ริษยาซ่อนร่าง ตอนที่ 9 (ต่อ)

กระทู้สนทนา
ริษยาซ่อนร่าง


(ลิเขียนค้างตอนที่ 9 ไว้ค่ะ อยากเอามาลงให้จบตอนก่อนขอตัวไปศึกษาวิธีจับผีลงหม้อก่อนนะคะ อิอิ)


ความเดิมที่เขียนค้างไว้ค่ะ
http://ppantip.com/topic/35383224

=================================


เอกกวีตกใจ ผละออกจากร่างเธอพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นกุมศีรษะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไป เขาไม่กล้าหันไปมองร่างคนรักที่นอนสะอื้นร่ำไห้กระซิกอยู่ตรงที่เดิม

"เต้ยขอโทษ" กล่าวคำขอโทษทั้งยังคงหันหลังให้ หัวใจหล่นหายวูบวาบ กริ่งเกรงโทษทัณฑ์จากหญิงคนรักเหลือเกิน เธออาจแค้นเคืองจนไม่ให้อภัยแก่เขา

"เต้ยขอโทษจริง ๆ จะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว"

ไม่มีเสียงตอบรับจากฝ่ายหญิง เอกกวีจึงค่อย ๆ หันหน้ามามอง เขาเห็นแสงสินีพลิกนอนตะแคงหันหลังให้เขาเช่นกัน หญิงสาวเบี่ยงใบหน้าลงซุกกับหมอน กายเธอสั่นสะท้านตามแรงสะอื้น ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปหมายจะแตะไหล่เธอเพื่อให้หันมาคุยกัน แต่พลันนั้นกลับนึกละอายใจ รู้สึกไม่กล้าขึ้นมาเฉย ๆ เขาชะงักมือค้างก่อนหดมือกลับแล้วปล่อยให้มันตกลงข้างกายอย่างหมดเรี่ยวแรง ไหล่สองข้างห่อลู่ลงหมดสิ้นสภาพ

"ฝนคงโกรธเต้ยมาก จะให้ขอโทษกี่หมื่นกี่พันครั้งก็ได้ เต้ยขอโทษนะ ทำผิดกับฝนมากมายไปแล้วจริง ๆ ยกโทษให้เต้ยสักครั้งเถอะจ้ะ"

อ้อนวอนพร่ำคำขอโทษด้วยน้ำเสียงแหบพร่าสั่นเครืออยู่เบื้องหลังของสาวคนรัก นึกชิงชังรังเกียจตัวเองขึ้นมาติดหมัด เอกกวีเคยคิดขยะแขยงและดูถูกพวกผู้ชายที่ใช้กำลังข่มเหงรังแกเพศหญิง แต่มาบัดนี้เป็นตัวเขาเสียเองที่ลงมือทำในสิ่งซึ่งเคยดูแคลน

"ออกไปจากห้องของฝนเสียทีเถอะเต้ย" พึ่งมีเสียงตอบจากร่างที่หันตะแคงข้างให้ เอกกวีหน้าเสีย ตอนนี้ถึงสำนึกผิดและอยากคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องเพียงใด แต่เขาคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายืดกายลุกขึ้น แล้วกลับออกไปตามความต้องการของเธอ ชายหนุ่มยืนลังเลมองด้านหลังของแฟนสาว ในใจยังคิดดื้อดึงใคร่อยากอธิบายให้เธอผ่อนคลายโทสะ แสงสินีเหมือนรู้ความคิดของแฟนหนุ่ม เสียงบอกซ้ำจึงดังขึ้นอีก

"ฝนบอกให้ออกไปไง" คราวนี้ชายหนุ่มถึงกับยืนคอตก คืนนี้คงหมดหนทางแก้ไขข้อผิดพลาดเสียแล้วจริง ๆ จำเป็นต้องล่าถอยไปก่อน เอกกวีเชื่อว่าความรักที่เขาทุ่มเทให้เธอมาอย่างยาวนานถึงสิบห้าปีคงพอช่วยบรรเทาสถานการณ์ในวันพรุ่งนี้ให้ดีขึ้นได้

"เต้ยขอโทษอีกครั้ง เอ้อ...เต้ยไปก่อนนะฝน พรุ่งนี้...ค่อยเจอกันใหม่จ้ะ" ประโยคท้าย ๆ ชายหนุ่มพูดเสียงเบาหวิว หวั่นใจเหลือเกินว่าวันพรุ่งนี้และวันต่อ ๆ ไปความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอจะไม่เหมือนเดิม

