ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ ริมแม่โขง, จารย์จี GTW, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณนัน turtle_cheesecake หลงรัก, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทนำ - บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒ - บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/35379337
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/35383294
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/35386265
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/35389519
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/35392675
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/35400069
บทที่ ๙ http://ppantip.com/topic/35407698
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/35411784
บทที่ ๑๑ http://ppantip.com/topic/35422278
บทที่ ๑๒ http://ppantip.com/topic/35430211
บทที่ ๑๓ http://ppantip.com/topic/35437896
บทที่ ๑๔ http://ppantip.com/topic/35447627
บทที่ ๑๕ http://ppantip.com/topic/35454229
บทที่ ๑๖ http://ppantip.com/topic/35460996
บทที่ ๑๗ http://ppantip.com/topic/35467701
บทที่ ๑๘ http://ppantip.com/topic/35478177
บทที่ ๑๙ http://ppantip.com/topic/35484261
บทที่ ๒๐ http://ppantip.com/topic/35490729
บทที่ ๒๑ http://ppantip.com/topic/35500221
บทที่ ๒๒ http://ppantip.com/topic/35507830
บทที่ ๒๓ http://ppantip.com/topic/35514634
บทที่ ๒๔ http://ppantip.com/topic/35524338
บทที่ ๒๕
รามก้มดูผู้หญิงซึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นแทบเท้าของตัวอย่างหนักอกหนักใจ ช่างสลัดไม่หลุดเสียจริงๆ ทั้งที่ได้พยายามแล้วทุกวิถีทางเท่าที่จะคิดได้ ถ้าไม่มีความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่มีส่วนร่วมก่อขึ้นเช่นนี้ ก็คงจัดการอะไรให้เด็ดขาดไปได้นานแล้ว
ใจหนึ่งอยากนั่งลงเจรจากันให้รู้เรื่องอีกสักครั้ง คราวนี้ให้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ เสียที แต่ก็รู้ว่าไม่มีเวลาเพียงพอเพราะคงต้องพูดกันยืดยาว ประกอบกับเกรงว่าผู้เป็นภรรยาอาจขึ้นมาเห็นและเข้าใจผิดได้อีก จึงตัดบทเสียก่อนที่การตัดพ้อต่อว่านี้จะเยิ่นเย้อไปนานจนเกินเหตุ
“ถ้าเธอไม่ชอบวิรัชก็ไม่เป็นไรนี่นา ฉันเพียงเห็นว่าเป็นคนดี เป็นคนเอางานเอาการ อนาคตไปได้อีกไกล ก็เลยอยากให้รู้จักกันไว้ ก็เท่านั้นเอง”
หญิงสาวโต้กลับด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าวเหลือประมาณ
“คุณรามไม่คิดถึงความรู้สึกของดิฉันบ้างหรอกหรือคะ จะ
ไสไล่ส่งดิฉันไปถึงไหนกัน คราวคุณตรองก็ครั้งหนึ่งแล้ว”
