คุณเคยหนีออกจากบ้านไหมครับ ถ้าเคยก็ต้องเป็นประสบการณ์ที่จดจำไม่น่าจะลืมกันง่ายๆแน่ครับ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เคยหนีออกจากบ้านโดยตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ว่าจะยังไงก็ไม่มีทางกลับมาเหยียบที่บ้านเป็นอันขาด ตอนอยู่คิดว่าจะหนีไปให้ไกลที่สุด แต่พอออกมาไกลสุดเท่าที่ใจหวัง หัวใจจะกลับไปที่ “บ้าน” อีกครั้งหนึ่ง
ย้อนไปเมื่อสิบสามปีที่แล้ว ตอนที่ผมอายุได้เจ็ดขวบอยู่ป.2 เช้าวันหนึ่งในแถบชนบทของจังหวัดอุตรดิตถ์(อากาศดี๊ดีครับ) ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าแม่เฉย ผมลุกตื่นจากที่นอน เปิดมุ้งได้ที่เดินดุ่มๆตรงไปหาแม่ที่ทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน เพื่อดูว่าวันนี้มีอะไรเป็นกับข้าวกิน สมัยนู่นไม่เหมือนสมัยนี้ที่ตื่นเช้ามาจะมีซุปเปอร์มาเก็ตในเดินเลือกซื้อกันตามใจ เพียงแค่มีเงินในกระเป๋า แต่สมัยนู่นเหรอครับ มีเงินมีเหมือนมีกระดาษเปล่าเพราะของกินอยู่รอบๆตัวเราไม่ต้องซื้อไม่ต้องหา
แกงหยวกกะทิใส่กระดูกหมูพอเปิดฝาหม้อ(เตาถ่าน)ออกกลิ่นพริกแกงหอมๆที่เคี้ยวกับน้ำกะทิ ก็ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวนไปสามบ้านแปดบ้าน! อันหลังนี้ขี้โม้ครับ
เนื่องจากวันนั้นท้องมันหิวกว่าปกติครับ ผมจึงป่วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าหม้อกับข้าว ไม่ยอมไปอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนซะที จนคุณแม่เริ่มชักจะรำคาญท่านเลยพูดว่า
“จะไปก็ไป อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ”
หนึ่งประโยค หนึ่งคนที่ได้ยินก็แปลความหมายแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน ผมได้ยินดังนี้ จึงเดินคอตกไปนั่งที่ริมน้ำบ่อข้างบ้านถูกปล่อยไว้จนใบไม้คลุมสังกะสีที่ปิดไว้จนเต็มไปหมด ดูหน้ากลัวว่าจะตกไปอยู่เหมือนกัน
ตามประสาเด็กครับ ผมนั่งนิ่งน้ำตาย้อยแหมะๆใส่สังกะสีไม่รู้กี่แหมะ คิดแต่ว่าแม่ไม่รักเราแล้วจึงตะคอกใส่เรา พูดเช่นนี้ใส่เรา ฉะนั่นเราจะอยู่ไปทำไมใยก็เค้าขับไล่ไสส่งเราแล้วนิ พลันก็นึกถึง “ไอ้จัน” ควายที่แม่ขายให้ป้าอู๊ดเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกและต้องเดินข้ามทุ่งนาไปหลายกิโล พอนึกแบบนี้ได้ เด็กป.2อย่างผมก็คอยๆย่องมุดรั่วหลังบ้านแล้วออกเดินไปตัดทุ่งนาสีเขียวงามตาเพราะข้างเพิ่งจะออกร่วงใหม่ๆไป ผมจะไปทวงควายผมคืนแล้วพาไอ้จันไปอยู่ที่อยู่สวนของคุณตา(สวนคุณตาอยู่ห่างออกไปอีกเป็นสิบๆกิโล)กันสองคน คราวนี้จะได้ไม่ต้องเจอหน้าแม่อีก โรงเรียนก็ไม่ต้องไปกันแล้ว
“ไอ้แต่ว” หมาพันทางสี่ตาขนสีดำสลับทอง เดินตามผมมา ดีแล้วจะได้มีเพื่อนเพิ่มอีกไปอยู่ด้วยกัน
