Lost in Sangkhla Buri | กรุงเทพ สังขละ พม่า | 11-13 Sep 2015
นี่คือบันทึกการเดิน(ระหว่าง)ทาง ของเด็กมหาลัย 3 คน ที่อยากเที่ยวหลังสอบ
มีแผนหลวมๆ อ่านรีวิวผ่านๆ ไม่ได้เตรียมตัวอย่างที่ควรทำ แต่ยืนยันว่าเป็นความทรงจำที่ดีมาก
นั่งรถไฟฟรี | ตกรถเมล์ | เมารถตู้ | นอนโฮมสเตย์ | โบกรถ | ฝากล้องตกสะพาน | ซื้อทัวร์ | เที่ยวพม่า เดิน เดิน เดิน | เกือบตกเรือ | ฝนตกหนัก | ลื้นล้ม | คนมอญใจดี | และอีกมากมาย
ติดตามเถอะ ตั้งใจเขียน
"สอบเสร็จแล้ว ไปเที่ยวกัน"
"ไปไหน?"
"สังขละ สะพานมอญ"
"ไปกัน"
บทสนทนาระหว่างเพื่อน 3 คน ที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนอาทิตย์หน้าไม่มีการสอบมิดเทอม แล้วก็ลงมติกันว่า หลังสอบ ฉันจะไปเที่ยว สังขละบุรี ที่ๆรู้แค่ว่า มีสะพานมอญ แค่นั้น (ความรู้ติดลบมากไม่ได้ศึกษาอะไรใดๆทั้งสิ้น)
การเตรียมตัวของทริปนี้มีแค่
- กำหนดวันไป-กลับ (ง่ายมาก คือเที่ยวันธรรมดา)
- จองที่พัก (เรื่องมากกันตอนแรกๆ แล้วสุดท้ายก็ได้ที่นอนราคาถูกมาก)
- ดูรอบรถไฟฟรี (ก็วุ่นวายนะแค่เนี้ย)
- เช่ากล้องถ่ายรูป (เดี๋ยวนี้เขามีให้เช่าด้วยนะ)
แล้วเรื่องเที่ยวก็โดนแทนที่ด้วยการอ่านหนังสือสอบ และก็สอบ สอบ สอบ (เกือบตาย) เรื่องเที่ยวไม่มีใครเอ่ยถึงอีกเลย จนถึงวันสอบวันสุดท้ายก็แยกกันกลับบ้าน ไม่ได้คุยอะไร มาคุยกันจริงๆจังอีกครั้งในไลน์ นัดเวลาที่จะขึ้นรถไฟ แค่นั้นจบ (ทำไมทุกอย่างดูจบง่ายๆ)
เริ่มต้นเช้าวันอาทิตย์ ที่ 11 ด้วยการที่แม่ปลุกตั้งแต่ตี 5 นัดเจอเพื่อนที่บ้านอยู่ใกล้ๆกันที่วงเวียนใหญ่ ตอน 6 โมงเช้า แล้วก็นั่งแท็กซี่ไปสถานีรถไฟธนบุรีหรือบางกอกน้อย (แล้วแต่จะเรียกกัน แต่ตอนเรียกแท็กซี่ก็บอกเขาไป บางกอกน้อย ก็ไปถูกนะ) เริ่มต้นทริปด้วยการที่แท็กซี่เลี้ยวไปซอยแล้วอ้อมไปไม่น้อย (เอาละ โดนเลย) แต่ตอนจ่ายเงิน พี่แกก็บอก “ลดให้สิบบาทครับ ขอโทษที่เลี้ยวผิดซอย” ถือว่าดี 5555
รอบนี้ไม่มีใครเลท มาเวลาไล่เลี่ยกันหมด เพื่อนที่นัดเจอที่สถานีก็มาหลังจากลงแท็กซี่ได้ 5 นาที
หลังจากไปถึงสถานีก็ต้องไปเอาตั๋วฟรี (ทริปซุปเปอร์เซฟ) เตรียมบัตรประชาชนไปอย่างดี อ้าว ไม่ตรวจเลย แค่ถามว่า ไปไหน กี่ใบ แล้วเราก็ได้ตั๋ว ธนบุรี-น้ำตก 3 ใบ
กำหนดการเดินทางคือ ออก 07.50 ถึง 13.35 น. (เป็นกำหนดการที่เชื่อไม่ได้ที่สุดในโลก)