หล่อนท้าวความไปถึงนายทหารอีกคนซึ่งเขาเคยแนะนำให้รู้จัก นั่นเป็นก่อนที่เขาจะแต่งงานได้ไม่นาน หล่อนรู้และเข้าใจตั้งแต่คราวนั้นว่าเขาตั้งใจกำจัดหล่อนออกนอกทางอย่างไร จึงได้เจ็บช้ำเสียเหลือเกิน เจ็บจนคิดจะหนีกลับบ้านเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากถึงกระนั้นก็ตัดใจจากเขาไม่ได้ จนได้เห็นความอ่อนเยาว์และไม่ประสีประสาของสาวน้อยผู้ซึ่งเขาเลือกมาเป็นภรรยานั่นแหละ ถึงได้มองเห็นว่ายังพอมีความหวังที่จะได้เขากลับคืนมาอยู่บ้าง
นายพันเอกหนุ่มถอนใจยาว สงสัยเสียนักว่าเรื่องอื่นทำไมจึงไม่ยุ่งยากจนแก้ไขไม่ได้เช่นเรื่องนี้ ทุกอย่างที่แว่นแก้วพูดมานั้นว่าไปแล้วก็ไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าไรนัก เขาพยายามผลักไสหล่อนไปให้พ้นๆ อย่างคนเห็นแก่ตัวแต่ฝ่ายเดียวจริงๆนั่นแหละ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อนับวันเรื่องนี้ก็ยิ่งพัวพันยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นทุกที กอปรกับได้รับแรงกดดันจากภรรยาเพิ่มมาอีกด้าน น่าเหนื่อยหน่ายน้อยเสียเมื่อไรกัน
“ฉันหวังดีต่อเธอหรอกนะ แว่นแก้ว แต่ก็เอาเถอะ ถ้าเธอไม่ชอบใจ ฉันก็จะไม่แนะนำให้รู้จักใครอีก ไม่ว่าจะอย่างไร เธอคงรู้ว่าฉันหวังดีต่อเธอเสมอ"
แว่นแก้วอยากบอกเขาว่าวิธีแสดงความหวังดีสำหรับหล่อนนั้นไม่ยากเลยจนนิด เพียงเขายอมให้หล่อนได้ชิดใกล้เขาเช่นครั้งก่อนเท่านั้นก็พอ หล่อนจะไม่เรียกร้องอะไรมากมายเลย จะไม่ขอแม้แต่ให้เขายกย่องเป็นภรรยารองหรืออะไรทั้งสิ้น ทุกวันนี้หล่อนโหยหาสัมผัสจากเขาอย่างเหลือเกินแล้ว หล่อนต้องการเขา แม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนที่เคยผ่านมาก็ยังดี ขอเพียงให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม แล้วหลังจากนั้นก็มั่นใจว่าจะทำให้เขาลืมภรรยาของเขาได้จนหมดสิ้น
"ดิฉันทราบค่ะว่าคุณรามหวังดีกับดิฉัน แต่ขอเถอะค่ะ อย่าใช้วิธีนี้เลยนะคะ ดิฉันเป็นผู้หญิง มีชีวิตจิตใจเหมือนผู้หญิงคนอื่นเหมือนกัน จนขนาดนี้แล้วคุณรามยังไม่ทราบอีกหรือคะว่าดิฉันรู้สึกอย่างไร ดิฉันไม่ต้องการใครอื่นอีก คุณรามก็รู้ดี อย่าบีบบังคับให้ดิฉันคิดกับใครแบบเดียวกันเลยนะคะ คุณรามก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้"
เมื่อเรื่องทำท่าจะยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ รามจึงจำต้องตัดบทอีกครั้ง
"เอาเถอะ เอาเถอะ เอาเป็นว่ามีอะไรก็ค่อยว่ากันวันหลัง ตอนนี้ฉันต้องรีบไปกรม”
ถอยห่างออกมาเพื่อจะเลี่ยงไปที่ประตูห้อง แต่หญิงสาวขยับเข้าขวางไว้เสียอีก
“แต่คุณรามคะ…ดิฉัน...”
ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ อีกเสียงดังขัดขึ้นทางด้านหลัง
“พี่รามคะ...”
