ริษยาซ่อนร่าง ตอนที่ 8

กระทู้สนทนา



ความเดิมตอนที่แล้ว

ตอนที่ 1-4
http://ppantip.com/topic/35340545
ตอนที่ 5-6
http://ppantip.com/topic/35347907
ตอนที่ 7
http://ppantip.com/topic/35354174


ตอนที่ 8 ริษยาซ่อนร่าง



โดย...ล. วิลิศมาหรา


    สิบห้าปีผ่านไป สายธารแห่งชีวิตไหลเลื่อนตามกาลเวลา ห้าซุปเปอร์ฮีโร่ x-mens ที่เหลืออยู่ต่างเติบใหญ่ในเส้นทางชีวิตของใครของมัน แสงสินีกับเอกกวีเรียนจบและมีงานทำเรียบร้อย เด็กสาวแสนซนผู้เคยอยากมีพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุแบบPsylockeกลายร่างมาเป็นทนายสาวสวยคมเข้มผู้แสนเก่งกาจ เฉลียวฉลาดปราดเปรียว เธอเปิดสำนักงานทนายความอยู่ใจกลางเมืองหลวง แสงสินีเป็นทนายความหญิงที่มีชื่อเสียง ลูกความของเธอมักชนะคดี แม้บางคดีที่น่าคลุมเครือหลักฐานมีค่อนข้างน้อย แต่เธอก็ใช้ความสามารถพิเศษอันน่ากังขาเสาะแสวงหาพยานหลักฐานมาโต้แย้ง ช่วยลูกความของเธอให้ชนะคดีได้อย่างน่าพิศวง

    ส่วนหัวหน้าแก๊งค์ Professor X อย่างเอกกวีได้ทำงานเป็นวิศวกรบริษัทร่วมทุนไทย-ออสเตรเลีย ซึ่งทำธุรกิจทางด้านซอฟต์แวร์และบริการไอทีระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน ชายหนุ่มต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ แต่ทั้งคู่มักหาเวลามาเยี่ยมครอบครัวของตนที่พักอาศัยอยู่กับทิพย์วิภาในช่วงสงกรานต์ของทุกปี

    พาฝันเรียนจบพยาบาลตามความมุ่งมั่น สาวผู้อยากมีกรงเล็บเหล็กและแข็งแกร่งอดทนเหมือน Wolverine ได้ทำงานเป็นพยาบาลอยู่ในโรงพยาบาลบ้านเกิดระยะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงย้ายติดตามนายแพทย์บุรินทร์ผู้เป็นสามี ซึ่งต้องไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด อดีตเด็กสาวสายตาสั้นจำใจละทิ้งร่องรอยความรักครั้งเก่ากับเด็กหนุ่มผมเกรียนไว้ที่ศาลารอรถประจำทางหน้าปากซอยแห่งความหลัง

    สำหรับแม่สาว Storm ร่างอวบ เธอเรียนจบด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำ บิดาของลักขณาได้รับมรดกไร่องุ่นหลายสิบไร่จากพี่สาว แต่ทว่าเธอไม่สนใจทำสวนทำไร่แบบนั้น ลักขณาลงทุนปรับปรุงบุคลิกภาพของตัวเองจนกลายเป็นคนรูปร่างดีและสวยขึ้นกว่าเดิมมาก เธอพบรักและได้แต่งงานกับพิภพชายหนุ่มรูปหล่อเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาเขาได้ทำงานเป็นผู้จัดการห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางเมืองกรุง ทั้งคู่พากันย้ายมาทำงานในเมืองหลวง ลักขณาทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของค่ายรถหรู

    ชะตาชีวิตของบรรดาหนุ่มสาวกลุ่มนี้คล้ายดังบทละคร แต่ผู้เขียนบทละครบทนี้ไม่อาจคาดเดาได้ว่า จะเป็นเทพยดาหรือผีห่าซาตาน!