ด้วยความที่มาถึงสถานีเร็วมาก 6.30 กว่ารถไฟจะออก ก็อีกนาน เราเลยมาเดินเล่นแถวๆสถานีรถไฟ
ข้างๆสถานีมีตลาดแบบบ้านๆ ขายของสด และผลไม้ มีหมูปิ้ง ปลาท่องโก๋ และบะหมี่เกี๊ยว (ฝากท้องได้สบายมาก) บรรยากาศดีนะ ดูเหมือนตลาดต่างจังหวัด
หลังจากเดินเสร็จ เพื่อนเราก็ฝากท้องไว้กับข้าวเหนียวหมูปิ้ง เราเดินไปหาที่นั่งในสถานี เวลาก็ยังเหลือเยอะ (รีบมามาก) เลยไปเก็บภาพบรรยากาศรอบๆสถานี ให้เพื่อนนั่งเฝ้ากระเป๋าไป
ถึงเวลาขึ้นรถไฟซะที กว่าจะออกก็แปดโมงเกือบครึ่ง มีคนทะยอยขึ้นมาเรื่อยๆ จนเต็ม ทุกที่นั่ง
นี่เป็นทริปการนั่งรถไฟครั้งที่ 2 ที่เต็มใจนั่ง แต่ก็บนอิดออดตลอดทาง แต่คือวิวก็สวยนะ หลับไปบ้าง ตื่นมาก็กินก๋วยเตี๋ยวสิบบาทไป 2 รอบ
ที่เราไม่อินก็ตรงสะพานข้ามแม่น้ำนะ หรือเพราะนั่งด้านหน้าผามั้งแต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นมาก ไม่รู้สึกอะไรเลย (ทริปนี้อย่างว่าคือไม่ได้คาดหวังกับอะไรใดๆทั้งสิ้น)
รถไฟไทยพาเรามาถึงสถานีน้ำตก เวลา 13.30 (โดยประมาณ) เลทไป 50 นาที
ลงจากรถไฟด้วยสภาพอิดโรย (เวอร์ไป) เหนื่อยมาก บอกตัวเองว่าไม่เอาอีกแล้ว (ครั้งที่แล้วก็พูดแบบเนี้ย)
หลายคนที่ลงจากรถไฟดูรีบๆ นั่งสองแถวไปที่น้ำตกกันมากมาย เราสายชิว ลงจากรถไฟด้วยความหิวโหย เลยแวะ หาอะไรลงท้องทันที แล้วก็แวะร้านขายอาหารหน้าสถานีรถไฟ
สั่งกับข้าวไป 3 อย่าง ข้าวเปล่าอีก 4 จาน ค่าเสียหายทั้งหมด 420 บาท (มื้อที่แพงที่สุดของทริปนี้)
(อีกอย่างเป็นต้มยำรวมมิตร รสชาติโอเคเลยทีเดียว เหมือนเราไปร้านอาหารตามที่เที่ยวแบบบ้านๆ)
ในรีวิวที่ลองอ่านก่อนมา เหมือนว่าการเดินทางไปสังขละไม่ได้ยากเย็นอะไร ไม่เห็นมีใครบ่นอะไรเลย หลายๆคนก็นั่งรถไฟฟรีมา แล้วต่อรถเมล์ไปสังขละ(อ่านผ่านๆ) ถามพี่ที่เคยไปก็บอกนั่งรถไฟ มาต่อรถเมล์ มีแต่อาคนเดียว ที่บอกว่า ไกลนะ ลงรถไฟแล้วก็ต้องต่อรถมาอีกไกลกว่าจะถึง (เขาพูดขนาดนี้ยังไม่รู้สึกว่าความลำบากกำลังจะมาหลังจากนี้) ก่อนหน้านี้ ก็ถามพนักงานที่ร้านว่า
นั่งรถสองแถวมาคนละ 20 บาท รู้สึกดี๊ดี ที่ทั้งรถมีแค่เรา 3 คน และเป็นความรู้สึกสบายสุดท้ายของวันนี้ เพราะหลังจากนี้ คือว่าลำบากและทรหดอย่างแท้จริง
รถมาส่งเราที่น้ำตกไทรโยกน้อย เพื่อนยังมีอารมณ์ชวนไปเดินเล่นน้ำตก แต่เราว่าไปดูรอบรถก่อนดีกว่า เราเดินไปถามป้าแม่ค้าว่ารถไปสังขละขึ้นตรงไหน
แต่คำตอบที่ได้จะทำให้คุณต้องตกใจ!
