ริษยาซ่อนร่าง ตอนที่ 11 ไพ่ยิปซีใบสุดท้าย...ไพ่ Death
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ความเดิม
..................................................................
กรี๊ดดดดด
โดยไม่คาดฝัน ร่างของแสงสินีส่งเสียงกรีดร้องราวเจ็บปวดแสนสาหัส แล้วทะลึ่งตัวพรวดลุกขึ้นยืนจังก้า คนที่นั่งเบียดชิดติดกับเธอพากันกระเด้งตัวออกห่างอย่างตื่นตกใจ ร่างหญิงสาวยืนตัวแข็งเกร็งราวหุ่นแกะสลัก ใบหน้าสวยคมขณะนี้บึ้งตึงสายตาแข็งกร้าวประกอบด้วยแสงสีเขียวเรื่อเรือง ประสานจ้องเขม็งกับหมออาคมขลังซึ่งผงาดลุกขึ้นยืนประจันหน้าเช่นกัน
..................................................................
ในวินาทีแตกหัก ปีศาจร้ายและหมออาคมยืนประจันหน้าห่างกันไม่มากนัก ท่ามกลางสายตาตกใจผสานงุนงงของทุกคนที่เหลือ ต่างพากันผละออกห่างจากทนายความสาว เอกกวีถือผ้ายันต์ค้างตะลึงมองหญิงคนรักอย่างทำอะไรไม่ถูก หมออินทรเห็นดังนั้นจึงร้องบอก
"รีบเอาผ้ายันต์คลุมตัวมันให้ได้ ที่เห็นนั่นไม่ใช่คุณฝน แต่มันคือผีกะตายโหงในบ้านผีสิง”
คำบอกของหมอผีอินทรยิ่งทำให้เอกกวีตกใจยืนจังงัง เมื่อเห็นชายหนุ่มยังไม่ยอมทำตามที่บอก หมอไล่ผีจึงตัดสินใจบอกความจริงให้รู้
“ผีกะมันสิงกินร่างข้างในจนคุณฝนตายไปนานแล้ว แต่มันยังสวมร่างเธออยู่ สร้อยพระที่ห้อยคอเธอกักตัวมันไว้ไม่ให้หนีไปสิงร่างใครได้อีก ส่วนผีคุณแก้มออกจากร่างนี้ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หากอยากช่วยให้คุณฝนไปผุดไปเกิด ต้องปราบมันทั้งยังอยู่ในร่างนี้ให้ได้ เอาผ้ายันต์คลุมมันไว้ ทั้งมันและร่างตายซากของคุณฝนก็จะถูกทำลายไปพร้อมกัน ไม่งั้นเธอจะตกเป็นทาสมันตลอดไป"
สิ่งที่ได้ยินเกินจะรับได้ รำเพยยกมือขึ้นทาบอก ลมตีขึ้นเบื้องสูงจนต้องเรอออกมาดัง ๆ ก่อนม้วนร่างล้มลงกองกับพื้น มารดาของแสงสินีเป็นลมไปเสียแล้วคาเรื่องร้ายกาจ ซึ่งเธอได้ยินเต็มสองหูได้เห็นเต็มสองตา พวกผู้หญิงต่างผวาเข้าช่วยประคองร่างไร้สตินั้นไว้ ส่วนบรรดาผู้ชายพากันตื่นตัว เตรียมพร้อมระวังภัยจากนางปีศาจ ที่ขณะนี้กำลังสำแดงเดชต่อหน้าพวกตนอยู่อย่างน่าขวัญหาย
เอกกวียืนกระด้างนิ่งขึงเหมือนประสาทรับรู้เสียไป เขาคล้ายไม่ได้ยินอะไร บุรินทร์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ตัดสินใจแย่งผ้ายันต์กับด้ายแดงมาถือไว้เสียเอง ซึ่งวิศวกรหนุ่มก็ปล่อยมือให้เพื่อนโดยดี ราวสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
"ไอ้นี่ มุงวอนเสียแล้ว ไอ้หมอผีชั้นต่ำ" ทันใดเสียงแหบพร่าสั่นเครือของผู้หญิงแก่ ๆ ก็ดังออกมาจากริมฝีปากของแสงสินี
"กล้าดียังไงถึงมาลองดีกับกู มุงรู้จักกูน้อยไป กูนี่แหละเจ้าแม่คำเปี้ยแห่งเงินยางนคร"
ใบหน้าและน้ำเสียง ตลอดจนท่าทางของแสงสินีไม่ใช่สาวสวยคมขำคนเดิมอีกต่อไป มันทั้งแข็งกร้าวหยาบกระด้าง ทั้งแสดงออกถึงนิสัยกักขฬะโหดร้าย ดวงตาทั้งคู่ถลึงปูดโปน พูดจาด้วยริมฝีปากแยกแสยะยียวน ผิวหนังที่โผล่พ้นร่มผ้าเห็นริ้วรอยเหี่ยวย่นตกกระ มีจุดคล้ำเขียวเป็นจ้ำ ๆ ไปทั่วตัว