เสียงเรียกชื่อนั้นเข้มงวดและดังเกินจำเป็น จนหญิงสาวบนพื้นห้องถึงกับสะดุ้งสุดตัว ละสายตาจากชายหนุ่ม แล้วมองเลยไปทางนั้น พอเห็นว่าเป็นใครก็ตื่นตระหนกราวตัวเองกลายเป็นเด็กเล็กๆ ที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา
รามหันไปมองอย่างโล่งอกเมื่อเห็นน้องสาวเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์น่าอึดอัดนี้ได้ก่อนจะลุกลามไปไกลกว่านี้
“พี่รามจะไปทำงานหรือคะ"
ร่างโปร่งในชุดซิ่นดำ เสื้อคอกลมแขนกระบอกสีเดียวกัน ก้าวเร็วๆ ตรงมาหาผู้เป็นพี่ชาย หล่อนลดสายตาลงดูผู้หญิงบนพื้นแวบหนึ่งอย่างตำหนิติเตียนและเพื่อบอกเป็นนัยๆ ให้รู้ตัวว่าการกระทำเช่นนี้จะมีผลอย่างไร...ในเมื่อหล่อนเองก็รู้อยู่เต็มอกว่านายพันเอกผู้เป็นประมุขของบ้านไม่ชอบเรื่องจุกจิกกวนใจ
แว่นแก้วคิดได้ ถอยห่างออกมาจากชายหนุ่ม ลุกยืน แล้วก้าวเดินเงียบกริบกลับไปทางห้องของตัว
พอคล้อยหลัง รามระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอก หันกลับมาทางน้องสาวซึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
"กำลังจะเปลี่ยนเสื้อไปกรมนี่แหละ มีอะไรหรือ"
"เจ้าประวัติวงศ์ชวนน้องว่าจะไปดูละครที่โรงปรีดาลัยกันเย็นนี้ค่ะพี่ราม น้องอยากชวนแม่ไอรีนไปด้วย ประเดี๋ยวเจ้าจะมารับ พี่รามจะว่าอะไรไหมคะ”
นายพันเอกหนุ่มจ้องหน้าคนพูดอย่างคาดไม่ถึง หาใช่เรื่องที่ว่าหล่อนมีนัดกับผู้ชายหนุ่มๆ หรอกที่ทำให้ประหลาดใจ ประวัติวงศ์และวิไลเป็นญาติกันทางสายมารดาของทั้งสองฝ่าย ทั้งคู่สนิทสนมกันพอสมควรทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีรสนิยมที่ต้องกัน จึงไปดูหนังดูละครกันบ่อยครั้ง แทบจะเรียกได้ว่าทุกครั้งที่ราชนิกุลหนุ่มผู้นั้นลงมากรุงเทพก็ว่าได้
ที่คาดไม่ถึงก็ตรงที่แต่ไหนแต่ไรมาวิไลไม่เคยญาติดีกับไอรีนจนถึงขั้นออกปากชวนให้ไปไหนมาไหนด้วยเช่นนี้ คนที่มักติดตามหล่อนออกไปนอกบ้านก็มีแต่แว่นแก้วหรือไม่ก็บ่าวสาวๆ คนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่หล่อนออกไปซื้อเสื้อผ้าหรือของใช้ วิไลไม่ชอบออกจากบ้านไปไหนคนเดียว หล่อนเคยชินกับการมีใครสักคนตามไปรับใช้ด้วยเสมอ ด้วยเหตุนั้นรามจึงไม่ขัดข้องเมื่อหล่อนขอให้แว่นแก้วเข้ามาอยู่ในบ้าน ด้วยเห็นว่าน้องสาวจะได้มีเพื่อนที่เชื่อใจได้ คิดไม่ถึงว่านั่นจะกลายมาเป็นเรื่องยุ่งยากในภายหลังเช่นนี้
อีกเรื่องที่ทำให้รามหนักใจคือคนซึ่งวิไลเอ่ยถึง แม้ไม่คิดว่าการชักชวนภรรยาของตัวไปดูละครด้วยในครั้งนี้จะเป็นความคิดของเจ้าประวัติวงศ์ แต่ก็ยังอดระแวงเสียมิได้ ถ้าเป็นคนอื่นคงยอมให้สาวน้อยไปด้วยอย่างเต็มอกเต็มใจ หากทว่าสายตาชื่นชมอย่างปกปิดไม่มิดของราชนิกุลหนุ่มผู้นั้นทำให้บางครั้งก็ออกจะไม่ชอบใจนัก ไม่มีเสียล่ะที่จะภูมิใจเมื่อมีใครมองภรรยาของตัวเองอย่างพึงพอใจถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนๆ นั้นหาใช่ผู้มีชื่อเสียงดีนักในเรื่องที่เกี่ยวกับหญิงงาม อีกทั้งยังมีภรรยาลับๆ อยู่แล้วถึงสองคนเช่นนี้
