สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
ผมมีความเห็นว่า ..ศาสนาพุทธ วันนี้ ก็ยังถือว่าโชคดีที่ยังมีสิ่งที่พุทธองค์ทรงฝากไว้ อย่างน้อยก็มี อุบาสก,อุบาสิกา ซึ่งก็คือเรา ๆ ทั้งหลายที่จะได้ช่วยกันป้องปรามปกป้องพระศาสนาที่อาจเสื่อมสลายไปเพราะ เหล่า "เหลือบศาสนา" ที่แฝงมากับคราบของคนห่มเหลือง หรือ "อลัชชี" และพวกที่ "กำลังจะเป็น"
ผมเชื่อว่า มหาเถรสมาคม ถึงเวลาแบบ "เสื่อมสนิท..ศาสนศิษย์ส่ายหน้า" เรียบร้อยแล้ว!
ดังนั้น เมื่อมีขึ้น..ตั้งอยู่...เสื่อมแล้ว ก็จำเป็นต้องถูกเปลี่ยนรื้อกันอย่างจริงจัง และเชื่อว่าอย่างเร็วสุดก็คงหลังจากที่ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการกับกรณี "ธัมมชโย" แล้วเสร็จ
การบิดเบือนพระวินัยนั้น ทั้งที่หลายรูปต่างประกาศว่าตนเองคือ "สมณะศากยปุตริยะ" ซึ่งพุทธองค์ทรงยกให้เป็นดั่งบุตรในธรรมแห่งพระองค์ แต่กลับกระทำย่ำยีพระวินัยที่เป็นเสมือนหนึ่งเครื่องร้อยรัดความเป็น "ภิกขุ" ให้ดำรงตนอย่างสง่างามสมความเป็นพุทธบุตรของตนทิ้งเสียอย่างน่าเวทนา พร้อมกับไปคว้าเอา กิเลสตัณหา ความอยากมีอยากได้ซึ่งยศถาและพวกพ้องมาเป็นเครื่องเสวยเสพสุข... เหล่านี้จึงถึงเวลา สังคายนาองค์กร อย่างสิ้นเชิง
ถึงเวลาที่ควรจะยกเลิก "มหาเถรสมาคม" ทิ้งไปแบบไม่น่าเสียดาย!!
ภิกษุ.........ทำตัวเป็นดั่งหมอดูผู้วิเศษ รู้เห็นโลกนี้โลกหน้า เห็นกรรมชาตินี้ชาติหน้า... ทำนายทายทัก อวดอุตริรู้ว่าตนมีอภิญญา
ภิกษุ........ สันดานกา แอบกิน..แอบฉก ทั้งในที่ลับที่แจ้ง เสพเมถุน...เล่นหุ้น...ส่ำส่อน
ภิกษุ........ ทำมาค้าขาย เสกเป่าพรวด ๆ พรมน้ำมนต์...พ่นน้ำหมาก เจิมหน้าเจิมหลัง เสกของขลังไม่เว้นแม้นกาลามัง
ภิกษุ....... สั่งสมเงินทองทรัพย์สิน เงินทองล้นแบงค์ รถราส่วนตัว มีปกติชีวิตเสพสุข ทิ้งนิสสัยสี่ เพราะอาศัยอามิสจากกิจนิมนต์เป็นอาชีพ
ภิกษุ........ ฯลฯ
นี่คือ ความเสื่อมที่ ภิกษุ ทำตัวเอง........... ไม่ได้มีใครจะมุ่งร้ายทำลายแบบที่ กำลังออกมาเย้ว ๆ ฟ้องโลก!
แม้น คุณ ศ.ศิวลักษณ์ จะมีความเห็นว่าควรกลับไปใช้การปกครองแบบเดิม ก่อนยุคจอมพลสฤษฎ์ แต่ผมกลับเห็นว่า เพื่อให้สอดรับและเป็นไปตามพุทธองค์ทรงฝาก เราควรจะมีองค์กรที่เรียกว่า "พุทธบริษัทสี่สมาคม" เข้ามาแทน "มหาเถรสมาคม"
ไอ้ที่พยายามจะบอกว่า เรื่องของสงฆ์ ..สงฆ์จัดการกันเองนั้น มันเป็นเรื่องน่าขัน..... เพราะทุกวันนี้ ภิกษุต้องระลึกว่า การเข้าถึงอาชีพขอทานอย่างที่พุทธองค์ทรงบอกนั้น มันน่าจะบอกนัยยะให้เหล่า สงฆ์ ได้เข้าใจว่า ถ้าคฤหัสถ์ไม่เลี้ยงดูภิกขุด้วยเอื้อเฟื้อ ปัจจัยสี่ อาตมาก็จะอาศัยปัจจัยห้าจากกิจนิมนต์ปัจจยตังค์อย่างเดียวก็ได้หรือไรขอรับ?