    สงกรานต์เวียนมาถึงที่นี่ทุกปี ในบ้านหลังใหญ่ของทิพย์วิภาอบอุ่นไปด้วยคนในครอบครัวสามครอบครัวที่คอยดูแลเอาใจใส่กัน เธอคิดไม่ผิดที่รับอุปการะอดีตคนงานเฝ้าสวนอย่างอำนาจและจรุงจิต กับทรงศักดิ์และรำเพย เพราะสองครอบครัวนี้เป็นคนดี ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดสิบห้าปีที่อยู่ด้วยกันในบ้านของทิพย์วิภา

    สาวใหญ่เจ้าของสวนมะม่วงแม้ไม่ได้ขายสวนทิ้งทั้งหมด แต่ทิพย์วิภาก็แบ่งซอยที่ดินออกเป็นหลายแปลงแล้วค่อย ๆ ทยอยขาย จนกระทั่งในที่สุดเธอก็เหลือที่ดินเฉพาะบ้านไม้สามหลังซึ่งไม่มีใครซื้อ มีเนื้อที่ประมาณเพียงห้าไร่ มันถูกโอบล้อมด้วยรั้วคอนกรีตสูงจนพ้นสายตา บ้านไม้ถูกปล่อยร้างสามหลังแห่งนี้ยังคงเป็นที่ร่ำลือถึงความสยองขวัญของวิญญาณผีสาวกวินตาต่อไป

    สงกรานต์ปีนี้เอกกวีเดินทางมาจากกรุงเทพถึงบ้านทิพย์วิภาก่อนแสงสินี เด็กหนุ่มในอดีตเมื่อวันวาน วันนี้เขากลายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา รูปร่างสูงสง่า วิศวกรคอมพิวเตอร์ของบริษัทซอฟแวร์ร่วมทุนยักษ์ใหญ่ช่างดูภูมิฐาน แต่กิริยามารยาทยังคงนอบน้อมอ่อนโยนเฉกเช่นเอกกวีคนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ญาติผู้ใหญ่ทั้งหลายล้วนหน้าชื่นตาบานต่อความสำเร็จของบุตรหลานในอุปการะ

    ชายหนุ่มเดินทางมาโดยเครื่องบิน ถึงที่นี่เมื่อตอนสายแก่ ๆ หลังพูดจาทักทายไต่ถามทุกข์สุขและเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอาแต่นั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ ใจจดใจจ่อรอหญิงคนรักซึ่งกำลังเดินทางกลับมาเช่นกันอยู่ตรงโต๊ะเหล็กดัดในสนามหญ้าหน้าบ้าน

    “ทำไมไม่มาเสียด้วยกันเลยล่ะเต้ย”

        ทิพย์วิภาซึ่งตอนนี้ล่วงเข้าสู่วัยสูงอายุ แต่ยังดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว เธอเดินเข้ามานั่งคุยกับหลานชายคนโปรดแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย สองหนุ่มสาวต่างทำงานอยู่ในกรุงเทพ แต่กลับไม่มาพร้อมกัน ทิพย์วิภารู้สึกผิดสังเกตในตัวหลานชายหญิงทั้งคู่นานแล้ว หลังเข้าไปเรียนหนังสือในกรุงเทพจนกระทั่งเรียนจบออกมาทำงาน ดูเหมือนคนทั้งคู่ตั้งหน้าตั้งตาก่อร่างสร้างตัว แรก ๆ ทั้งเธอและพ่อแม่ของเด็ก ๆ ก็นึกยินดีที่สองหนุ่มสาวมีความคิดความอ่าน หาทางสร้างความเจริญก้าวหน้าเพื่ออนาคตที่มั่นคง แต่นานไปมันชักผิดปกติ ทั้งสองเอาแต่มุมานะทำงานและไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานร่วมชีวิตคู่ ตอนกลับมาที่นี่เวลาอยู่ด้วยกันก็เห็นทำท่าว่ารักกันดี ซึ่งในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่ทำไมทั้งคู่ถึงไม่ยอมลงเอยกันสักที

    “ฝนเขายังติดงานครับป้า เขางานยุ่งตลอด อยู่ที่โน่นก็ใช่ว่าจะได้เจอกันบ่อย เวลาเต้ยนัดพบทีไรฝนมักไม่ว่าง ปีหนึ่งเจอกันไม่ถึงสิบครั้งมั้งครับ”

    ชายหนุ่มเล่าด้วยสีหน้าหมอง น้ำเสียงตัดพ้อ เขาจำต้องเล่าความจริงที่ปกปิดมาตลอดสิบกว่าปีให้ทางบ้านรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับแฟนสาว เพราะหลังเรียนจบแสงสินีค่อย ๆ เปลี่ยนไป เธอปล่อยเวลาร่วมชีวิตคู่เนิ่นนานเสียจนเอกกวีคิดว่าคงต้องขอให้ทางบ้านช่วยกดดันหญิงสาวอีกทาง หลังรอแต่งงานกับเธอจนแทบจะหมดความอดทนรอ