"เพราะรู้จักปีศาจชั่วอย่างแกดีฉันถึงมาที่นี่ไง นังผีกะตายโหง สร้างเวรสร้างกรรมไม่รู้จักจบสิ้นนะมุง เข้าบังคับขู่เข็ญดวงวิญญาณเดียวยังไม่พอ แอบสิงร่างกินเครื่องในคนเขาจนตาย แล้วยังเข้าสวมร่าง ควบคุมดวงวิญญาณให้เขาคอยรับใช้ อย่างนี้เมื่อไหร่วิญญาณชั่วอย่างแกถึงจะได้ไปผุดไปเกิดกับเขาเสียที ตกนรกขุมเดียวยังไม่พอ ผีชั่วอย่างแกคงตกไปอยู่ในโลกันตนรกสุดขอบจักรวาล"
"กูจะตกนรกหมกไหม้ขุมไหนมันก็เรื่องของกู มุงมายุ่งอะไรด้วย เก่งนักเรอะ ไอ้หมอผีกระจอก ลำพังข้าวสารกับน้ำมนต์บ้าน ๆ ของมุงจะทำอะไรกูได้ อยากตายก่อนถึงฆาตใช่ไหม กูจะช่วยหักคอพวกมุงให้หมดทุกคนเลย"
ผีร้ายในร่างหญิงสาวยกมือชี้หน้า ถลึงตาเข้าใส่หมอผีอย่างโกรธแค้น ก่อนกวาดสายตาสีเขียวเรืองแสงไปยังทุกใบหน้าของผู้คนในห้องนั้น
"คนพวกนี้เป็นคนดี เขาไม่ได้เที่ยวไปลบหลู่ดูถูกหรือท้าทายอะไรแกไม่ใช่เหรอ แล้วของเซ่นสรวงก็ยังหากินได้ตามบ้านเรือนที่เขาอยากเลี้ยงดูผีกะ แกควรไปอยู่กับคนเหล่านั้น มาเข้าสิงสู่มนุษย์ให้เป็นเวรเป็นกรรมอีกทำไม แกมันละเมิดพระสงฆ์องค์เจ้า ทำบาปกรรมไม่เว้นแม้แต่ในวัดในวา ซ้ำยังดูหมิ่นพระพุทธมนต์โทษของแกมีสถานเดียวคือตายดับจากโลกมนุษย์และวิญญาณ ไปห้อยอยู่ตรงขอบจักรวาลโน่น"
หมออินทรขู่ตะคอกด้วยน้ำเสียงดุดันแข็งกร้าว ปีศาจร้ายมีอาการตัวสั่นน้อย ๆ อยู่ชั่ววินาทีราวเกิดเกรงกลัวขึ้นมา แต่พริบตาเดียวมันกลับแสดงท่าทีดุร้าย ถลึงตาโปน ส่งเสียงกราดเกรี้ยวออกมาอีก
"ไอ้คนพวกนั้นมันเลี้ยงดูกูไม่ดี ปล่อยให้กูอดอยาก เอากูใส่หม้อทิ้งไว้บนคานไม่นับถือเซ่นไหว้ พอมันขายบ้านก็ทุบหม้อทิ้ง ปล่อยดวงจิตกูเร่ร่อนเที่ยวหากินของทิ้งเหลือเดน กับพวกซากอาจม พวกมันทำกูแค้นนัก อ้อ ไอ้อีพวกนี้เป็นคนดีงั้นเรอะ ฮ่า ฮ่า"
ผีกะในร่างแสงสินีหันมองกลุ่มคนที่ถอยไปเบียดกันอยู่มุมหนึ่งของห้องแล้วแหงนหน้าหัวเราะเยาะดังลั่น ก่อนหยุดกึกลงกะทันหัน ใบหน้าเคยสดสวยของทนายความสาวกลับมาถมุงทึง จ้องตาแข็งทื่อมายังหมอผีอินทร ใบหน้าของเธอขณะนี้แลดูเหมือนมีริ้วรอยยับย่นเกิดขึ้นมากมายบริเวณหน้าผาก หางตาและมุมปากทั้งสองข้างคล้ายผิวหนังคนแก่ ขอบตาดำคล้ำเปล่งประกายสีเขียวเรืองแสงสาดส่องออกมาจากหน่วยตาทั้งคู่ เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ขณะนี้ปีศาจที่สวมร่างของแสงสินีอยู่คือผีกะ ไม่ใช่ดวงวิญญาณของกวินตา
"นังคนดีนี่ มันแย่งคนรักของเพื่อนมันไม่ใช่เหรอ ก่อนนังแก้มจะผูกคอตายมันยอมให้กูเข้าสิงร่างเอง เพื่อมันจะได้แก้แค้นไอ้อีสองคนที่ทำให้มันเจ็บใจ นังแก้มยอมกูเองนะเว้ย กูไม่ได้บังคับ มันสวดอ้อนวอนกู แล้วมันยังขอมาอยู่ด้วยกันกับนังฝน นังนี่มันก็ยอมเพื่อนเพราะใจอ่อน พอนังฝนรับปากให้นังแก้มอยู่ด้วย กูเลยได้อาหารจานเด็ด"
ใบหน้าสยองขวัญยักคิ้วหลิ่วตายียวนสลับกับแสยะยิ้มชวนสะพรึง เสียงจากผีร้ายแหบต่ำสั่นพร่า เขย่าเข้าไปในความรู้สึกของทุกคนให้อกสั่นขวัญแขวน
"มุงเข้าใจแล้วใช่ไหม เข้าใจแล้วก็หลีกไป ทางใครทางมันอย่ามาขวางทางกู ไม่เช่นนั้นวันนี้กูจะฆ่าพวกมุงให้หมดทุกคน สำหรับมุง วันนี้กูจะสั่งสอนให้รู้สำนึกว่าอย่าบังอาจมายุ่งกับกูอีก"