ผมเดินตามคันนา มาเป็นเวลาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ย้ำพื้นคันนาแต่ละก้าวนั้นรู้สึกเจ็บที่เท้าไปหมด แดดก็ยิ่งร้อนขึ้นมาทุกทีๆ ไอ้แต่ววิ่งไล่งับแมลงสบายใจอุราไม่เห็นบ้านป้าอู๊ดอยู่ในสายตาเลย หิวน้ำก็หิว อยากกลับบ้านขึ้นมาแล้วครับแต่ผมก็แข็งใจไม่กลับแล้ว เรื่องอะไรจะกลับก็แม่ไล่เราแล้วนี่ ขามันสั้นนิดเดียวไม่เหมือนก้าวของผู้ใหญ่นึกแล้วเคืองเหมือน อยากโตไวๆจัง ในระหว่างที่เด็กตัวน้อยๆ อย่างผมก้าว ต๊อกๆๆกำลังเดินลัดคันนาอย่างทุลักทุเลอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงใครตะโกนขึ้นมาแต่ไกล เป็นเสียงคนที่ผมอยากจะวิ่งโผเข้าไปกอด
“อ้ายน้อย อ้ายน้อย!” เสียงพ่อเองครับ พ่อโผล่มาจากชายป่า พร้อมน้าชายของผมและลุงๆญาติๆแถวบ้านอีกหลายคน
แต่ก็ต้องชะงักไว้ ทั้งๆเตรียมจะวิ่งไปหาพ่อแล้ว พอนึกได้ว่าเรากำลังหนีออกจากบ้านนี่นะ จะไม่กลับอีกแล้วจะไปอยู่สวนกันไอ้จันไอ้แต่ว ผมกระโจนหลบเข้าที่คันนาหลบซุ่มหลบอยู่ตรงนั่น พร้อมคว้าไอ้แต่ว กดหัวลงมุดกับพื้นคันนาไว้ข้างๆกัน มันคราง หงิงๆเลย(ยอมรับครับว่าทรมานหมาฮ่าๆๆ) พ่อตะโกนใกล้เข้ามาเรื่อยๆทุกทีๆระยะเหลือประมาณร้อยเมตร ท่าทางทุกคนเป็นห่วงผมมาก เสียงตะโกนไม่หยุดกันเลย และไอ้แต่วคงทนไม่ไหว มันดันมือผมจนหัวหลุดจากพื้นคันนา มันไม่รอช้าวิ่งตรงไปส่ายกระดิกๆประจบพ่อทันที ผมลุกแล้วออกวิ่งสุดกำลัง
“นั้นๆ ปะลูกหมูแล๊ว ” เสียงน้าผมตะโกน
“โอ้ มันหนีมาไกลแต๊ไกลว่าน่ะ ฮ่าๆๆ” เสียงพ่อกับคนอื่นหัวเราะกันอย่างโล่งใจและกลายเป็นเรื่องสนุก
ไหนเลยเร็วกว่าผู้ใหญ่ไปได้ ตัวผมลอยขึ้นเพราะมือใหญ่ของพ่อที่ช้อนผมขึ้นมาจับพาดบ่าไว้
“ปะๆ ปิก ดั้ยลูกหมูแล้วเฮาเฮ้ย ฮ่าๆๆ”
ผมไม่ร้องไห้ไม่พูด แต่ตีเอาที่หลังพ่อไปหลายที ระหว่างตีไปน้ำตามันก็แอบๆไหลอยู่เหมือนกัน กลายเป็นเรื่องสนุกไปซะอย่างนั้น ผมเห็นรอยยิ้มของพ่อ ของน้า ลุงๆญาติๆอีกหลายคน ก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันทำไมครับ เอาเป็นว่าแผนการหนีออกจากบ้านของผมไม่สำเร็จละงานนี้ ได้แต่ถูกพ่ออุ้มเดินกลับบ้านพร้อมกับคนอื่นๆและไอ้แต่วตัวดี มาสารภาพความผิดกับแม่
ผมเจอแม่ทีกำลังยืนตาแดงกับญาติอีกสี่ห้าคนอยู่หน้าบ้าน เดาว่าคงจะกำลังจะไปตามตัวหมูน้อยอย่างผม พ่อปล่อยผมลงไว้ตรงหน้าแม่ นึกว่าจะโดนเพี๊ยะเข้าให้ซะแล้ว แต่แม่กอดผมแล้วทำตาดุใส่
“ไปไหนมา นึกว่าตกน้ำบ่อตายไปแล้ว” แม่พูดเสียงสั่นเครือ เราปรับความเข้าใจหากันด้วยดีและผมก็เข้าใจจึงไม่โทษโกรธแม่แต่อย่างใด กลับยิ่งรู้รักท่านมากขึ้นด้วยซ้ำไป