พระมหากษัตริย์นับแต่โบราณกาล..ทรงชุบเลี้ยงเหล่าภิกขุ ด้วยเลื่อมใสในพุทธองค์ ศรัทธาในพุทธศาสนา และฝากฝังศาสนาไว้กับเหล่าภิกษุ ซึ่งเชี่ยวชาญและรู้รอบธรรมะกว่า และทรงตระหนักถึง ศาสนา ที่จะเป็นหนึ่งในเสาหลักความมั่นคงแห่งรัฐไปพร้อม ๆ กับ พลังอำนาจทางการทหารที่จะปกป้องข้าศึกศัตรู และทรงเล็งเห็นว่าพระไตรปิฎก ที่จารเป็นภาษาบาลี... คนไทยไม่เชี่ยวชาญ อ่านไม่ออก บอกไม่เข้าใจ พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตจึงทรงมีพระเมตตาส่งเหล่าภิกขุไทยไปหัดเรียนเขียนอ่านภาษาบาลี ให้เชี่ยวชาญ เพื่อจะได้กลับมา..อธิบายสาระในพระไตรปิฎกให้คนไทยได้เรียนรู้เข้าใจ และนำมาสอนสั่งเพื่อให้เราชาวพุทธได้เห็น,เข้าใจและเรียนรู้ในสิ่งสำคัญที่ทรงสอนไว้อย่างแจ้งชัด
แต่กลับเป็นว่า ภิกขุ เรียนรู้บาลี ..เชี่ยวชาญทั้งอ่านเขียน นอกจากจะแปลแล้ว สิ่งที่ตามมาและเป็นอันตรายก็คือการเขียน แต่งเติมเข้าไป!
ดังนั้น....เมืองไทยเราจึงมี พระคาถา สวดมันสารพัน ...ตั้งแต่ ออกนอกบ้าน..เดินป่า...มหาเสน่ห์ คาถาบูชาโน่นนั่น กัน เพราะ "คำแต่ง"
ชาวบ้านก็เข้าใจผิดคิดว่า...นั่นคือ "คำของพุทธเจ้า" และต้องเป็นคำศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิปาฎิหารย์ได้
ทั้ง ๆ ต้นแบบแห่งหนนั้น พุทธองค์ท่านทรงระบุชัดว่าพระสูตรหรือสิ่งที่ทรงสอนนั้น ให้ใช้ภาษาบาลีเท่านั้น เพื่อมิให้มีการบิดเบือนหรือแปลไปเป็นภาษาอื่น จนสาระสำคัญที่ทรงสอนเปลี่ยนไปกลายเป็นอย่างอื่น แล้วสุดท้ายก็เป็นจริง !
เพราะแม้นจะเรียนเขียนอ่านบาลีเป็น..แต่ก็แปลกันผิด จนตีความพระไตรปิฎกจากที่มาเดียวกันไปคนละทิศละทาง....เราจึงได้ นิกายต่างๆ ทั้งจีนนิกาย...วัชรยาน..เถรวาท ฯลฯ
และด้วยศรัทธาปสาทะ ที่สถาบันกษัตริย์ทรงเชิดชูพระศาสนา ด้วยการมอบพัดยศ ไว้เป็นเครื่องหมายเชิดชูความเป็น "พุทธบุตร" แต่กลับกลายเป็นนำไปใช้เป็นเรื่องของ ตำแหน่งแห่งที่และใช้สำหรับแสวงหาลาภสักการะ กันจนเสียผู้เสียคน อย่างไม่เข้าใจมาจนบัดนี้
โบราณจารย์ ท่านเคยรจนาไว้ ว่า "ยศช้าง..ขุนนางพระ" นั้นคือ ความว่างเปล่า หาสาระมิได้
เพราะ ช้างศึกในอดีต แม้นจะมีทรงมีพระเมตตาเห็นคุณค่า..ผ่านรบราข้าศึกมาด้วยกัน โดยแต่งตั้งให้เป็นถึงชั้น "เจ้าพระยา" แต่ช้างก็ยังเป็นช้าง หาได้สำเหนียกหรือชื่นชมในยศถานั้นไม่
ส่วนภิกษุนั้นเล่าก็เช่น...ผู้เฝ้าปรารถนาปลดเปลื้องอาสวะกิเลส จะมีรูปใดเล่ามายึดติดหลงไหลไปกับ ยศถา
สิ่งเปรียบเปรียในอดีต เห็นชัดว่าปัจจุบันนี้ ช้างก็ยังเป็น "ช้าง" เหมือนเดิม.... .....