พูดจบผีร้ายก็อ้าปากกว้าง แยกเขี้ยว เดินย่างสามขุมเข้ามาหาหมอผี ซึ่งรีบก้มลงคว้าขันใส่ข้าวสารเสกขึ้นมาถือไว้แล้วก้าวถอยหลังหนี ก่อนวนออกไปข้าง ๆ
"มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกอีผีกะ ฟ้าส่งกูมาทำหน้าที่ และหน้าที่ของกูคือปราบแก" ขณะพูด หมอผีอินทรกำข้าวสารเสกไว้เต็มกำ ตาจ้องเขม็งเพื่อรอจังหวะ
ฉับพลัน ปีศาจในร่างแสงสินีก็ถลันพรวดเข้าหาหมอผีชราอย่างรวดเร็ว สองมือซึ่งมีเล็บงอกยื่นยาวกะทันหันเกร็งแข็ง กลายเป็นกรงเล็บกางออกหมายขยุ้มลำคอชายชรา หมอปราบผีดีดตัวหนีห่าง ก่อนซัดข้าวสารเสกเข้าใส่เต็มใบหน้าผีร้าย ได้ผล ร่างมันชะงักหยุดกึก หมอผีรีบก้มลงคว้าขันน้ำมนต์ขึ้นมาอีกขัน แล้วสาดโครมเข้าไปยังร่างน่ากลัวจนหมดขัน ร่างนางปีศาจเปียกโชกทั้งตัวด้วยน้ำลงอาคม
ทันทีนั้น เนื้อตัวของแสงสินีเกิดอาการสั่นกระตุกขึ้นสามสี่ครั้ง ศีรษะผงกหงึกหงักแล้วสะบัดไปมาซ้ายทีขวาที สองมือปัดป่ายไปตามเรือนร่าง ในที่สุดก็สะอึกอาเจียนเอาน้ำสีเขียว ๆ ปนแดงก่ำข้นคลั่กออกมาจนเลอะไปทั่วพื้น เปรอะเปื้อนริมฝีปากก่อนไหลย้อยยืดยาวน่าสะอิดสะเอียน ครั้นแล้วเสียงกรีดร้องอีกเสียงก็ดังออกมาจากร่างหญิงสาว
"ว้าย กรี๊ดดด เจ็บเหลือเกิน ปวดแสบปวดร้อนไปหมดแล้ว ช่วยด้วย เต้ยช่วยฝนด้วย พ่อแม่ช่วยฝนที ลุงป้าจ๋า...บอม อุ้ม แพม ช่วยฝนด้วย อย่าให้เขาทำร้ายฝนแบบนี้ กรี๊ดดดด เจ็บปวดทรมานทนไม่ไหวแล้ว"
เสียงนั้นทุกคนจำได้ว่าเป็นเสียงของแสงสินี ซึ่งมันได้กระตุ้นให้เอกกวีหายจากอาการตะลึงตัวแข็ง ชายหนุ่มถลันเข้าหาร่างสาวคนรักหมายใจจะช่วยเหลือเธอทันที แต่พ่อหมออินทรโดดขวางทาง พร้อมร้องห้ามเสียงเข้ม ก่อนท่องคาถาอีกบท
ยะนีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิวายานิวะ อันตะลิกเข สัพเพ วะภูตา สุมะนา ภะวัมตุ อะโถปิ สักกัจจะ สุณันตุ ภาสิตัง
ขณะพ่อหมอท่องคาถาขับผี ข้างนอกลมแรงยิ่งพัดกรรโชก เรือนไม้ถูกเขย่าจนสั่นไหวด้วยมือยักษ์ที่มองไม่เห็น ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องล้มระเนระนาด หญิงชายคนอื่น ๆ พากันล้มลุกคลุกคลาน ต้องช่วยฉุดดึงกันไว้ไม่ให้ล้มคว่ำคะมำหงาย
"คราวนี้แหละเหมาะแล้ว คุณหมอเอาผ้ายันต์คลุมตัวมันเร็วเข้า"
หมอผีเห็นเป็นโอกาสดีที่ผีร้ายเองก็คุกเข่าคลานสี่ขา ซวนเซไปมาอยู่บนพื้น จึงตะโกนบอกหมอหนุ่มซึ่งยืนถือผ้ายันต์ลังเล เพราะพยุงกายไม่ค่อยอยู่และหาโอกาสเหมาะไม่ได้
"อย่า"
เอกกวีร้องห้ามเสียงหลง ผวาเข้ายุดมือที่ถือผ้ายันต์ของเพื่อนหนุ่มเอาไว้
"อย่าพึ่งนะบอม ถ้าทำอย่างนั้น ร่างฝนจะแตกสลายไปด้วยไม่ได้ยินรึไง"
"เฮ้ย ร่างนั้นมันไม่ใช่คน แกก็เห็นอยู่คาตา พ่อหมอบอกว่าฝนตายไปนานแล้ว ที่เห็นนี่มันภาพลวงตา ผีกะมันหลอกเรา มันต้องการให้เราปล่อยมันไป"
"ไม่ใช่ผีกะ นี่ฝนเอง อย่าทำฝนนะบอม ฝนเจ็บ"
