ให้ดู "ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา"
อันมีอยู่ "ในปัจจุบัน" ไม่ต้องสาวไปในที่อื่น
ทำความเห็นว่า
จะเกิดมาจากเหตุอะไรก็ตาม
ให้กำหนดจดจ้องดู "อยู่แต่ปัจจุบัน"
ให้พิจารณา "ความเสื่อมไป" ของเวทนานั้น
ให้เพ่งดู "ความดับ" ของเวทนานั้น
ทำความรู้ไว้ว่า
เวทนานี้มีแต่ "ความเกิดและความดับ"
ความทำลายถ่ายเทกันไปด้วยประการต่าง ๆ
"หาเป็นแก่นสารไม่"
เมื่อใครทำได้ด้วยอาการเช่นนี้
จึงเรียกว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ใน "เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน"
ย่อมเป็น "องค์มรรคสมังคี" อยู่ในที่นั้น
ถ้าจะย่นให้เป็น "องค์มรรค" ต้องย่นอย่างนี้ คือ
"สัมปชัญญะ" ความรู้ดี
คอยประคองจิตอยู่ ทำความรู้ตัวอยู่
ไม่ปล่อยจิตของตนให้แล่นไปสู่อกุศล
ทำจิตของตนให้เป็นปรกติอยู่ นี้เรียกว่า "ศีล"
"สติ" คอยประสาน "จิตกับอารมณ์"
ไม่ให้คลาดเคลื่อนไปสู่อารมณ์อื่น
นี้เรียกว่า "สมาธิ"
"อาตาปี" ความเพียรเพ่งพิจารณาในอารมณ์นั้น ๆ
ให้รู้แจ้ง เห็นจริง รู้ได้ทั้งความเกิดความดับ นี้เรียกว่า "ปัญญา"
..
ท่านพ่อลี ธัมมธโร
ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา
อันมีอยู่ "ในปัจจุบัน" ไม่ต้องสาวไปในที่อื่น
ทำความเห็นว่า
จะเกิดมาจากเหตุอะไรก็ตาม
ให้กำหนดจดจ้องดู "อยู่แต่ปัจจุบัน"
ให้พิจารณา "ความเสื่อมไป" ของเวทนานั้น
ให้เพ่งดู "ความดับ" ของเวทนานั้น
ทำความรู้ไว้ว่า
เวทนานี้มีแต่ "ความเกิดและความดับ"
ความทำลายถ่ายเทกันไปด้วยประการต่าง ๆ
"หาเป็นแก่นสารไม่"
เมื่อใครทำได้ด้วยอาการเช่นนี้
จึงเรียกว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ใน "เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน"
ย่อมเป็น "องค์มรรคสมังคี" อยู่ในที่นั้น
ถ้าจะย่นให้เป็น "องค์มรรค" ต้องย่นอย่างนี้ คือ
"สัมปชัญญะ" ความรู้ดี
คอยประคองจิตอยู่ ทำความรู้ตัวอยู่
ไม่ปล่อยจิตของตนให้แล่นไปสู่อกุศล
ทำจิตของตนให้เป็นปรกติอยู่ นี้เรียกว่า "ศีล"
"สติ" คอยประสาน "จิตกับอารมณ์"
ไม่ให้คลาดเคลื่อนไปสู่อารมณ์อื่น
นี้เรียกว่า "สมาธิ"
"อาตาปี" ความเพียรเพ่งพิจารณาในอารมณ์นั้น ๆ
ให้รู้แจ้ง เห็นจริง รู้ได้ทั้งความเกิดความดับ นี้เรียกว่า "ปัญญา"
..
ท่านพ่อลี ธัมมธโร