หากทว่าจะยกเอาเรื่องนั้นมาเป็นเหตุผลเพื่อห้ามภรรยาไปดูละครกับน้องสาวของตัวเองก็กระไรอยู่ ในเมื่อไอรีนก็ไม่ใช่เด็กแล้ว จะไม่ให้ไปไหนมาไหนเพราะความหวาดระแวงเพียงอย่างเดียวก็ใช่ที่
"ไอรีนเพิ่งฟื้นจากไข้ได้ไม่นาน พี่ยังไม่อยากให้ออกจากบ้านไปไหน" เมื่อห้ามตรงๆ ไม่ได้ ก็เบี่ยงเบนประเด็นไปเป็นเรื่องอื่นเสีย
"พุทโธ่ พี่รามคะ ก็แค่ไปนั่งดูละคร ไปกลับกับรถของเจ้า ถึงโรงละครก็เข้าไปนั่งเฉยๆ ไม่ต้องเดินไปไหนมาไหนไกลๆ สักหน่อย"
คนเป็นน้องแสร้งทำเสียงล้อเลียน…ทั้งที่ปวดร้าวอยู่ลึกๆ กับอาการหวงแหนเมียสาวที่พี่ชายแสดงให้เห็น
รามมองไม่เห็นทางเลี่ยงใดๆ อีก เพียงแค่ไปดูละครกัน คงไม่มีอะไรมากมาย
"แล้วจะไปดูละครเรื่องอะไรกัน จะเลิกดึกไหม"
"เรื่อง สาวเครือฟ้า ไงละคะพี่ราม น้องอยากไปดูอีกสักรอบ เคยดูครั้งหนึ่งแล้วที่โรงศรีอาทิตย์ คราวนั้นเลิกสามทุ่ม ที่แสดงที่ปรีดาลัยเป็นละครร้อง เห็นว่าเริ่มเวลาเดียวกัน ก็คงเลิกเวลาเดียวกันกระมังคะ พอดีเจ้าประวัติวงศ์เคยบอกว่าอยากดูเรื่องนี้ที่ทำเป็นละครร้องอยู่เหมือนกัน"
รามไม่มีความรู้เรื่องหนังเรื่องละครสักเท่าไรนัก จึงไม่มีความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องนั้น หากแต่ยังมีอีกเรื่องซึ่งคาใจอยู่นานวัน
"ไปดูกันสามคนเท่านั้นหรือ"
คราวนี้วิไลหลบสายตาสำรวจตรวจตราของพี่ชาย พึมพำคำตอบเบาๆ
"ก็ว่าจะไปดูกันสามคนค่ะ แต่…บางทีนพพรอาจไปด้วย เห็นว่าอยากดูอยู่เหมือนกัน"
รามไม่เชื่อถือคำตอบนั้นเท่าไรนัก
“นพพรน่ะรึอยากดูละคร”
บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๒๕)
ขอบคุณ คุณ ริมแม่โขง, จารย์จี GTW, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณนัน turtle_cheesecake หลงรัก, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รามก้มดูผู้หญิงซึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนพื้นแทบเท้าของตัวอย่างหนักอกหนักใจ ช่างสลัดไม่หลุดเสียจริงๆ ทั้งที่ได้พยายามแล้วทุกวิถีทางเท่าที่จะคิดได้ ถ้าไม่มีความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อปัญหาที่มีส่วนร่วมก่อขึ้นเช่นนี้ ก็คงจัดการอะไรให้เด็ดขาดไปได้นานแล้ว
ใจหนึ่งอยากนั่งลงเจรจากันให้รู้เรื่องอีกสักครั้ง คราวนี้ให้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ เสียที แต่ก็รู้ว่าไม่มีเวลาเพียงพอเพราะคงต้องพูดกันยืดยาว ประกอบกับเกรงว่าผู้เป็นภรรยาอาจขึ้นมาเห็นและเข้าใจผิดได้อีก จึงตัดบทเสียก่อนที่การตัดพ้อต่อว่านี้จะเยิ่นเย้อไปนานจนเกินเหตุ
“ถ้าเธอไม่ชอบวิรัชก็ไม่เป็นไรนี่นา ฉันเพียงเห็นว่าเป็นคนดี เป็นคนเอางานเอาการ อนาคตไปได้อีกไกล ก็เลยอยากให้รู้จักกันไว้ ก็เท่านั้นเอง”