จากนั้นผมก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนครับเพราะมันเลยเวลาเรียนมานานโขใกล้จะเที่ยงแล้ว ส่วนไอ้จันแม่บอกเดี่ยวกินข้าวเสร็จแล้วจะพาไปหา แกงหยวกในที่ผมก็ได้กินมันซักทีครับ กับข้าวมื้อนี้อร่อยจริงๆ
เพิ่งจะแต่งเรื่องสั้น รบกวนแนะนำหน่อยครับ
ย้อนไปเมื่อสิบสามปีที่แล้ว ตอนที่ผมอายุได้เจ็ดขวบอยู่ป.2 เช้าวันหนึ่งในแถบชนบทของจังหวัดอุตรดิตถ์(อากาศดี๊ดีครับ) ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าแม่เฉย ผมลุกตื่นจากที่นอน เปิดมุ้งได้ที่เดินดุ่มๆตรงไปหาแม่ที่ทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน เพื่อดูว่าวันนี้มีอะไรเป็นกับข้าวกิน สมัยนู่นไม่เหมือนสมัยนี้ที่ตื่นเช้ามาจะมีซุปเปอร์มาเก็ตในเดินเลือกซื้อกันตามใจ เพียงแค่มีเงินในกระเป๋า แต่สมัยนู่นเหรอครับ มีเงินมีเหมือนมีกระดาษเปล่าเพราะของกินอยู่รอบๆตัวเราไม่ต้องซื้อไม่ต้องหา
แกงหยวกกะทิใส่กระดูกหมูพอเปิดฝาหม้อ(เตาถ่าน)ออกกลิ่นพริกแกงหอมๆที่เคี้ยวกับน้ำกะทิ ก็ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวนไปสามบ้านแปดบ้าน! อันหลังนี้ขี้โม้ครับ
เนื่องจากวันนั้นท้องมันหิวกว่าปกติครับ ผมจึงป่วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าหม้อกับข้าว ไม่ยอมไปอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนซะที จนคุณแม่เริ่มชักจะรำคาญท่านเลยพูดว่า
“จะไปก็ไป อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ”
หนึ่งประโยค หนึ่งคนที่ได้ยินก็แปลความหมายแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน ผมได้ยินดังนี้ จึงเดินคอตกไปนั่งที่ริมน้ำบ่อข้างบ้านถูกปล่อยไว้จนใบไม้คลุมสังกะสีที่ปิดไว้จนเต็มไปหมด ดูหน้ากลัวว่าจะตกไปอยู่เหมือนกัน
ตามประสาเด็กครับ ผมนั่งนิ่งน้ำตาย้อยแหมะๆใส่สังกะสีไม่รู้กี่แหมะ คิดแต่ว่าแม่ไม่รักเราแล้วจึงตะคอกใส่เรา พูดเช่นนี้ใส่เรา ฉะนั่นเราจะอยู่ไปทำไมใยก็เค้าขับไล่ไสส่งเราแล้วนิ พลันก็นึกถึง “ไอ้จัน” ควายที่แม่ขายให้ป้าอู๊ดเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างออกและต้องเดินข้ามทุ่งนาไปหลายกิโล พอนึกแบบนี้ได้ เด็กป.2อย่างผมก็คอยๆย่องมุดรั่วหลังบ้านแล้วออกเดินไปตัดทุ่งนาสีเขียวงามตาเพราะข้างเพิ่งจะออกร่วงใหม่ๆไป ผมจะไปทวงควายผมคืนแล้วพาไอ้จันไปอยู่ที่อยู่สวนของคุณตา(สวนคุณตาอยู่ห่างออกไปอีกเป็นสิบๆกิโล)กันสองคน คราวนี้จะได้ไม่ต้องเจอหน้าแม่อีก โรงเรียนก็ไม่ต้องไปกันแล้ว
“ไอ้แต่ว” หมาพันทางสี่ตาขนสีดำสลับทอง เดินตามผมมา ดีแล้วจะได้มีเพื่อนเพิ่มอีกไปอยู่ด้วยกัน