แสงสินีร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอล้มตัวลงนอนตะแคงบนพื้น เกลือกกลิ้งร่างไปมาบนกองของเหลวน่าขยะแขยง ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ร่ำร้องให้ช่วยอย่างน่าเวทนา ขณะนั้นเอง รำเพยซึ่งเป็นลมนอนอยู่ในอ้อมแขนของทิพย์วิภาก็ค่อย ๆ รู้สึกตัว มารดาของแสงสินีฟื้นขึ้นมาได้ยินและเห็นสภาพน่าอเนจอนาถของลูกสาวเข้าพอดี ใจผู้เป็นแม่ก็แทบแหลกสลายลงเดี๋ยวนั้น ต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกเอาไว้ เพราะหัวใจสั่นหวิวราวจะปลิดปลิวหลุดออกจากขั้ว เธอร้องไห้รำพันออกมาทันที
"ฝน โธ่ฝนลูกแม่ ทำไมเคราะห์ร้ายแบบนี้ ลูกฉันไม่ได้สร้างเวรสร้างกรรมอะไร ลูกฉันเป็นคนดี"
"แม่ แม่จ๋าอย่าให้เขาทำร้ายฝน ลูกเจ็บเหลือเกิน แม่ช่วยเอาสร้อยพระออกจากคอฝนที ให้ฝนหนีออกไปจากร่างนี้ก่อน อย่าให้เขาทำลายดวงวิญญาณฝนได้นะจ๊ะ"
แสงสินีหันมาอ้อนวอนมารดาน้ำตาไหลพราก พลางยื่นมือมาหาคล้ายขอความช่วยเหลือ ทั้งรำเพย ทิพย์วิภาและจรุงจิต กับเพื่อนสาวทั้งสองของเธอต่างกอดกันซุกหน้าร่ำไห้ ไม่อาจมองภาพน่าเวทนาของแสงสินีต่อไปได้ ด้วยรู้ดีว่า ร่างที่ออดอ้อนวิงวอนนั้น ไม่ใช่แสงสินีคนเดิมอีกแล้ว
"มารยานักนะนางปีศาจ อย่าไปหลงเชื่อมันครับ ถ้าหากถอดสร้อยพระออกมันก็จะหลบหนีออกจากร่างคุณฝนไป ทิ้งซากเธอไว้ แล้วไปเที่ยวสิงกินคนใหม่อีก คุณหมอ เอาผ้ายันต์คลุมบนตัวมันได้แล้ว"
หมอบุรินทร์อยากทำตามที่หมอผีบอก แต่ติดตรงมือเหนียวเป็นตุ๊กแกของเอกกวีที่ยื้อยุดมือเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
"อย่า อย่าบอม รอเดี๋ยว ฉันยังไม่แน่ใจ" วิศวกรหนุ่มขอร้องเพื่อนเสียงสั่นเครือ เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ สุดจะทำใจให้ยอมรับว่าแสงสินีได้ตายไปแล้ว
"ไม่แน่ใจอะไร ก็เห็น ๆ อยู่ ขนาดฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางแต่ตอนนี้เชื่อหมดใจแล้วโว้ย แค่โดนข้าวสารปากับโดนน้ำสาด คนธรรมดาจะไปบาดเจ็บอะไร แต่แกดูหน้าตาท่าทางฝนสิ ดูสิ่งที่ขย้อนออกมาสิ นี่มันไม่ใช่คนแล้ว" บุรินทร์พยายามดึงผ้ายันต์ยื้อแย่งกันกับเอกกวี
"ปล่อยมือเถอะเต้ย ให้ฝนได้ถูกปลดปล่อยเหมือนที่พ่อหมอท่านบอก"
ทรงศักดิ์บิดาของแสงสินีเตือนเอกกวีเสียงเศร้า เขาต้องระงับความโศกเศร้าเอาไว้อย่างยากเย็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่างเหมือนฝันร้าย ลูกสาวคนเก่งแสนสวยของเขาที่แท้ถูกผีร้ายเข้าสวมร่างมานานถึงสิบกว่าปี
"ไม่ ไม่ เต้ยทำไม่ได้" เอกกวีส่ายหน้าทั้งน้ำตา ยึดชายของผ้ายันต์ที่เหลือไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
"เอาล่ะ ถ้างั้นผมก็ไม่มีทางเลือก"
เมื่อเห็นเอกกวีขัดขวางเต็มที่แบบนั้น หมออินทรจึงก้มลงหยิบมีดหมอลงอาคมบนพื้นข้างตัวขึ้นมาถือไว้ แสงสินีเบิกตาโพลงจ้องเขม็ง ก่อนคำรามออกมาเป็นเสียงคนแก่
"จะใช้มีดหมอกับกูเหรอไอ้หมอรายาม มุงกับกูเห็นทีต้องแหลกกันไปข้างเสียแล้ว"
ฉับพลัน ร่างที่นอนคู้งออยู่ ก็กระเด้งตัวลุกขึ้นยืนจังก้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ ร่างแสงสินีไม่หลงเหลือมาดสาวสวยราวนางแบบของวันก่อน เธอยืนแยกขาหลังงอโก่งลง ศีรษะก้มต่ำเล็กน้อย สองตาเรืองแสงสีเขียวแวววาวจ้องอย่างมุ่งร้าย อ้าแขนสองข้างกางออก สยายกรงเล็บเห็นเล็บยาวเฟื้อย ใบหน้าแสยะแยกเขี้ยวขู่ ท่าทางเหมือนสัตว์ร้าย ก่อนกระโจนพุ่งเข้าใส่หมอผีชรา