“รถหมดแล้ว รอสุดท้ายเพิ่งไปตอนบ่ายสอง ถ้าจะไปสังขละต้องนอนทองผาภูมินะ แล้วรอรถพรุ่งนี้”
ป้า นี่พูดจริงไหม ตอนนั้นแบบ อ้าว นี่ตกรถหรอ หรือไง อ้าว แล้วไปไงต่ออะ ฉันจองที่พักไว้ที่สังขละแล้วนะ แล้วนี่ จะทำไงอะ ยืนงงๆโง่ๆอยู่ริมถนนสักพัก ก็มีรถเมล์สีแดงมาจอด เขียนว่า “ทองผาภูมิ” เรารีบถามว่า จะไปสังขละได้ไหม กระเป๋าก็บอกว่าเราต้องไปต่อรถตู้ แต่เดี๋ยวจะไปส่งที่ท่ารถให้
คิดในใจ ป้าพูดซะน่ากลัวเหมือนกับว่า พวกแกไม่มีทางได้ไปสังขละบุรีวันนี้แน่
ค่ารถ โดนไป 60 บาท (อ่านในรีวิวทำไมบอก 50 บาท)
บนรถมีแค่เรา กับ คนต่างชาติ(พม่าหรือมอญไม่แน่ใจ) อีก 5 คน ความน้อยของประชากรบนรถ เราก็เลยเลือกนั่งตรงไหนก็ได้ ที่นั่งจะแบ่งเป็น ซ้ายสองเบาะ ขวาสามเบาะ ตอนแรกก็เลือกนั่งติดกัน สามหน่อ คุยกับกระเป๋ารถเมล์นิดหน่อย
ความจริงคือ วิวระหว่างทางนั่งมองก็เพลินดี เราชอบนะ เลยแยกออกมานั่งฝั่งซ้าย แล้วถ่ายรูปวิวข้างทางเพลินๆ (คือก็ต้องหาอะไรทำนะ ต้องนั่งตั้ง 2 ชม.)
ระหว่างทางจะมีด่านตรวจคนต่างชาติอยู่เรื่อยๆ มีการเชิญลงไปคุยเป็นการส่วนตัวก็มี (อย่าลืมพกบัตรประชาชนและร้องเพลงชาติชัดๆด้วย)
ภาพถ่ายทั้งหมด
GoPro HERO4 Silver
Fujifilm X-E2 + XF 35 mm F1.4
ปรับแต่ง
Lightroom
[CR] Lost in Sangkhla Buri | กรุงเทพ สังขละ พม่า | 11-13 Sep 2015 | Day 1 'ยังไม่ถึงอีก?'
นี่คือบันทึกการเดิน(ระหว่าง)ทาง ของเด็กมหาลัย 3 คน ที่อยากเที่ยวหลังสอบ
มีแผนหลวมๆ อ่านรีวิวผ่านๆ ไม่ได้เตรียมตัวอย่างที่ควรทำ แต่ยืนยันว่าเป็นความทรงจำที่ดีมาก
นั่งรถไฟฟรี | ตกรถเมล์ | เมารถตู้ | นอนโฮมสเตย์ | โบกรถ | ฝากล้องตกสะพาน | ซื้อทัวร์ | เที่ยวพม่า เดิน เดิน เดิน | เกือบตกเรือ | ฝนตกหนัก | ลื้นล้ม | คนมอญใจดี | และอีกมากมาย
ติดตามเถอะ ตั้งใจเขียน
"สอบเสร็จแล้ว ไปเที่ยวกัน"
"ไปไหน?"