    สิ่งที่ได้ยินเหนือความคาดหมาย ทิพย์วิภาจึงซักถามด้วยความสงสัย

    “อะไร เป็นแฟนกันประเภทไหน เจอกันเดือนละหนยังไม่ได้เชียวเหรอ งั้นนี่ก็แสดงว่าพวกเธอยังไม่ได้วางแผนแต่งงานกันเลยล่ะสิ” ใบหน้าหล่อเหลาส่ายปฏิเสธไปมาช้า ๆ

    "พอเต้ยเอ่ยปากเรื่องนี้ทีไร ฝนเขาก็เลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นทุกครั้ง จนปีนี้เต้ยคิดว่าจะขอให้ป้าทิพย์กับพ่อแม่ของฝนช่วยพูดให้ทีครับ"

    ผู้ผ่านชีวิตมามากกว่าพยักหน้ารับรู้ นิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจถามให้แน่ใจว่า

    "อืม ป้าถามตรง ๆ เลยนะ ใครมีคนใหม่หรือเปล่า"     

    "โอ๊ะ เปล่าครับป้า ทั้งเต้ยและฝนไม่ได้มีคนรู้ใจคนใหม่ อันนี้เต้ยมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ฝนเขางานเยอะและเห็นว่าตัวเองยังไม่พร้อมเท่านั้นเองครับ"

    "แล้วที่บอกว่าฝนยังไม่พร้อมนี่หมายถึงเรื่องอะไร"

    "ก็...เรื่องงานทำคดีที่ยังค้างอีกเยอะของเขานั่นแหละครับ กับขอทำใจให้ลืมเรื่องแก้มเสียก่อน"

    "แปลกคนจริง ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย ถ้าจะให้ทำคดีจนเสร็จหมดทุกคดีเห็นทีคงไม่ได้แต่งเพราะงานมันก็มาของมันเรื่อย ๆ เรื่องแก้มมันก็ผ่านไปแล้ว คิดถึงก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร"

    ทิพย์วิภาถอนใจยาว นึกสงสารหลานชายจับใจ อีกทั้งนึกหมั่นไส้แม่หลานสาวตัวดี นี่ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงถอดใจไปแล้ว

    "เอาเถอะ รอฝนกลับมาเสียก่อนแล้วป้าจะช่วยพูดให้"

    ขณะป้าหลานกำลังนั่งปรับทุกข์ปัญหาหัวใจของชายหนุ่ม หญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงทรงตรงสีเข้ม สอดชายเสื้อเข้าในขอบเอวกางเกงพร้อมคาดเข็มขัดเก๋ไก๋ หล่อนหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเขื่องเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางทะมัดทะแมงปราดเปรียว แม้สวมรองเท้าส้นสูงกว่าสามนิ้ว ใบหน้าคมขำได้รับการตกแต่งอย่างประณีต เกล้าผมรวบตึงไว้ตรงท้ายทอย บุคลิกของสาวห้าวราวนางแบบบนเวทีเดินแบบก็ไม่ปาน แสงสินีปรับเปลี่ยนตัวเองให้มีบุคลิกที่น่าทึ่ง หญิงสาววางกระเป๋าเดินทางลงก่อนยกมือไหว้ทำความเคารพคุณป้าผู้น่านับถือ แล้วหันมาส่งยิ้มกว้างให้แฟนหนุ่มทันที

    "ดีใจจังที่ได้กลับมาบ้าน คิดถึงทุกคน คิดถึงเต้ยที่สุด"

    ชายหนุ่มยิ้มตอบ กรากเข้าไปหิ้วกระเป๋าเดินทางของคนรักขึ้นมาถือ ทั้งสองหันมาสบตากัน แววตาสวยคมของแสงสินีเปล่งประกายแวววาว บ่งบอกความยินดีที่ได้พบเขา ส่วนเอกกวีนั้นแทบอยากโอบกอดสาวคนรักเข้ามาแนบอกด้วยความคิดถึง จะผ่านไปนานกี่ปีเขาก็ยังรักแสงสินีไม่เคยเสื่อมคลาย

    "พ่อกับแม่อยู่ข้างในบ้านโน่นแน่ะ เอากระเป๋าไปเก็บก่อนเถอะ อาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวแล้วค่อยลงมาคุยกัน"

    ทิพย์วิภาแนะ สองหนุ่มสาวรับคำ แสงสินีเดินนำหน้าเข้าไปในบ้านโดยมีเอกกวีเดินตาม เสียงทักทายดัง ๆ ของแฟนสาวต่อทุกคนในบ้านอย่างตื่นเต้นดีใจทำให้ใบหน้าคมสันคลี่ยิ้มออกมา ใช่แล้ว...นี่แหละคือแม่น้ำฝนของเขา