(มีต่อ)
ริษยาซ่อนร่าง ตอนที่ 11 ไพ่ยิปซีใบสุดท้าย...ไพ่ Death
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ความเดิม
กรี๊ดดดดด
โดยไม่คาดฝัน ร่างของแสงสินีส่งเสียงกรีดร้องราวเจ็บปวดแสนสาหัส แล้วทะลึ่งตัวพรวดลุกขึ้นยืนจังก้า คนที่นั่งเบียดชิดติดกับเธอพากันกระเด้งตัวออกห่างอย่างตื่นตกใจ ร่างหญิงสาวยืนตัวแข็งเกร็งราวหุ่นแกะสลัก ใบหน้าสวยคมขณะนี้บึ้งตึงสายตาแข็งกร้าวประกอบด้วยแสงสีเขียวเรื่อเรือง ประสานจ้องเขม็งกับหมออาคมขลังซึ่งผงาดลุกขึ้นยืนประจันหน้าเช่นกัน
ในวินาทีแตกหัก ปีศาจร้ายและหมออาคมยืนประจันหน้าห่างกันไม่มากนัก ท่ามกลางสายตาตกใจผสานงุนงงของทุกคนที่เหลือ ต่างพากันผละออกห่างจากทนายความสาว เอกกวีถือผ้ายันต์ค้างตะลึงมองหญิงคนรักอย่างทำอะไรไม่ถูก หมออินทรเห็นดังนั้นจึงร้องบอก
"รีบเอาผ้ายันต์คลุมตัวมันให้ได้ ที่เห็นนั่นไม่ใช่คุณฝน แต่มันคือผีกะตายโหงในบ้านผีสิง”
คำบอกของหมอผีอินทรยิ่งทำให้เอกกวีตกใจยืนจังงัง เมื่อเห็นชายหนุ่มยังไม่ยอมทำตามที่บอก หมอไล่ผีจึงตัดสินใจบอกความจริงให้รู้
“ผีกะมันสิงกินร่างข้างในจนคุณฝนตายไปนานแล้ว แต่มันยังสวมร่างเธออยู่ สร้อยพระที่ห้อยคอเธอกักตัวมันไว้ไม่ให้หนีไปสิงร่างใครได้อีก ส่วนผีคุณแก้มออกจากร่างนี้ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หากอยากช่วยให้คุณฝนไปผุดไปเกิด ต้องปราบมันทั้งยังอยู่ในร่างนี้ให้ได้ เอาผ้ายันต์คลุมมันไว้ ทั้งมันและร่างตายซากของคุณฝนก็จะถูกทำลายไปพร้อมกัน ไม่งั้นเธอจะตกเป็นทาสมันตลอดไป"
สิ่งที่ได้ยินเกินจะรับได้ รำเพยยกมือขึ้นทาบอก ลมตีขึ้นเบื้องสูงจนต้องเรอออกมาดัง ๆ ก่อนม้วนร่างล้มลงกองกับพื้น มารดาของแสงสินีเป็นลมไปเสียแล้วคาเรื่องร้ายกาจ ซึ่งเธอได้ยินเต็มสองหูได้เห็นเต็มสองตา พวกผู้หญิงต่างผวาเข้าช่วยประคองร่างไร้สตินั้นไว้ ส่วนบรรดาผู้ชายพากันตื่นตัว เตรียมพร้อมระวังภัยจากนางปีศาจ ที่ขณะนี้กำลังสำแดงเดชต่อหน้าพวกตนอยู่อย่างน่าขวัญหาย
เอกกวียืนกระด้างนิ่งขึงเหมือนประสาทรับรู้เสียไป เขาคล้ายไม่ได้ยินอะไร บุรินทร์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ตัดสินใจแย่งผ้ายันต์กับด้ายแดงมาถือไว้เสียเอง ซึ่งวิศวกรหนุ่มก็ปล่อยมือให้เพื่อนโดยดี ราวสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
"ไอ้นี่ มุงวอนเสียแล้ว ไอ้หมอผีชั้นต่ำ" ทันใดเสียงแหบพร่าสั่นเครือของผู้หญิงแก่ ๆ ก็ดังออกมาจากริมฝีปากของแสงสินี
"กล้าดียังไงถึงมาลองดีกับกู มุงรู้จักกูน้อยไป กูนี่แหละเจ้าแม่คำเปี้ยแห่งเงินยางนคร"
ใบหน้าและน้ำเสียง ตลอดจนท่าทางของแสงสินีไม่ใช่สาวสวยคมขำคนเดิมอีกต่อไป มันทั้งแข็งกร้าวหยาบกระด้าง ทั้งแสดงออกถึงนิสัยกักขฬะโหดร้าย ดวงตาทั้งคู่ถลึงปูดโปน พูดจาด้วยริมฝีปากแยกแสยะยียวน ผิวหนังที่โผล่พ้นร่มผ้าเห็นริ้วรอยเหี่ยวย่นตกกระ มีจุดคล้ำเขียวเป็นจ้ำ ๆ ไปทั่วตัว