เช้าวันต่อมาแสงสินีตื่นสายผิดปกติ บรรดาผู้ใหญ่ในบ้านต่างตระเตรียมสิ่งของไปวัดทำบุญในเช้าวันนี้และวันสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงกันแต่เช้ามืด พูดจาตกลงกันว่าสงกรานต์ปีนี้คนในบ้านจะเดินสายทำบุญเก้าวัด ทั้งถวายสังฆทานและบริจาคสิ่งของให้ผู้ยากไร้

ทรงศักดิ์และอำนาจจัดของบริจาคสำหรับทำบุญอยู่ในครัวขนาดใหญ่ของบ้านหลังนี้ เอกกวีตื่นลงมาช่วยจัดเตรียมและขนจากในห้องครัวไปใส่ท้ายรถกระบะซึ่งจอดอยู่ในโรงรถไม่ไกลจากห้องครัวนัก เพื่อเตรียมไปบริจาคในโรงทานของทางวัดที่ตั้งอยู่กลางชุมชน ระหว่างทำงาน อำนาจสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางลูกชายดูซึม ๆ ไปไม่กระฉับกระเฉงเหมือนวันก่อนก็นึกสงสัย

"ไม่สบายหรือเปล่าเต้ย" ถามพลางตบไหล่ลูกชายเบา ๆ เอกกวีฝืนยิ้มเฝื่อนฝาดให้บิดาเพราะในใจซึมเศร้าหม่นมัว ชายหนุ่มรู้สึกวุ่นวายสับสนไปหมดทั้งเรื่องปีศาจกวินตาหวนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ถึงกับเข้าสิงสู่ในร่างของแสงสินี ไหนจะเรื่องอัปยศอดสูจากฝีมือตนเองเมื่อคืนนี้ ชายหนุ่มไม่สบายใจเมื่อสายแล้วแฟนสาวก็ยังไม่ยอมลงมาจากห้องพัก คนอื่น ๆ ถามหาด้วยความแปลกใจแต่วิศวกรหนุ่มสงบปากสงบคำทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาไม่พูดอะไรเกี่ยวกับแสงสินีให้แสลงใจตัวเอง

"เปล่าครับพ่อ เต้ยสบายดี" เอกกวีปฏิเสธไปแกน ๆ เขาไม่อยากเล่าเรื่องไหนให้บิดาฟังทั้งนั้น เพราะแต่ละเรื่องล้วนชวนปวดศีรษะ    

"เมื่อวานไปถวายสังฆทานให้แก้มมาใช่ไหม มีอะไรหรือเปล่า แกกลับมาก็ดูท่าทางแปลก ๆ ยายฝนก็เหมือนกัน หลวงตาท่านเล่าอะไรให้แกฟังเหรอ"

"ไม่ได้เล่าอะไรเลยครับ ถวายสังฆทานเสร็จท่านก็ให้ศีลให้พรธรรมดา เอ้อ พ่อครับ เต้ยขอถามอะไรหน่อย พ่อว่ากี่ปีแล้วที่วิญญาณแก้มไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็น"

"แกถามทำไม" อำนาจนิ่วหน้า นึกไม่พอใจลูกชายที่พูดถึงปีศาจสาวในบ้านสามหลังนั้นขึ้นมาอีก แต่ยังไม่ทันที่เอกกวีจะตอบ ร่างเพรียวในชุดเสื้อกางเกงลำลองเรียบหรูก็เดินเข้ามาในครัว แสงสินียกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่ทั้งสอง เธอปรายตามองแฟนหนุ่มที่ส่งยิ้มเจื่อนมาให้ แล้วหันหน้าหนีเขาทันใด

"นี่ก็อีกคน ฝนดูหน้าตาไม่ค่อยสบาย เมื่อคืนทะเลาะกันหรือเปล่า" ทรงศักดิ์ขนของใส่รถเป็นเที่ยวสุดท้าย เขาเดินเข้ามาทักลูกสาวที่แสร้งหันไปหยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดพื้นส่ง ๆ แสงสินีชะงักมือจากงานที่ทำ มองค้อนน้อย ๆ ไปทางชายหนุ่มที่ยังยืนทำหน้าเจื่อนก่อนตอบบิดา

"ปวดหัวนิดหน่อยค่ะพ่อ แต่กินยาแล้วสักพักคงหาย เอ้อ พ่อคะ ฝนมีเรื่องจะบอก ปีนี้ฝนคงต้องรีบกลับกรุงเทพเพราะมีงานค้างเยอะมาก มะรืนนี้คงต้องบินกลับแล้วค่ะ"  

"อะไรกันฝน ไหนตัวบอกว่าปีนี้เคลียร์งานลงตัวดีมาก เพื่อจะได้อยู่กับพวกเรานาน ๆ ไง"