"สังขละ สะพานมอญ"
"ไปกัน"
บทสนทนาระหว่างเพื่อน 3 คน ที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนอาทิตย์หน้าไม่มีการสอบมิดเทอม แล้วก็ลงมติกันว่า หลังสอบ ฉันจะไปเที่ยว สังขละบุรี ที่ๆรู้แค่ว่า มีสะพานมอญ แค่นั้น (ความรู้ติดลบมากไม่ได้ศึกษาอะไรใดๆทั้งสิ้น)
การเตรียมตัวของทริปนี้มีแค่
- กำหนดวันไป-กลับ (ง่ายมาก คือเที่ยวันธรรมดา)
- จองที่พัก (เรื่องมากกันตอนแรกๆ แล้วสุดท้ายก็ได้ที่นอนราคาถูกมาก)
- ดูรอบรถไฟฟรี (ก็วุ่นวายนะแค่เนี้ย)
- เช่ากล้องถ่ายรูป (เดี๋ยวนี้เขามีให้เช่าด้วยนะ)
แล้วเรื่องเที่ยวก็โดนแทนที่ด้วยการอ่านหนังสือสอบ และก็สอบ สอบ สอบ (เกือบตาย) เรื่องเที่ยวไม่มีใครเอ่ยถึงอีกเลย จนถึงวันสอบวันสุดท้ายก็แยกกันกลับบ้าน ไม่ได้คุยอะไร มาคุยกันจริงๆจังอีกครั้งในไลน์ นัดเวลาที่จะขึ้นรถไฟ แค่นั้นจบ (ทำไมทุกอย่างดูจบง่ายๆ)
เริ่มต้นเช้าวันอาทิตย์ ที่ 11 ด้วยการที่แม่ปลุกตั้งแต่ตี 5 นัดเจอเพื่อนที่บ้านอยู่ใกล้ๆกันที่วงเวียนใหญ่ ตอน 6 โมงเช้า แล้วก็นั่งแท็กซี่ไปสถานีรถไฟธนบุรีหรือบางกอกน้อย (แล้วแต่จะเรียกกัน แต่ตอนเรียกแท็กซี่ก็บอกเขาไป บางกอกน้อย ก็ไปถูกนะ) เริ่มต้นทริปด้วยการที่แท็กซี่เลี้ยวไปซอยแล้วอ้อมไปไม่น้อย (เอาละ โดนเลย) แต่ตอนจ่ายเงิน พี่แกก็บอก “ลดให้สิบบาทครับ ขอโทษที่เลี้ยวผิดซอย” ถือว่าดี 5555
รอบนี้ไม่มีใครเลท มาเวลาไล่เลี่ยกันหมด เพื่อนที่นัดเจอที่สถานีก็มาหลังจากลงแท็กซี่ได้ 5 นาที
หลังจากไปถึงสถานีก็ต้องไปเอาตั๋วฟรี (ทริปซุปเปอร์เซฟ) เตรียมบัตรประชาชนไปอย่างดี อ้าว ไม่ตรวจเลย แค่ถามว่า ไปไหน กี่ใบ แล้วเราก็ได้ตั๋ว ธนบุรี-น้ำตก 3 ใบ
กำหนดการเดินทางคือ ออก 07.50 ถึง 13.35 น. (เป็นกำหนดการที่เชื่อไม่ได้ที่สุดในโลก)
ด้วยความที่มาถึงสถานีเร็วมาก 6.30 กว่ารถไฟจะออก ก็อีกนาน เราเลยมาเดินเล่นแถวๆสถานีรถไฟ
ข้างๆสถานีมีตลาดแบบบ้านๆ ขายของสด และผลไม้ มีหมูปิ้ง ปลาท่องโก๋ และบะหมี่เกี๊ยว (ฝากท้องได้สบายมาก) บรรยากาศดีนะ ดูเหมือนตลาดต่างจังหวัด
หลังจากเดินเสร็จ เพื่อนเราก็ฝากท้องไว้กับข้าวเหนียวหมูปิ้ง เราเดินไปหาที่นั่งในสถานี เวลาก็ยังเหลือเยอะ (รีบมามาก) เลยไปเก็บภาพบรรยากาศรอบๆสถานี ให้เพื่อนนั่งเฝ้ากระเป๋าไป
ถึงเวลาขึ้นรถไฟซะที กว่าจะออกก็แปดโมงเกือบครึ่ง มีคนทะยอยขึ้นมาเรื่อยๆ จนเต็ม ทุกที่นั่ง
นี่เป็นทริปการนั่งรถไฟครั้งที่ 2 ที่เต็มใจนั่ง แต่ก็บนอิดออดตลอดทาง แต่คือวิวก็สวยนะ หลับไปบ้าง ตื่นมาก็กินก๋วยเตี๋ยวสิบบาทไป 2 รอบ
ที่เราไม่อินก็ตรงสะพานข้ามแม่น้ำนะ หรือเพราะนั่งด้านหน้าผามั้งแต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นมาก ไม่รู้สึกอะไรเลย (ทริปนี้อย่างว่าคือไม่ได้คาดหวังกับอะไรใดๆทั้งสิ้น)