"เพราะรู้จักปีศาจชั่วอย่างแกดีฉันถึงมาที่นี่ไง นังผีกะตายโหง สร้างเวรสร้างกรรมไม่รู้จักจบสิ้นนะมุง เข้าบังคับขู่เข็ญดวงวิญญาณเดียวยังไม่พอ แอบสิงร่างกินเครื่องในคนเขาจนตาย แล้วยังเข้าสวมร่าง ควบคุมดวงวิญญาณให้เขาคอยรับใช้ อย่างนี้เมื่อไหร่วิญญาณชั่วอย่างแกถึงจะได้ไปผุดไปเกิดกับเขาเสียที ตกนรกขุมเดียวยังไม่พอ ผีชั่วอย่างแกคงตกไปอยู่ในโลกันตนรกสุดขอบจักรวาล"
"กูจะตกนรกหมกไหม้ขุมไหนมันก็เรื่องของกู มุงมายุ่งอะไรด้วย เก่งนักเรอะ ไอ้หมอผีกระจอก ลำพังข้าวสารกับน้ำมนต์บ้าน ๆ ของมุงจะทำอะไรกูได้ อยากตายก่อนถึงฆาตใช่ไหม กูจะช่วยหักคอพวกมุงให้หมดทุกคนเลย"
ผีร้ายในร่างหญิงสาวยกมือชี้หน้า ถลึงตาเข้าใส่หมอผีอย่างโกรธแค้น ก่อนกวาดสายตาสีเขียวเรืองแสงไปยังทุกใบหน้าของผู้คนในห้องนั้น
"คนพวกนี้เป็นคนดี เขาไม่ได้เที่ยวไปลบหลู่ดูถูกหรือท้าทายอะไรแกไม่ใช่เหรอ แล้วของเซ่นสรวงก็ยังหากินได้ตามบ้านเรือนที่เขาอยากเลี้ยงดูผีกะ แกควรไปอยู่กับคนเหล่านั้น มาเข้าสิงสู่มนุษย์ให้เป็นเวรเป็นกรรมอีกทำไม แกมันละเมิดพระสงฆ์องค์เจ้า ทำบาปกรรมไม่เว้นแม้แต่ในวัดในวา ซ้ำยังดูหมิ่นพระพุทธมนต์โทษของแกมีสถานเดียวคือตายดับจากโลกมนุษย์และวิญญาณ ไปห้อยอยู่ตรงขอบจักรวาลโน่น"
หมออินทรขู่ตะคอกด้วยน้ำเสียงดุดันแข็งกร้าว ปีศาจร้ายมีอาการตัวสั่นน้อย ๆ อยู่ชั่ววินาทีราวเกิดเกรงกลัวขึ้นมา แต่พริบตาเดียวมันกลับแสดงท่าทีดุร้าย ถลึงตาโปน ส่งเสียงกราดเกรี้ยวออกมาอีก
"ไอ้คนพวกนั้นมันเลี้ยงดูกูไม่ดี ปล่อยให้กูอดอยาก เอากูใส่หม้อทิ้งไว้บนคานไม่นับถือเซ่นไหว้ พอมันขายบ้านก็ทุบหม้อทิ้ง ปล่อยดวงจิตกูเร่ร่อนเที่ยวหากินของทิ้งเหลือเดน กับพวกซากอาจม พวกมันทำกูแค้นนัก อ้อ ไอ้อีพวกนี้เป็นคนดีงั้นเรอะ ฮ่า ฮ่า"
ผีกะในร่างแสงสินีหันมองกลุ่มคนที่ถอยไปเบียดกันอยู่มุมหนึ่งของห้องแล้วแหงนหน้าหัวเราะเยาะดังลั่น ก่อนหยุดกึกลงกะทันหัน ใบหน้าเคยสดสวยของทนายความสาวกลับมาถมุงทึง จ้องตาแข็งทื่อมายังหมอผีอินทร ใบหน้าของเธอขณะนี้แลดูเหมือนมีริ้วรอยยับย่นเกิดขึ้นมากมายบริเวณหน้าผาก หางตาและมุมปากทั้งสองข้างคล้ายผิวหนังคนแก่ ขอบตาดำคล้ำเปล่งประกายสีเขียวเรืองแสงสาดส่องออกมาจากหน่วยตาทั้งคู่ เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ขณะนี้ปีศาจที่สวมร่างของแสงสินีอยู่คือผีกะ ไม่ใช่ดวงวิญญาณของกวินตา
"นังคนดีนี่ มันแย่งคนรักของเพื่อนมันไม่ใช่เหรอ ก่อนนังแก้มจะผูกคอตายมันยอมให้กูเข้าสิงร่างเอง เพื่อมันจะได้แก้แค้นไอ้อีสองคนที่ทำให้มันเจ็บใจ นังแก้มยอมกูเองนะเว้ย กูไม่ได้บังคับ มันสวดอ้อนวอนกู แล้วมันยังขอมาอยู่ด้วยกันกับนังฝน นังนี่มันก็ยอมเพื่อนเพราะใจอ่อน พอนังฝนรับปากให้นังแก้มอยู่ด้วย กูเลยได้อาหารจานเด็ด"
ใบหน้าสยองขวัญยักคิ้วหลิ่วตายียวนสลับกับแสยะยิ้มชวนสะพรึง เสียงจากผีร้ายแหบต่ำสั่นพร่า เขย่าเข้าไปในความรู้สึกของทุกคนให้อกสั่นขวัญแขวน
"มุงเข้าใจแล้วใช่ไหม เข้าใจแล้วก็หลีกไป ทางใครทางมันอย่ามาขวางทางกู ไม่เช่นนั้นวันนี้กูจะฆ่าพวกมุงให้หมดทุกคน สำหรับมุง วันนี้กูจะสั่งสอนให้รู้สำนึกว่าอย่าบังอาจมายุ่งกับกูอีก"