หญิงสาวโต้กลับด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าวเหลือประมาณ
“คุณรามไม่คิดถึงความรู้สึกของดิฉันบ้างหรอกหรือคะ จะไสไล่ส่งดิฉันไปถึงไหนกัน คราวคุณตรองก็ครั้งหนึ่งแล้ว”
หล่อนท้าวความไปถึงนายทหารอีกคนซึ่งเขาเคยแนะนำให้รู้จัก นั่นเป็นก่อนที่เขาจะแต่งงานได้ไม่นาน หล่อนรู้และเข้าใจตั้งแต่คราวนั้นว่าเขาตั้งใจกำจัดหล่อนออกนอกทางอย่างไร จึงได้เจ็บช้ำเสียเหลือเกิน เจ็บจนคิดจะหนีกลับบ้านเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากถึงกระนั้นก็ตัดใจจากเขาไม่ได้ จนได้เห็นความอ่อนเยาว์และไม่ประสีประสาของสาวน้อยผู้ซึ่งเขาเลือกมาเป็นภรรยานั่นแหละ ถึงได้มองเห็นว่ายังพอมีความหวังที่จะได้เขากลับคืนมาอยู่บ้าง
นายพันเอกหนุ่มถอนใจยาว สงสัยเสียนักว่าเรื่องอื่นทำไมจึงไม่ยุ่งยากจนแก้ไขไม่ได้เช่นเรื่องนี้ ทุกอย่างที่แว่นแก้วพูดมานั้นว่าไปแล้วก็ไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าไรนัก เขาพยายามผลักไสหล่อนไปให้พ้นๆ อย่างคนเห็นแก่ตัวแต่ฝ่ายเดียวจริงๆนั่นแหละ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อนับวันเรื่องนี้ก็ยิ่งพัวพันยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นทุกที กอปรกับได้รับแรงกดดันจากภรรยาเพิ่มมาอีกด้าน น่าเหนื่อยหน่ายน้อยเสียเมื่อไรกัน
“ฉันหวังดีต่อเธอหรอกนะ แว่นแก้ว แต่ก็เอาเถอะ ถ้าเธอไม่ชอบใจ ฉันก็จะไม่แนะนำให้รู้จักใครอีก ไม่ว่าจะอย่างไร เธอคงรู้ว่าฉันหวังดีต่อเธอเสมอ"
แว่นแก้วอยากบอกเขาว่าวิธีแสดงความหวังดีสำหรับหล่อนนั้นไม่ยากเลยจนนิด เพียงเขายอมให้หล่อนได้ชิดใกล้เขาเช่นครั้งก่อนเท่านั้นก็พอ หล่อนจะไม่เรียกร้องอะไรมากมายเลย จะไม่ขอแม้แต่ให้เขายกย่องเป็นภรรยารองหรืออะไรทั้งสิ้น ทุกวันนี้หล่อนโหยหาสัมผัสจากเขาอย่างเหลือเกินแล้ว หล่อนต้องการเขา แม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนที่เคยผ่านมาก็ยังดี ขอเพียงให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม แล้วหลังจากนั้นก็มั่นใจว่าจะทำให้เขาลืมภรรยาของเขาได้จนหมดสิ้น
"ดิฉันทราบค่ะว่าคุณรามหวังดีกับดิฉัน แต่ขอเถอะค่ะ อย่าใช้วิธีนี้เลยนะคะ ดิฉันเป็นผู้หญิง มีชีวิตจิตใจเหมือนผู้หญิงคนอื่นเหมือนกัน จนขนาดนี้แล้วคุณรามยังไม่ทราบอีกหรือคะว่าดิฉันรู้สึกอย่างไร ดิฉันไม่ต้องการใครอื่นอีก คุณรามก็รู้ดี อย่าบีบบังคับให้ดิฉันคิดกับใครแบบเดียวกันเลยนะคะ คุณรามก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้"
เมื่อเรื่องทำท่าจะยุ่งเหยิงไปกันใหญ่ รามจึงจำต้องตัดบทอีกครั้ง
"เอาเถอะ เอาเถอะ เอาเป็นว่ามีอะไรก็ค่อยว่ากันวันหลัง ตอนนี้ฉันต้องรีบไปกรม”
ถอยห่างออกมาเพื่อจะเลี่ยงไปที่ประตูห้อง แต่หญิงสาวขยับเข้าขวางไว้เสียอีก
“แต่คุณรามคะ…ดิฉัน...”
ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ อีกเสียงดังขัดขึ้นทางด้านหลัง
“พี่รามคะ...”
เสียงเรียกชื่อนั้นเข้มงวดและดังเกินจำเป็น จนหญิงสาวบนพื้นห้องถึงกับสะดุ้งสุดตัว ละสายตาจากชายหนุ่ม แล้วมองเลยไปทางนั้น พอเห็นว่าเป็นใครก็ตื่นตระหนกราวตัวเองกลายเป็นเด็กเล็กๆ ที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา
รามหันไปมองอย่างโล่งอกเมื่อเห็นน้องสาวเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์น่าอึดอัดนี้ได้ก่อนจะลุกลามไปไกลกว่านี้
“พี่รามจะไปทำงานหรือคะ"
ร่างโปร่งในชุดซิ่นดำ เสื้อคอกลมแขนกระบอกสีเดียวกัน ก้าวเร็วๆ ตรงมาหาผู้เป็นพี่ชาย หล่อนลดสายตาลงดูผู้หญิงบนพื้นแวบหนึ่งอย่างตำหนิติเตียนและเพื่อบอกเป็นนัยๆ ให้รู้ตัวว่าการกระทำเช่นนี้จะมีผลอย่างไร...ในเมื่อหล่อนเองก็รู้อยู่เต็มอกว่านายพันเอกผู้เป็นประมุขของบ้านไม่ชอบเรื่องจุกจิกกวนใจ
แว่นแก้วคิดได้ ถอยห่างออกมาจากชายหนุ่ม ลุกยืน แล้วก้าวเดินเงียบกริบกลับไปทางห้องของตัว
พอคล้อยหลัง รามระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอก หันกลับมาทางน้องสาวซึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
"กำลังจะเปลี่ยนเสื้อไปกรมนี่แหละ มีอะไรหรือ"
"เจ้าประวัติวงศ์ชวนน้องว่าจะไปดูละครที่โรงปรีดาลัยกันเย็นนี้ค่ะพี่ราม น้องอยากชวนแม่ไอรีนไปด้วย ประเดี๋ยวเจ้าจะมารับ พี่รามจะว่าอะไรไหมคะ”
นายพันเอกหนุ่มจ้องหน้าคนพูดอย่างคาดไม่ถึง หาใช่เรื่องที่ว่าหล่อนมีนัดกับผู้ชายหนุ่มๆ หรอกที่ทำให้ประหลาดใจ ประวัติวงศ์และวิไลเป็นญาติกันทางสายมารดาของทั้งสองฝ่าย ทั้งคู่สนิทสนมกันพอสมควรทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีรสนิยมที่ต้องกัน จึงไปดูหนังดูละครกันบ่อยครั้ง แทบจะเรียกได้ว่าทุกครั้งที่ราชนิกุลหนุ่มผู้นั้นลงมากรุงเทพก็ว่าได้
ที่คาดไม่ถึงก็ตรงที่แต่ไหนแต่ไรมาวิไลไม่เคยญาติดีกับไอรีนจนถึงขั้นออกปากชวนให้ไปไหนมาไหนด้วยเช่นนี้ คนที่มักติดตามหล่อนออกไปนอกบ้านก็มีแต่แว่นแก้วหรือไม่ก็บ่าวสาวๆ คนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่หล่อนออกไปซื้อเสื้อผ้าหรือของใช้ วิไลไม่ชอบออกจากบ้านไปไหนคนเดียว หล่อนเคยชินกับการมีใครสักคนตามไปรับใช้ด้วยเสมอ ด้วยเหตุนั้นรามจึงไม่ขัดข้องเมื่อหล่อนขอให้แว่นแก้วเข้ามาอยู่ในบ้าน ด้วยเห็นว่าน้องสาวจะได้มีเพื่อนที่เชื่อใจได้ คิดไม่ถึงว่านั่นจะกลายมาเป็นเรื่องยุ่งยากในภายหลังเช่นนี้
