงแต่ก็ไม่แรงเท่าแดดกรุงเทพ นั่งมองวิวไปเพลินๆ หลับอีกแล้ว ตื่นอีกทีคือหนาวเพราะฝนตก ตอนนั้นในใจคิด อากาศมันดีมากเลยโว้ยยยยยย แค่นั่งรถก็คุ้มแล้ว เหมือนได้เดินทางเข้าสู่ธรรมชาติของจริง มองไปทางไหนก็เขียว ต้นไม้ ใบหญ้า ภูเขา ชอบบบบบบบบ ฝั่งที่เรานั่งนี่คือฝั่งซ้ายยิ่งถ้าใกล้ถึงสังขละบุรีจะเห็นแม่น้ำ เวิ้งน้ำกว้างๆ หมู่บ้านเล็กๆ แพที่อยู่ในน้ำ โอ้ยยยยยยยย เมืองอะไรช่างน่าอยู่ขนาดนี้ ><
นี่คือโฉมหน้ารถเมล์ที่พาเรามาไกลถึงสังขละบุรี ตอนที่ถ่ายรูปนี้รถจอดรอรับเด็กนักเรียนอยู่ที่ทองผาภูมิ รถออกจากทองผาภูมิประมาณ 15.50 น. เพราะว่าต้องรอเด็กนักเรียนกลับบ้านด้วย คือพวกน้องอึดจริงอ่ะ ระยะทางจากทองผาภูมิไปสังขละบุรี ถ้าดูจาก GPS แค่ชั่วโมงเดียวก็ถึง แต่ด้วยความที่มันเป็นภูเขาไง ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงในการเดินทาง น้องเอาเวลาที่ไหนไปนอนกันคะลูก >< พี่นับถือเจงๆ แค่ทุกวันนี้จะงัดตัวเองจากที่นอนไปทำงานยังยาก ><
สรุปแล้วเราถึงสังขละบุรีประมาณเกือบๆ 6 โมงเย็น เดินทางกันยาวๆ 10 ชั่วโมง ชิลมากกกกกก พอลงจากรถเมล์ก็มีความเอ๋อว่า เอ๊ะ! แล้วเราจะไปทางไหนกันต่อดี พอดีมีพี่วินมอเตอร์ไซค์มาถามว่าจะไปไหน เราก็ตอบไปตามรีวิวเลยจ้า พี เกสต์เฮ้า พี่วินก็พาไปส่งคนละ 20 บาท ประมาณ 2 กิโลเมตร ตอนแรกแค่ว่าจะไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์เฉยๆแล้วค่อยไปหาหอ แต่พอพี่เค้าพาไปดูห้องก็โอเค สามคน 450 บาท วิวหลังห้องนี่ก็น่าหลงใหลสุดๆ เห็นสะพานมอญทางขวา เจดีย์พุทธคยาทางซ้าย ตอนกลางคืนมีการเปิดไฟให้เจดีย์ด้วย แล้วก็มีหมอกควันดูขลังมากมาย แต่เสียดาย ไม่ได้ถ่ายรูปไว้
นี่เป็นภาพที่เราถ่ายเล่นกันบนสะพานมอญ และด้วยความที่กำลังจะมืดก็เลยได้มาไม่กี่ภาพ อีกสองนางก็เซลฟี่กันสุดฤทธิ์ สามนาทีสี่สเตตัส ทั้งเฟสบุ๊ค ไลน์ อินสตราแกรม นี่ก็ตามกดไลท์แทบไม่ทัน
เสื้อขาวนั่น เราเอง ใช้เพื่อนถ่าย กดชัตเตอร์ไปประมาณร้อยที ใช้ได้รูปเดียว ให้ตายเถอะ เบลอไม่พอ แถมมืดด้วย แง้ ><!! ไม่เป็นไร เราให้อภัยเพื่อนได้ หลังจากที่เดินไปเดินมา ถ่ายรูปกันจนพอใจ มีรูปอัพโซเชี่ยลเสร็จแล้วนั้น ก็เริ่มมีความหิว ตกลงกันว่าไปหาของกินที่ตลาดสังขละบุรีดีกว่า ไม่รอช้า ก็รีบบึ่งรถไปทางตลาดทันที ตอนนั้นก็มืดแล้วประมาณเกือบๆสองทุ่มได้ละมั้ง หมู่บ้านก็ค่อนข้างเงียบ เหมือนกับหมู่บ้านแถวชนบททั่วไป ต่างคนต่างเข้าบ้านนอน ก็มีสามนางที่หาของกินกันอยู่ จอดรถไว้หน้าเซ่เว่น ตลาดก็คล้ายๆตลาดนัดทั่วไปธรรมดา ขายของที่กินได้ - -“ เราสามคนเดินเข้าไปร้านอาหารตามสั่ง จัดข้าวมาคนละจานเสร็จเรียบร้อย น้องหน้ามนต์มีความว้อนท์อยากกินหมูจุ่มพม่า ก็จัดไปตามใจเพื่อนขอ
รูปร่างมันเป็นจั้งซี่ คล้ายๆหมูสะเต๊ะ แต่ใช้เครื่องในหมูทำ เช่น ปอด ตับอ่อน ใส้อ่อน มีเนื้อหมู จมูกหมูและก็หูด้วย แช่ในน้ำแดงๆเหมือนน้ำหมูแดง รสชาติเหมือนก๋วยจั๊บ มีน้ำจิ้มให้ รสชาติก็โอเค ถือว่าประทับใจในการกินครั้งแรก ก็จัดไปกันคนละสิบกว่าได้ อันที่จริงถ้าไม่ได้กินข้าวมาก่อน คงกินได้เยอะกว่านี้
พออิ่มแบบไม่สามารถกินอะไรอีกต่อไปได้ เราสามคนก็บึ่งรถกลับหอ ตอนนั้นน่าจะราวๆ 3 ทุ่ม ให้ตายเถอะ เงียบมากเจงๆ เราควรอาบน้ำนอนอย่างยิ่ง พอถึงห้องก็ไม่รอช้า เราคว้าผ้าขนหนูเข้าไปอาบน้ำก่อนใครเพื่อน สมบุกสมบันมาทั้งวัน สงสารหน้าตัวเองมาก เขม่ารถไฟติดมาอย่างดำ
สำหรับคืนนี้ ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