รถไฟไทยพาเรามาถึงสถานีน้ำตก เวลา 13.30 (โดยประมาณ) เลทไป 50 นาที
ลงจากรถไฟด้วยสภาพอิดโรย (เวอร์ไป) เหนื่อยมาก บอกตัวเองว่าไม่เอาอีกแล้ว (ครั้งที่แล้วก็พูดแบบเนี้ย)
หลายคนที่ลงจากรถไฟดูรีบๆ นั่งสองแถวไปที่น้ำตกกันมากมาย เราสายชิว ลงจากรถไฟด้วยความหิวโหย เลยแวะ หาอะไรลงท้องทันที แล้วก็แวะร้านขายอาหารหน้าสถานีรถไฟ
สั่งกับข้าวไป 3 อย่าง ข้าวเปล่าอีก 4 จาน ค่าเสียหายทั้งหมด 420 บาท (มื้อที่แพงที่สุดของทริปนี้)
(อีกอย่างเป็นต้มยำรวมมิตร รสชาติโอเคเลยทีเดียว เหมือนเราไปร้านอาหารตามที่เที่ยวแบบบ้านๆ)
ในรีวิวที่ลองอ่านก่อนมา เหมือนว่าการเดินทางไปสังขละไม่ได้ยากเย็นอะไร ไม่เห็นมีใครบ่นอะไรเลย หลายๆคนก็นั่งรถไฟฟรีมา แล้วต่อรถเมล์ไปสังขละ(อ่านผ่านๆ) ถามพี่ที่เคยไปก็บอกนั่งรถไฟ มาต่อรถเมล์ มีแต่อาคนเดียว ที่บอกว่า ไกลนะ ลงรถไฟแล้วก็ต้องต่อรถมาอีกไกลกว่าจะถึง (เขาพูดขนาดนี้ยังไม่รู้สึกว่าความลำบากกำลังจะมาหลังจากนี้) ก่อนหน้านี้ ก็ถามพนักงานที่ร้านว่า
นั่งรถสองแถวมาคนละ 20 บาท รู้สึกดี๊ดี ที่ทั้งรถมีแค่เรา 3 คน และเป็นความรู้สึกสบายสุดท้ายของวันนี้ เพราะหลังจากนี้ คือว่าลำบากและทรหดอย่างแท้จริง
รถมาส่งเราที่น้ำตกไทรโยกน้อย เพื่อนยังมีอารมณ์ชวนไปเดินเล่นน้ำตก แต่เราว่าไปดูรอบรถก่อนดีกว่า เราเดินไปถามป้าแม่ค้าว่ารถไปสังขละขึ้นตรงไหน
แต่คำตอบที่ได้จะทำให้คุณต้องตกใจ!
“รถหมดแล้ว รอสุดท้ายเพิ่งไปตอนบ่ายสอง ถ้าจะไปสังขละต้องนอนทองผาภูมินะ แล้วรอรถพรุ่งนี้”
ป้า นี่พูดจริงไหม ตอนนั้นแบบ อ้าว นี่ตกรถหรอ หรือไง อ้าว แล้วไปไงต่ออะ ฉันจองที่พักไว้ที่สังขละแล้วนะ แล้วนี่ จะทำไงอะ ยืนงงๆโง่ๆอยู่ริมถนนสักพัก ก็มีรถเมล์สีแดงมาจอด เขียนว่า “ทองผาภูมิ” เรารีบถามว่า จะไปสังขละได้ไหม กระเป๋าก็บอกว่าเราต้องไปต่อรถตู้ แต่เดี๋ยวจะไปส่งที่ท่ารถให้
คิดในใจ ป้าพูดซะน่ากลัวเหมือนกับว่า พวกแกไม่มีทางได้ไปสังขละบุรีวันนี้แน่
ค่ารถ โดนไป 60 บาท (อ่านในรีวิวทำไมบอก 50 บาท)
บนรถมีแค่เรา กับ คนต่างชาติ(พม่าหรือมอญไม่แน่ใจ) อีก 5 คน ความน้อยของประชากรบนรถ เราก็เลยเลือกนั่งตรงไหนก็ได้ ที่นั่งจะแบ่งเป็น ซ้ายสองเบาะ ขวาสามเบาะ ตอนแรกก็เลือกนั่งติดกัน สามหน่อ คุยกับกระเป๋ารถเมล์นิดหน่อย
ความจริงคือ วิวระหว่างทางนั่งมองก็เพลินดี เราชอบนะ เลยแยกออกมานั่งฝั่งซ้าย แล้วถ่ายรูปวิวข้างทางเพลินๆ (คือก็ต้องหาอะไรทำนะ ต้องนั่งตั้ง 2 ชม.)
ระหว่างทางจะมีด่านตรวจคนต่างชาติอยู่เรื่อยๆ มีการเชิญลงไปคุยเป็นการส่วนตัวก็มี (อย่าลืมพกบัตรประชาชนและร้องเพลงชาติชัดๆด้วย)
ภาพถ่ายทั้งหมด
GoPro HERO4 Silver
Fujifilm X-E2 + XF 35 mm F1.4
ปรับแต่ง
Lightroom
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น