อีกเรื่องที่ทำให้รามหนักใจคือคนซึ่งวิไลเอ่ยถึง แม้ไม่คิดว่าการชักชวนภรรยาของตัวไปดูละครด้วยในครั้งนี้จะเป็นความคิดของเจ้าประวัติวงศ์ แต่ก็ยังอดระแวงเสียมิได้ ถ้าเป็นคนอื่นคงยอมให้สาวน้อยไปด้วยอย่างเต็มอกเต็มใจ หากทว่าสายตาชื่นชมอย่างปกปิดไม่มิดของราชนิกุลหนุ่มผู้นั้นทำให้บางครั้งก็ออกจะไม่ชอบใจนัก ไม่มีเสียล่ะที่จะภูมิใจเมื่อมีใครมองภรรยาของตัวเองอย่างพึงพอใจถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนๆ นั้นหาใช่ผู้มีชื่อเสียงดีนักในเรื่องที่เกี่ยวกับหญิงงาม อีกทั้งยังมีภรรยาลับๆ อยู่แล้วถึงสองคนเช่นนี้
หากทว่าจะยกเอาเรื่องนั้นมาเป็นเหตุผลเพื่อห้ามภรรยาไปดูละครกับน้องสาวของตัวเองก็กระไรอยู่ ในเมื่อไอรีนก็ไม่ใช่เด็กแล้ว จะไม่ให้ไปไหนมาไหนเพราะความหวาดระแวงเพียงอย่างเดียวก็ใช่ที่
"ไอรีนเพิ่งฟื้นจากไข้ได้ไม่นาน พี่ยังไม่อยากให้ออกจากบ้านไปไหน" เมื่อห้ามตรงๆ ไม่ได้ ก็เบี่ยงเบนประเด็นไปเป็นเรื่องอื่นเสีย
"พุทโธ่ พี่รามคะ ก็แค่ไปนั่งดูละคร ไปกลับกับรถของเจ้า ถึงโรงละครก็เข้าไปนั่งเฉยๆ ไม่ต้องเดินไปไหนมาไหนไกลๆ สักหน่อย"
คนเป็นน้องแสร้งทำเสียงล้อเลียน…ทั้งที่ปวดร้าวอยู่ลึกๆ กับอาการหวงแหนเมียสาวที่พี่ชายแสดงให้เห็น
รามมองไม่เห็นทางเลี่ยงใดๆ อีก เพียงแค่ไปดูละครกัน คงไม่มีอะไรมากมาย
"แล้วจะไปดูละครเรื่องอะไรกัน จะเลิกดึกไหม"
"เรื่อง สาวเครือฟ้า ไงละคะพี่ราม น้องอยากไปดูอีกสักรอบ เคยดูครั้งหนึ่งแล้วที่โรงศรีอาทิตย์ คราวนั้นเลิกสามทุ่ม ที่แสดงที่ปรีดาลัยเป็นละครร้อง เห็นว่าเริ่มเวลาเดียวกัน ก็คงเลิกเวลาเดียวกันกระมังคะ พอดีเจ้าประวัติวงศ์เคยบอกว่าอยากดูเรื่องนี้ที่ทำเป็นละครร้องอยู่เหมือนกัน"
รามไม่มีความรู้เรื่องหนังเรื่องละครสักเท่าไรนัก จึงไม่มีความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องนั้น หากแต่ยังมีอีกเรื่องซึ่งคาใจอยู่นานวัน
"ไปดูกันสามคนเท่านั้นหรือ"
คราวนี้วิไลหลบสายตาสำรวจตรวจตราของพี่ชาย พึมพำคำตอบเบาๆ
"ก็ว่าจะไปดูกันสามคนค่ะ แต่…บางทีนพพรอาจไปด้วย เห็นว่าอยากดูอยู่เหมือนกัน"
รามไม่เชื่อถือคำตอบนั้นเท่าไรนัก
“นพพรน่ะรึอยากดูละคร”