พูดจบผีร้ายก็อ้าปากกว้าง แยกเขี้ยว เดินย่างสามขุมเข้ามาหาหมอผี ซึ่งรีบก้มลงคว้าขันใส่ข้าวสารเสกขึ้นมาถือไว้แล้วก้าวถอยหลังหนี ก่อนวนออกไปข้าง ๆ
"มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกอีผีกะ ฟ้าส่งกูมาทำหน้าที่ และหน้าที่ของกูคือปราบแก" ขณะพูด หมอผีอินทรกำข้าวสารเสกไว้เต็มกำ ตาจ้องเขม็งเพื่อรอจังหวะ
ฉับพลัน ปีศาจในร่างแสงสินีก็ถลันพรวดเข้าหาหมอผีชราอย่างรวดเร็ว สองมือซึ่งมีเล็บงอกยื่นยาวกะทันหันเกร็งแข็ง กลายเป็นกรงเล็บกางออกหมายขยุ้มลำคอชายชรา หมอปราบผีดีดตัวหนีห่าง ก่อนซัดข้าวสารเสกเข้าใส่เต็มใบหน้าผีร้าย ได้ผล ร่างมันชะงักหยุดกึก หมอผีรีบก้มลงคว้าขันน้ำมนต์ขึ้นมาอีกขัน แล้วสาดโครมเข้าไปยังร่างน่ากลัวจนหมดขัน ร่างนางปีศาจเปียกโชกทั้งตัวด้วยน้ำลงอาคม
ทันทีนั้น เนื้อตัวของแสงสินีเกิดอาการสั่นกระตุกขึ้นสามสี่ครั้ง ศีรษะผงกหงึกหงักแล้วสะบัดไปมาซ้ายทีขวาที สองมือปัดป่ายไปตามเรือนร่าง ในที่สุดก็สะอึกอาเจียนเอาน้ำสีเขียว ๆ ปนแดงก่ำข้นคลั่กออกมาจนเลอะไปทั่วพื้น เปรอะเปื้อนริมฝีปากก่อนไหลย้อยยืดยาวน่าสะอิดสะเอียน ครั้นแล้วเสียงกรีดร้องอีกเสียงก็ดังออกมาจากร่างหญิงสาว
"ว้าย กรี๊ดดด เจ็บเหลือเกิน ปวดแสบปวดร้อนไปหมดแล้ว ช่วยด้วย เต้ยช่วยฝนด้วย พ่อแม่ช่วยฝนที ลุงป้าจ๋า...บอม อุ้ม แพม ช่วยฝนด้วย อย่าให้เขาทำร้ายฝนแบบนี้ กรี๊ดดดด เจ็บปวดทรมานทนไม่ไหวแล้ว"
เสียงนั้นทุกคนจำได้ว่าเป็นเสียงของแสงสินี ซึ่งมันได้กระตุ้นให้เอกกวีหายจากอาการตะลึงตัวแข็ง ชายหนุ่มถลันเข้าหาร่างสาวคนรักหมายใจจะช่วยเหลือเธอทันที แต่พ่อหมออินทรโดดขวางทาง พร้อมร้องห้ามเสียงเข้ม ก่อนท่องคาถาอีกบท
ยะนีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิวายานิวะ อันตะลิกเข สัพเพ วะภูตา สุมะนา ภะวัมตุ อะโถปิ สักกัจจะ สุณันตุ ภาสิตัง
ขณะพ่อหมอท่องคาถาขับผี ข้างนอกลมแรงยิ่งพัดกรรโชก เรือนไม้ถูกเขย่าจนสั่นไหวด้วยมือยักษ์ที่มองไม่เห็น ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องล้มระเนระนาด หญิงชายคนอื่น ๆ พากันล้มลุกคลุกคลาน ต้องช่วยฉุดดึงกันไว้ไม่ให้ล้มคว่ำคะมำหงาย
"คราวนี้แหละเหมาะแล้ว คุณหมอเอาผ้ายันต์คลุมตัวมันเร็วเข้า"
หมอผีเห็นเป็นโอกาสดีที่ผีร้ายเองก็คุกเข่าคลานสี่ขา ซวนเซไปมาอยู่บนพื้น จึงตะโกนบอกหมอหนุ่มซึ่งยืนถือผ้ายันต์ลังเล เพราะพยุงกายไม่ค่อยอยู่และหาโอกาสเหมาะไม่ได้
"อย่า"
เอกกวีร้องห้ามเสียงหลง ผวาเข้ายุดมือที่ถือผ้ายันต์ของเพื่อนหนุ่มเอาไว้
"อย่าพึ่งนะบอม ถ้าทำอย่างนั้น ร่างฝนจะแตกสลายไปด้วยไม่ได้ยินรึไง"
"เฮ้ย ร่างนั้นมันไม่ใช่คน แกก็เห็นอยู่คาตา พ่อหมอบอกว่าฝนตายไปนานแล้ว ที่เห็นนี่มันภาพลวงตา ผีกะมันหลอกเรา มันต้องการให้เราปล่อยมันไป"
"ไม่ใช่ผีกะ นี่ฝนเอง อย่าทำฝนนะบอม ฝนเจ็บ"
แสงสินีร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอล้มตัวลงนอนตะแคงบนพื้น เกลือกกลิ้งร่างไปมาบนกองของเหลวน่าขยะแขยง ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ร่ำร้องให้ช่วยอย่างน่าเวทนา ขณะนั้นเอง รำเพยซึ่งเป็นลมนอนอยู่ในอ้อมแขนของทิพย์วิภาก็ค่อย ๆ รู้สึกตัว มารดาของแสงสินีฟื้นขึ้นมาได้ยินและเห็นสภาพน่าอเนจอนาถของลูกสาวเข้าพอดี ใจผู้เป็นแม่ก็แทบแหลกสลายลงเดี๋ยวนั้น ต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกเอาไว้ เพราะหัวใจสั่นหวิวราวจะปลิดปลิวหลุดออกจากขั้ว เธอร้องไห้รำพันออกมาทันที