คำบอกเล่าของสาวคนรักทำให้เอกกวีถึงกับเอะอะ เขารู้ว่าแสงสินีโกรธเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และกำลังจงใจลงโทษเขาด้วยการหนีกลับกรุงเทพกะทันหัน

"อีแบบนี้ทะเลาะกันชัวร์"

รำเพย จรุงจิตและทิพย์วิภาที่อยู่ในชุดเสื้อกับนุ่งผ้าซิ่นสีขาวสะอาดตาทั้งชุดเดินเข้ามาสมทบ ทั้งหมดกำลังวางแผนกันว่าจะไปร่วมงานบุญที่วัด ซึ่งขณะนี้มีคณะผู้ใจบุญตั้งองค์ผ้าป่าเพื่อทอดถวายที่วัดในเช้าวันนี้

รำเพยมารดาของแสงสินีทันได้ยินสิ่งที่ลูกสาวกำลังพูดคุยอยู่กับแฟนหนุ่มจึงสอดขึ้นทันควัน

"ค่อยพูดค่อยจากันเถอะ อีกหน่อยพอแต่งงานไปมันยิ่งเหมือนลิ้นกับฟัน หนักนิดเบาหน่อยไม่รู้จักให้อภัยกันก็มีแต่พังกับพัง"

"แม่...ก็เต้ยเค้า..." สาวตาคมร้องออกมาได้เท่านั้นแล้วต้องเม้มกัดริมฝีปาก ขืนบอกออกไปมีหวังโดนจับแต่งงานเป็นแน่ เธอจึงได้แค่ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ ยกผลประโยชน์ให้กับจำเลยที่ยืนหน้าแหยอยู่ข้าง ๆ

"เฮ้อ...จะทะเลาะเรื่องอะไรก็ช่างเถอะ รีบดี ๆ กันซะอย่าทำตัวเป็นเด็กน้อยไม่มีเหตุผล แล้วนี่ไม่สบายรึ แม่ได้ยินแว่ว ๆ" รำเพยเลยซักถามถึงสุขภาพของลูกสาว ระยะหลัง ๆ แสงสินีเริ่มมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยมาให้ได้ยินบ่อย ๆ

"ถ้าฝนไม่ค่อยสบายก็นอนพักเถอะ ยกมือขึ้นอนุโมทนาสาธุก็ได้บุญเหมือนกัน" ทิพย์วิภาเป็นห่วงหลานสาวคนสวยไม่น้อยจึงแนะนำให้หญิงสาวพักผ่อนอยู่ที่บ้าน แสงสินีสบช่อง ตอนนี้เธอยังไม่อยากเห็นหน้าแฟนหนุ่มเพราะยังเคืองเขาไม่หาย

"งั้นฝนขอตัวนะคะ รู้สึกแย่ ๆ ถ้าได้นอนพักสักวันคงหายเร็วขึ้น มะรืนนี้ฝนต้องเดินทางอีกแล้ว เลื่อนไม่ได้ด้วย ที่เคยบอกเต้ยนั้นโมฆะนะ งานมันเยอะไง บางอย่างฝนก็ลืมไป ฝนกับเต้ยเปล่าทะเลาะกันจริง ๆ นะคะ เพียงแต่เราไม่เข้าใจกันนิดหน่อย แต่ตอนนี้เราเข้าใจตรงกันแล้วนี่ จริงไหมเต้ย"

พยักพเยิดโยนลูกมาให้เสียอย่างนั้น ชายหนุ่มทำหน้าปั้นยาก เขาอับจนปัญญาต่อกรกับความคิดของแฟนสาว แสงสินีไม่ให้โอกาสเขาได้ชี้แจงสำนึกผิด แถมมะรืนนี้เธอยังจะทิ้งเขาไปเสียอีก

ขณะคนทั้งหมดกำลังสนทนากันอยู่ในครัวเสียงรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้าน สักครู่ก็มีเสียงกดกริ่งเรียกที่ประตูหน้าบ้าน อำนาจผละออกจากห้องครัวตรงไปทางหน้าบ้านทันที เขาหายไปครู่ใหญ่จึงกลับเข้ามาบอกคนทั้งหมดในครัวว่า

"ลูกศิษย์หลวงตาเข้ม" อำนาจเอ่ยชื่อท่านเจ้าอาวาสวัดที่เอกกวีและแสงสินีไปทำบุญถวายสังฆทานให้กวินตาเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นวัดอยู่ใกล้กับสวนมะม่วงเดิมของทิพย์วิภาตั้งอยู่นอกตัวเมืองออกไป