ผมเดินตามคันนา มาเป็นเวลาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ย้ำพื้นคันนาแต่ละก้าวนั้นรู้สึกเจ็บที่เท้าไปหมด แดดก็ยิ่งร้อนขึ้นมาทุกทีๆ ไอ้แต่ววิ่งไล่งับแมลงสบายใจอุราไม่เห็นบ้านป้าอู๊ดอยู่ในสายตาเลย หิวน้ำก็หิว อยากกลับบ้านขึ้นมาแล้วครับแต่ผมก็แข็งใจไม่กลับแล้ว เรื่องอะไรจะกลับก็แม่ไล่เราแล้วนี่ ขามันสั้นนิดเดียวไม่เหมือนก้าวของผู้ใหญ่นึกแล้วเคืองเหมือน อยากโตไวๆจัง ในระหว่างที่เด็กตัวน้อยๆ อย่างผมก้าว ต๊อกๆๆกำลังเดินลัดคันนาอย่างทุลักทุเลอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงใครตะโกนขึ้นมาแต่ไกล เป็นเสียงคนที่ผมอยากจะวิ่งโผเข้าไปกอด
“อ้ายน้อย อ้ายน้อย!” เสียงพ่อเองครับ พ่อโผล่มาจากชายป่า พร้อมน้าชายของผมและลุงๆญาติๆแถวบ้านอีกหลายคน
แต่ก็ต้องชะงักไว้ ทั้งๆเตรียมจะวิ่งไปหาพ่อแล้ว พอนึกได้ว่าเรากำลังหนีออกจากบ้านนี่นะ จะไม่กลับอีกแล้วจะไปอยู่สวนกันไอ้จันไอ้แต่ว ผมกระโจนหลบเข้าที่คันนาหลบซุ่มหลบอยู่ตรงนั่น พร้อมคว้าไอ้แต่ว กดหัวลงมุดกับพื้นคันนาไว้ข้างๆกัน มันคราง หงิงๆเลย(ยอมรับครับว่าทรมานหมาฮ่าๆๆ) พ่อตะโกนใกล้เข้ามาเรื่อยๆทุกทีๆระยะเหลือประมาณร้อยเมตร ท่าทางทุกคนเป็นห่วงผมมาก เสียงตะโกนไม่หยุดกันเลย และไอ้แต่วคงทนไม่ไหว มันดันมือผมจนหัวหลุดจากพื้นคันนา มันไม่รอช้าวิ่งตรงไปส่ายกระดิกๆประจบพ่อทันที ผมลุกแล้วออกวิ่งสุดกำลัง
“นั้นๆ ปะลูกหมูแล๊ว ” เสียงน้าผมตะโกน
“โอ้ มันหนีมาไกลแต๊ไกลว่าน่ะ ฮ่าๆๆ” เสียงพ่อกับคนอื่นหัวเราะกันอย่างโล่งใจและกลายเป็นเรื่องสนุก
ไหนเลยเร็วกว่าผู้ใหญ่ไปได้ ตัวผมลอยขึ้นเพราะมือใหญ่ของพ่อที่ช้อนผมขึ้นมาจับพาดบ่าไว้
“ปะๆ ปิก ดั้ยลูกหมูแล้วเฮาเฮ้ย ฮ่าๆๆ”
ผมไม่ร้องไห้ไม่พูด แต่ตีเอาที่หลังพ่อไปหลายที ระหว่างตีไปน้ำตามันก็แอบๆไหลอยู่เหมือนกัน กลายเป็นเรื่องสนุกไปซะอย่างนั้น ผมเห็นรอยยิ้มของพ่อ ของน้า ลุงๆญาติๆอีกหลายคน ก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันทำไมครับ เอาเป็นว่าแผนการหนีออกจากบ้านของผมไม่สำเร็จละงานนี้ ได้แต่ถูกพ่ออุ้มเดินกลับบ้านพร้อมกับคนอื่นๆและไอ้แต่วตัวดี มาสารภาพความผิดกับแม่
ผมเจอแม่ทีกำลังยืนตาแดงกับญาติอีกสี่ห้าคนอยู่หน้าบ้าน เดาว่าคงจะกำลังจะไปตามตัวหมูน้อยอย่างผม พ่อปล่อยผมลงไว้ตรงหน้าแม่ นึกว่าจะโดนเพี๊ยะเข้าให้ซะแล้ว แต่แม่กอดผมแล้วทำตาดุใส่
“ไปไหนมา นึกว่าตกน้ำบ่อตายไปแล้ว” แม่พูดเสียงสั่นเครือ เราปรับความเข้าใจหากันด้วยดีและผมก็เข้าใจจึงไม่โทษโกรธแม่แต่อย่างใด กลับยิ่งรู้รักท่านมากขึ้นด้วยซ้ำไป
จากนั้นผมก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนครับเพราะมันเลยเวลาเรียนมานานโขใกล้จะเที่ยงแล้ว ส่วนไอ้จันแม่บอกเดี่ยวกินข้าวเสร็จแล้วจะพาไปหา แกงหยวกในที่ผมก็ได้กินมันซักทีครับ กับข้าวมื้อนี้อร่อยจริงๆ