แต่ พระ นี่ เปลี่ยน!!.... เพราะ "มันติดใจซะแล้วละโยม!"
ผมเชื่อว่า มหาเถรสมาคม ถึงเวลาแบบ "เสื่อมสนิท..ศาสนศิษย์ส่ายหน้า" เรียบร้อยแล้ว!
ดังนั้น เมื่อมีขึ้น..ตั้งอยู่...เสื่อมแล้ว ก็จำเป็นต้องถูกเปลี่ยนรื้อกันอย่างจริงจัง และเชื่อว่าอย่างเร็วสุดก็คงหลังจากที่ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการกับกรณี "ธัมมชโย" แล้วเสร็จ
การบิดเบือนพระวินัยนั้น ทั้งที่หลายรูปต่างประกาศว่าตนเองคือ "สมณะศากยปุตริยะ" ซึ่งพุทธองค์ทรงยกให้เป็นดั่งบุตรในธรรมแห่งพระองค์ แต่กลับกระทำย่ำยีพระวินัยที่เป็นเสมือนหนึ่งเครื่องร้อยรัดความเป็น "ภิกขุ" ให้ดำรงตนอย่างสง่างามสมความเป็นพุทธบุตรของตนทิ้งเสียอย่างน่าเวทนา พร้อมกับไปคว้าเอา กิเลสตัณหา ความอยากมีอยากได้ซึ่งยศถาและพวกพ้องมาเป็นเครื่องเสวยเสพสุข... เหล่านี้จึงถึงเวลา สังคายนาองค์กร อย่างสิ้นเชิง
ถึงเวลาที่ควรจะยกเลิก "มหาเถรสมาคม" ทิ้งไปแบบไม่น่าเสียดาย!!
ภิกษุ.........ทำตัวเป็นดั่งหมอดูผู้วิเศษ รู้เห็นโลกนี้โลกหน้า เห็นกรรมชาตินี้ชาติหน้า... ทำนายทายทัก อวดอุตริรู้ว่าตนมีอภิญญา
ภิกษุ........ สันดานกา แอบกิน..แอบฉก ทั้งในที่ลับที่แจ้ง เสพเมถุน...เล่นหุ้น...ส่ำส่อน
ภิกษุ........ ทำมาค้าขาย เสกเป่าพรวด ๆ พรมน้ำมนต์...พ่นน้ำหมาก เจิมหน้าเจิมหลัง เสกของขลังไม่เว้นแม้นกาลามัง
ภิกษุ....... สั่งสมเงินทองทรัพย์สิน เงินทองล้นแบงค์ รถราส่วนตัว มีปกติชีวิตเสพสุข ทิ้งนิสสัยสี่ เพราะอาศัยอามิสจากกิจนิมนต์เป็นอาชีพ
ภิกษุ........ ฯลฯ
นี่คือ ความเสื่อมที่ ภิกษุ ทำตัวเอง........... ไม่ได้มีใครจะมุ่งร้ายทำลายแบบที่ กำลังออกมาเย้ว ๆ ฟ้องโลก!
แม้น คุณ ศ.ศิวลักษณ์ จะมีความเห็นว่าควรกลับไปใช้การปกครองแบบเดิม ก่อนยุคจอมพลสฤษฎ์ แต่ผมกลับเห็นว่า เพื่อให้สอดรับและเป็นไปตามพุทธองค์ทรงฝาก เราควรจะมีองค์กรที่เรียกว่า "พุทธบริษัทสี่สมาคม" เข้ามาแทน "มหาเถรสมาคม"
ไอ้ที่พยายามจะบอกว่า เรื่องของสงฆ์ ..สงฆ์จัดการกันเองนั้น มันเป็นเรื่องน่าขัน..... เพราะทุกวันนี้ ภิกษุต้องระลึกว่า การเข้าถึงอาชีพขอทานอย่างที่พุทธองค์ทรงบอกนั้น มันน่าจะบอกนัยยะให้เหล่า สงฆ์ ได้เข้าใจว่า ถ้าคฤหัสถ์ไม่เลี้ยงดูภิกขุด้วยเอื้อเฟื้อ ปัจจัยสี่ อาตมาก็จะอาศัยปัจจัยห้าจากกิจนิมนต์ปัจจยตังค์อย่างเดียวก็ได้หรือไรขอรับ?