"เขามาทำไมเหรอพี่" จรุงจิตถามสามีอย่างแปลกใจ

"เต้ย เมื่อวานที่แกไปทำบุญถวายสังฆทานให้แก้มแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น"

อำนาจไม่ตอบคำถามของภรรยาแต่กลับหันมาถามลูกชายแทน เอกกวีอ้ำอึ้งยังไม่ตอบในทันที เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของลูกชาย อำนาจจึงบอกต่อว่า

"หลวงตาเข้มให้เจ้าโอ่งมาบอกว่าขอให้พวกเราทั้งหมดไปที่วัดท่านเช้านี้เลย หลวงตาท่านอยากปรึกษาเรื่องผีแก้มเข้าสิงฝนเมื่อวานนี้"

"ผีสิง!"

ทุกคนยกเว้นเอกกวีและแสงสินีพากันทำหน้าตาตื่น อุทานเสียงดังออกมาพร้อมกัน ต่างหันขวับมามองหน้าทนายความสาวเป็นตาเดียว

"ฝนโดนผีแก้มเข้าสิงงั้นเหรอ เรื่องมันเป็นยังไง ทำไมไม่เห็นเล่าให้พ่อฟัง แล้วหลวงตาท่านรู้ได้ยังไง"

ทรงศักดิ์รีบถามลูกสาวหน้าเครียด นึกโมโหทั้งเรื่องที่แสงสินีปิดบังและเรื่องวิญญาณอาฆาตของปีศาจสาวที่หวนกลับมาปรากฏตัวออกหลอกหลอนอีกแล้ว

"ไหนเล่ามาซิ" ซักลูกสาวเสียงดุ ทุกคนตีวงล้อมเข้ามาฟังเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างหวาดผวา แสงสินีหันมองเอกกวีอย่างขอให้ช่วย ชายหนุ่มจึงเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดเสียเอง

    "มิน่า หลวงตาเข้มท่านถึงบอกให้ไปหา ที่จริงเพราะท่านนี่แหละวิญญาณแก้มถึงสงบไป หลวงตาท่านมีคาถาอาคมทางด้านนี้ นิมนต์ท่านมาช่วยปัดเป่าสัมภเวสีที่บ้านสามหลังให้หลายครั้ง สมัยก่อนท่านเป็นศิษย์ของอาจารย์ไสยเวทย์แถวชายแดนเขมร" อำนาจรำพึง

    "ถ้างั้นพวกเราไปหาหลวงตาเข้มที่วัดท่านก่อน ท่านคงมีเรื่องอยากบอกเพื่อช่วยเหลือเรา จากนั้นค่อยกลับมาโรงทานที่นี่ พากันไปทั้งหมดนี่แหละจะได้ไม่ต้องเสียเวลาย้อนกลับมารับใครอีก"

    ทิพย์วิภาแนะ ทั้งหมดเห็นด้วยต่างพากันเตรียมตัวจะไปขึ้นรถเพื่อออกเดินทางไปยังวัดเป้าหมาย แต่แล้วมีเสียงรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดหน้าประตูบ้าน มีคนลงมาจากรถคันนั้น แล้วเสียงเรียกชื่อสองหนุ่มสาวของสตรีก็ดังลั่นขึ้น ซึ่งทำให้แสงสินีกับเอกกวีดีใจมาก เพราะเสียงนั้นคือเสียงของลักขณากับพาฝันนั่นเอง

    "อุ้ม...แพม มาได้ไงเนี่ย" แสงสินีวิ่งถลาไปเปิดประตูรั้วหน้าบ้านให้รถเก๋งเพื่อนรักแล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณบ้านอันกว้างขวาง พอสองหญิงผ่านประตูรั้วบ้านเข้ามา สามสาวต่างผวาเข้ากอดกันแน่นอย่างปรีดา

    "เราสองคนมากับคณะผ้าป่า หมอบุรินทร์เป็นคนนำคณะมา แต่พวกเราอุบไว้ไม่บอกใคร เรากะมาเซอร์ไพรส์พวกแกไง"

    ชายหนุ่มสวมแว่นสายตาท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งก้าวลงจากรถเดินตรงมาหาพร้อมรอยยิ้มกว้าง

     "ไอ้หมอบอม" เอกกวีอุทานอย่างดีใจ สองหนุ่มตรงเข้าโอบกอดกันด้วยความคิดถึง บัดนี้ห้าซุปเปอร์ฮีโร่ x-mens ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการพบกันครั้งนี้มีทั้งเรื่องน่ายินดีและเรื่องชวนให้ใจหายไปพร้อมกัน


(โปรดติดตามตอนต่อไป)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่