    วันนั้นตกตอนบ่าย ๆ หลังจากได้อยู่กันตามลำพัง เอกกวีนั่งคุยกับสาวคนรักตรงมุมพักผ่อนชั้นล่างของตึกหลังใหญ่ มีแก้วน้ำส้มคั้นวางตรงหน้าพร้อมขนมไทยจำพวกขนมกลีบลำดวนกับลูกชุบใส่มาในจานกระเบื้องใบเล็ก แสงสินีเป็นคนเตรียมอาหารว่างและเครื่องดื่มก่อนยกมานั่งทานด้วยกัน ซึ่งขนมไทยพวกนี้บรรจุอยู่ในกล่องกระดาษลายไทยสวยคลาสสิก ทนายความสาวเป็นคนนำมาจากกรุงเทพด้วยตนเอง นัยว่าช่วยสนับสนุนขนมไทย ๆ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการเพิ่มมูลค่าให้ขนมโดยการดัดแปลงบรรจุภัณฑ์ให้ดูหรูและทรงคุณค่า นี่เป็นอีกสิ่งที่แปลกใหม่ในตัวแฟนสาว แสงสินีใส่ใจสุขภาพและหันกลับมาสนับสนุนอนุรักษ์ความเป็นไทย

    หญิงสาวแต่งตัวลำลองด้วยกางเกงขาสั้นอวดเรียวขาสวยเพรียวกับเสื้อแขนกุดเนื้อผ้าเนียนพริ้วเข้ารูปยาวคลุมสะโพกอย่างมีรสนิยม ปล่อยเรือนผมดัดเป็นลอนยาวสลวยลงกรอมดวงหน้าคมขำ ดูมีเสน่ห์เย้ายวนไปอีกแบบแตกต่างออกไปจากเดิม สาวคนรักปรับปรุงการแต่งกายตลอดจนเรือนร่างหน้าตาให้ดูดี เหมาะสมกับหน้าที่การงาน เธอไม่ใช่เด็กกะโปโลแก่นแก้วคนเดิมอีกต่อไป เอกกวีมองแฟนสาวอย่างชื่นชม รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นผู้ชายในดวงใจของเธอ ขณะนี้เขาเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงเลียบเคียงถามถึงการแต่งงานอีกครั้ง

     "ตอนเช้าป้าทิพย์ถามเต้ยเรื่องงานแต่งของเราว่าเมื่อไหร่จะแต่งงานกันเสียที ฝนคิดว่าไง" สาวตาคมชะงักงันไปชั่วครู่ เธอหลุบเปลือกตาลงต่ำหลบสายตาชายหนุ่มที่จ้องมองมาอย่างเว้าวอน เสไปยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม

    "ฝน..." เขาเรียกชื่อเธอ แฟนสาววางแก้วน้ำส้มลงและเงียบไปอีกแล้ว ชายหนุ่มจึงเดาได้ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร

    "ขอเวลาฝนอีกหน่อยนะเต้ย" นั่นไง...นึกแล้วไม่ผิด เอกกวีถอนใจยาว

    "ตอนนี้เราอายุสามสิบสามกันแล้วนะฝน" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เขาไม่รู้ว่าต้องอ้อนวอนเธอแบบนี้ไปอีกสักกี่ครั้งกันแน่ เธอถึงจะยอมใจอ่อน แสงสินีหันมาทางเขาอีกครั้ง แต่เปลือกตาคู่สวยยังหลุบต่ำ มองเห็นแพขนตายาวงอนกะพริบปริบ ๆ

    "เต้ย วันนี้วันอะไร" จู่ ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นถาม เปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน

    "หืม...วันเสาร์ไง" ชายหนุ่มตอบแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนใจ แฟนสาวเลี่ยงไปพูดถึงเรื่องอื่นอีกตามเคย

    "วันนี้วันเกิดแก้ม..." เอกกวีชะงักกึกทันที จริงสิวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของกวินตา เธอเกิดก่อนวันสงกรานต์หนึ่งอาทิตย์ซึ่งตรงกับวันนี้พอดี แสงสินีไม่เคยลืมเพื่อนสนิท เขาเสียอีกที่ลืมเลือนกวินตาไปทุกที นึกถึงบ้างบางเวลาโดยเฉพาะเมื่อได้ย้อนกลับมาที่นี่ สายตาคมของแสงสินีมองมาที่เขานิ่ง ๆ

(มีต่อค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่