พระมหากษัตริย์นับแต่โบราณกาล..ทรงชุบเลี้ยงเหล่าภิกขุ ด้วยเลื่อมใสในพุทธองค์ ศรัทธาในพุทธศาสนา และฝากฝังศาสนาไว้กับเหล่าภิกษุ ซึ่งเชี่ยวชาญและรู้รอบธรรมะกว่า และทรงตระหนักถึง ศาสนา ที่จะเป็นหนึ่งในเสาหลักความมั่นคงแห่งรัฐไปพร้อม ๆ กับ พลังอำนาจทางการทหารที่จะปกป้องข้าศึกศัตรู และทรงเล็งเห็นว่าพระไตรปิฎก ที่จารเป็นภาษาบาลี... คนไทยไม่เชี่ยวชาญ อ่านไม่ออก บอกไม่เข้าใจ พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตจึงทรงมีพระเมตตาส่งเหล่าภิกขุไทยไปหัดเรียนเขียนอ่านภาษาบาลี ให้เชี่ยวชาญ เพื่อจะได้กลับมา..อธิบายสาระในพระไตรปิฎกให้คนไทยได้เรียนรู้เข้าใจ และนำมาสอนสั่งเพื่อให้เราชาวพุทธได้เห็น,เข้าใจและเรียนรู้ในสิ่งสำคัญที่ทรงสอนไว้อย่างแจ้งชัด
แต่กลับเป็นว่า ภิกขุ เรียนรู้บาลี ..เชี่ยวชาญทั้งอ่านเขียน นอกจากจะแปลแล้ว สิ่งที่ตามมาและเป็นอันตรายก็คือการเขียน แต่งเติมเข้าไป!
ดังนั้น....เมืองไทยเราจึงมี พระคาถา สวดมันสารพัน ...ตั้งแต่ ออกนอกบ้าน..เดินป่า...มหาเสน่ห์ คาถาบูชาโน่นนั่น กัน เพราะ "คำแต่ง"
ชาวบ้านก็เข้าใจผิดคิดว่า...นั่นคือ "คำของพุทธเจ้า" และต้องเป็นคำศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิปาฎิหารย์ได้
ทั้ง ๆ ต้นแบบแห่งหนนั้น พุทธองค์ท่านทรงระบุชัดว่าพระสูตรหรือสิ่งที่ทรงสอนนั้น ให้ใช้ภาษาบาลีเท่านั้น เพื่อมิให้มีการบิดเบือนหรือแปลไปเป็นภาษาอื่น จนสาระสำคัญที่ทรงสอนเปลี่ยนไปกลายเป็นอย่างอื่น แล้วสุดท้ายก็เป็นจริง !
เพราะแม้นจะเรียนเขียนอ่านบาลีเป็น..แต่ก็แปลกันผิด จนตีความพระไตรปิฎกจากที่มาเดียวกันไปคนละทิศละทาง....เราจึงได้ นิกายต่างๆ ทั้งจีนนิกาย...วัชรยาน..เถรวาท ฯลฯ
และด้วยศรัทธาปสาทะ ที่สถาบันกษัตริย์ทรงเชิดชูพระศาสนา ด้วยการมอบพัดยศ ไว้เป็นเครื่องหมายเชิดชูความเป็น "พุทธบุตร" แต่กลับกลายเป็นนำไปใช้เป็นเรื่องของ ตำแหน่งแห่งที่และใช้สำหรับแสวงหาลาภสักการะ กันจนเสียผู้เสียคน อย่างไม่เข้าใจมาจนบัดนี้
โบราณจารย์ ท่านเคยรจนาไว้ ว่า "ยศช้าง..ขุนนางพระ" นั้นคือ ความว่างเปล่า หาสาระมิได้
เพราะ ช้างศึกในอดีต แม้นจะมีทรงมีพระเมตตาเห็นคุณค่า..ผ่านรบราข้าศึกมาด้วยกัน โดยแต่งตั้งให้เป็นถึงชั้น "เจ้าพระยา" แต่ช้างก็ยังเป็นช้าง หาได้สำเหนียกหรือชื่นชมในยศถานั้นไม่
ส่วนภิกษุนั้นเล่าก็เช่น...ผู้เฝ้าปรารถนาปลดเปลื้องอาสวะกิเลส จะมีรูปใดเล่ามายึดติดหลงไหลไปกับ ยศถา
สิ่งเปรียบเปรียในอดีต เห็นชัดว่าปัจจุบันนี้ ช้างก็ยังเป็น "ช้าง" เหมือนเดิม.... .....
แต่ พระ นี่ เปลี่ยน!!.... เพราะ "มันติดใจซะแล้วละโยม!"
แสดงความคิดเห็น
มหาเถระสมาคม ลงมติ ธมฺมชโย ไม่ปาราชิก เป็นการตะแบงพระวินัย เพื่อนๆ พันทิป คิดเห็นอย่างไร?
เพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกท่าน เห็นบทความนี้แล้ว คิดเห็นประการใด