"ฝน โธ่ฝนลูกแม่ ทำไมเคราะห์ร้ายแบบนี้ ลูกฉันไม่ได้สร้างเวรสร้างกรรมอะไร ลูกฉันเป็นคนดี"
"แม่ แม่จ๋าอย่าให้เขาทำร้ายฝน ลูกเจ็บเหลือเกิน แม่ช่วยเอาสร้อยพระออกจากคอฝนที ให้ฝนหนีออกไปจากร่างนี้ก่อน อย่าให้เขาทำลายดวงวิญญาณฝนได้นะจ๊ะ"
แสงสินีหันมาอ้อนวอนมารดาน้ำตาไหลพราก พลางยื่นมือมาหาคล้ายขอความช่วยเหลือ ทั้งรำเพย ทิพย์วิภาและจรุงจิต กับเพื่อนสาวทั้งสองของเธอต่างกอดกันซุกหน้าร่ำไห้ ไม่อาจมองภาพน่าเวทนาของแสงสินีต่อไปได้ ด้วยรู้ดีว่า ร่างที่ออดอ้อนวิงวอนนั้น ไม่ใช่แสงสินีคนเดิมอีกแล้ว
"มารยานักนะนางปีศาจ อย่าไปหลงเชื่อมันครับ ถ้าหากถอดสร้อยพระออกมันก็จะหลบหนีออกจากร่างคุณฝนไป ทิ้งซากเธอไว้ แล้วไปเที่ยวสิงกินคนใหม่อีก คุณหมอ เอาผ้ายันต์คลุมบนตัวมันได้แล้ว"
หมอบุรินทร์อยากทำตามที่หมอผีบอก แต่ติดตรงมือเหนียวเป็นตุ๊กแกของเอกกวีที่ยื้อยุดมือเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
"อย่า อย่าบอม รอเดี๋ยว ฉันยังไม่แน่ใจ" วิศวกรหนุ่มขอร้องเพื่อนเสียงสั่นเครือ เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ สุดจะทำใจให้ยอมรับว่าแสงสินีได้ตายไปแล้ว
"ไม่แน่ใจอะไร ก็เห็น ๆ อยู่ ขนาดฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางแต่ตอนนี้เชื่อหมดใจแล้วโว้ย แค่โดนข้าวสารปากับโดนน้ำสาด คนธรรมดาจะไปบาดเจ็บอะไร แต่แกดูหน้าตาท่าทางฝนสิ ดูสิ่งที่ขย้อนออกมาสิ นี่มันไม่ใช่คนแล้ว" บุรินทร์พยายามดึงผ้ายันต์ยื้อแย่งกันกับเอกกวี
"ปล่อยมือเถอะเต้ย ให้ฝนได้ถูกปลดปล่อยเหมือนที่พ่อหมอท่านบอก"
ทรงศักดิ์บิดาของแสงสินีเตือนเอกกวีเสียงเศร้า เขาต้องระงับความโศกเศร้าเอาไว้อย่างยากเย็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่างเหมือนฝันร้าย ลูกสาวคนเก่งแสนสวยของเขาที่แท้ถูกผีร้ายเข้าสวมร่างมานานถึงสิบกว่าปี
"ไม่ ไม่ เต้ยทำไม่ได้" เอกกวีส่ายหน้าทั้งน้ำตา ยึดชายของผ้ายันต์ที่เหลือไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
"เอาล่ะ ถ้างั้นผมก็ไม่มีทางเลือก"
เมื่อเห็นเอกกวีขัดขวางเต็มที่แบบนั้น หมออินทรจึงก้มลงหยิบมีดหมอลงอาคมบนพื้นข้างตัวขึ้นมาถือไว้ แสงสินีเบิกตาโพลงจ้องเขม็ง ก่อนคำรามออกมาเป็นเสียงคนแก่
"จะใช้มีดหมอกับกูเหรอไอ้หมอรายาม มุงกับกูเห็นทีต้องแหลกกันไปข้างเสียแล้ว"
ฉับพลัน ร่างที่นอนคู้งออยู่ ก็กระเด้งตัวลุกขึ้นยืนจังก้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ ร่างแสงสินีไม่หลงเหลือมาดสาวสวยราวนางแบบของวันก่อน เธอยืนแยกขาหลังงอโก่งลง ศีรษะก้มต่ำเล็กน้อย สองตาเรืองแสงสีเขียวแวววาวจ้องอย่างมุ่งร้าย อ้าแขนสองข้างกางออก สยายกรงเล็บเห็นเล็บยาวเฟื้อย ใบหน้าแสยะแยกเขี้ยวขู่ ท่าทางเหมือนสัตว์ร้าย ก่อนกระโจนพุ่งเข้าใส่หมอผีชรา
(มีต่อ)