บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๑๒)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ จารย์จี GTW, คุณนันท์ turtle_cheesecake, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณ พาราพัฒน์, คุณ Lady Star 919, คุณซูซี่ Susisiri, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณ กลูตาเมท, คุณซอง SONG982, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ

บทก่อนๆ ค่ะ
บทนำ - บทที่ ๑  http://ppantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒ - บทที่ ๓  http://ppantip.com/topic/35379337
บทที่ ๔  http://ppantip.com/topic/35383294
บทที่ ๕  http://ppantip.com/topic/35386265
บทที่ ๖  http://ppantip.com/topic/35389519
บทที่ ๗  http://ppantip.com/topic/35392675
บทที่ ๘  http://ppantip.com/topic/35400069
บทที่ ๙  http://ppantip.com/topic/35407698
บทที่ ๑๐ http://ppantip.com/topic/35411784
บทที่ ๑๒ http://ppantip.com/topic/35422278


บทที่ ๑๒



ร่างสูงๆ เอนพิงต้นมะพร้าว สองแขนประสานกันบนแผ่นอก ทอดตามองไปทางชายหาดซึ่งเห็นอยู่ไม่ไกล

“สบโชคบอกว่าเถ้าแก่หลีกำลังสร้างเรือนหอให้ เห็นว่าพอสร้างเสร็จก็อาจจะต้องย้ายไปอยู่ที่นั่น คงจะต้องเอาคุณสร้อยไปด้วย” เสียงพูดเหมือนเปรยขึ้นลอยๆ

“คงอย่างนั้นกระมังคะ พี่โชคยังไม่ได้บอกอะไรดิฉันเลย”

“เธอจะไปอยู่ด้วยหรือ”

คำตอบมีแต่ความไม่มั่นใจ เพราะจริงๆ แล้วก็ยังไม่คิดไปไกลถึงเวลานั้น

“ดิฉันยังไม่ทราบเลยค่ะ”

คำถามต่อมากลายเป็นอีกเรื่อง ในเมื่อจิตใจคนพูดกำลังกระวนกระวายเมื่อคิดว่าต้องเข้าเรื่องที่ตั้งใจไว้ว่าจะพูดด้วยเสียที มองเห็นแล้วว่าอนาคตของสาวน้อยต้องมีการเปลี่ยนแปลงในอีกมิช้ามินาน เธออาจเลือกไปอยู่กับแม่ นั่นก็หมายถึงว่าจะไปอยู่เสียไกลห่าง โอกาสที่จะได้พบกันคงน้อยลง…หรือแทบไม่มีเลย ถ้าไปอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้ แม้จะยังคงอยู่ในพระนคร หากก็รู้ว่าคงไปหาได้ยากยิ่ง บ้านนั้นเป็นบ้านบิดามารดาของประพันธ์ แน่ใจว่าทุกคนที่นั่นรู้ว่านายร้อยตรีหนุ่มคิดอย่างไรกับหญิงสาวผู้นี้ คงพยายามกีดกันผู้ชายทุกคนไม่ให้เข้าใกล้เธอได้

ที่สำคัญคือเธอจะมีปัญหาหรือไม่ถ้าต้องไปอยู่ในที่ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม และถ้ามีปัญหาจะทำอย่างไร ในเมื่อจะว่าไปแล้ว ไอรีนแทบไม่มีใครเป็นหลักยึดได้อีก ทุกคนในครอบครัวของคุณสร้อยดูจะมีทางไปของตัว มีก็เพียงหญิงสาวไร้พ่อคนนี้ ซึ่งว่าไปแล้ว ก็แทบจะพูดได้ว่าไม่มีแม่เช่นกัน ในเมื่อแม่ก็มีครอบครัวใหม่ไปนานแล้ว

เมื่อคิดต่อไปว่าแหม่มมาร์กาเร็ตและสามีจะพักอยู่หัวหินเพียงสี่วัน วันมะรืนนี้ก็จะขึ้นไปเชียงใหม่แล้ว ตัวเขาเองก็ต้องกลับไปทำงานในวันรุ่งขึ้นเช่นกัน
“ฉันเป็นห่วงเธอนะ ไอรีน เป็นห่วงเธอมาก”

    ความอาทรในน้ำเสียงทำให้คนฟังตื้นตันอยู่ในส่วนลึก

    บอกให้รู้ถึงความรู้สึกของตัวแล้วเขาเอี้ยวตัวมามองเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ ทันได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลต้องเงาแดดส่งประกายใส

    “คุณราม…” เสียงเรียกขานชื่อเบาหวิว

    รามหันมาทั้งตัว แล้วก้มลงหา

    “ฉันอยากให้เธอไปอยู่กับฉัน”

    คราวนี้นัยน์ตาคู่ที่ชายหนุ่มกำลังจ้องมองเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ร่างน้อยๆ ถอยออกห่างราวด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัวเอง

    คนพูดคิดได้ ละล่ำละลักแก้แทบไม่ทัน

    “อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ฉันไม่ได้หมายความอย่างที่เธอคิดหรอก ไม่ได้คิดจะเอาเธอไป…เก็บไว้ที่บ้าน” แววในดวงตาคมลึกเต้นระยิบ ร่างใหญ่โตขยับเข้าหาจนใกล้

    “ฉันพูดอะไรหวานๆ ไม่เป็นหรอกนะ ไอรีน จะบอกตรงๆ เลยก็แล้วกัน พรุ่งนี้สายๆ ฉันต้องกลับไปทำงาน ก็เลยคิดไว้ว่าคืนนี้กินข้าวเย็นแล้วจะไปที่โฮเต็ลหัวหินอีกครั้ง จะไปพูดกับแม่ของเธอ แต่ฉันคิดว่าควรต้องพูดกับเธอให้เข้าใจกันเสียก่อน เพราะถ้าเธอรู้จากแม่ เธออาจตกใจ”

    “คุณ…คุณรามจะไปพูดกับแม่เรื่องอะไรคะ” นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลที่เงยขึ้นสบตาเขาเบิกกว้างยิ่งขึ้น คำพูดท้ายๆ ประโยคแผ่วหายไปในลำคอ

    “ฉันอยากให้เธอไปอยู่กับฉัน…หมายถึง…แต่งงานกับฉัน”

    พรายยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากคนพูด เสียงห้าวๆ ที่พูดประโยคหลังอ่อนโยนเสียเหลือเกิน อ่อนโยนจนคนฟังวูบไหว หัวใจเหมือนจะเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ ทั้งยังคงจ้องเขาอย่างงุนงง ยังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดเหล่านั้นในทันที ใครจะคิดไปถึงกันเล่า เด็กสาวอายุเพียงสิบเจ็ดปี จู่ๆ ก็มีคุณพระหนุ่มอนาคตไกลมาขอแต่งงาน บอกที่ไหนก็คงไม่มีใครเชื่อ

    “ตะ…แต่ง…แต่ง…งาน” ทวนคำสำคัญนั้นราวกับเป็นภาษาที่ตัวเองฟังไม่รู้เรื่อง

    รามไขว้สองมือไปไพล่หลังเสีย เกรงว่าจะอดใจไว้ไม่อยู่ ร่างเล็กๆ ตรงหน้า…บอบบางน่าทะนุถนอมไปเสียทุกส่วน ใบหน้านวลละมุนที่แหงนเงยขึ้นหา แววทั้งตื่นทั้งฉงนในดวงตา…ดูราวนางกวางระแวดระวังภัย

ช่างน่าพิสมัยเสียนี่กระไร ใจอยากรวบเอาทั้งหมดที่เห็นมาไว้แนบอก แล้วจะไม่ปล่อยให้พ้นตัวไปไหนอีก

    “ฉันรู้ดีว่าอายุของเราห่างกันมาก ฉันคงอายุใกล้เคียงกับแม่ของเธอมากกว่าตัวเธอเองด้วยซ้ำกระมัง แต่ก็ยังหวังว่าเธอจะไม่รังเกียจฉัน”

    คำใหม่แทรกเข้ามาในจิตรับรู้ของสาวน้อย

    “ระ…รังเกียจ…รังเกียจอะไรคะ มะ…ไม่ค่ะ…ไม่เลย”

    คราวนี้ใบหน้าคมคายระบายรอยยิ้มกว้างขวาง

    “ถ้าเธอไม่รังเกียจฉัน เธอจะแต่งงานกับฉันได้ไหมเล่า”

    เหมือนการเจรจาขอซื้อสินค้าไม่มีผิดเพี้ยน ไอรีนเคยคิดว่าเวลาที่ผู้ชายคนหนึ่งขอผู้หญิงแต่งงานควรมีอะไรมากกว่านี้ ควรมีการสารภาพรักด้วยภาษาที่ไพเราะจับจิตจับใจ ภายใต้แสงสีเงินจากจันทร์เต็มดวง ไม่ใช่ยืนตากแดดร้อนๆ ริมชายหาดรกเรื้อ ใต้เงามะพร้าวต้นผอมๆ แบบนี้

    “คุณรามหมายความว่า…” เสียงใสๆ ยังคงบอกชัดว่าไม่อยากเชื่อ

    รามรีบอธิบาย

    “หมายความว่าฉันขอให้เธอไปอยู่บ้านกับฉัน…กับฉันนะ…ไม่ใช่กับคนอื่นด้วย แล้วจะได้ทำขนมให้ฉันกินทุกวันอย่างไรเล่า ฉันจะได้ไม่ต้องหาเหตุเพื่อให้ได้ไปบ้านคุณสร้อยบ่อยๆ อย่างทุกวันนี้ด้วย”

    บทขยายความปนเสียงหัวเราะขัดเขินนั้นทำให้คนฟังสบายใจเสียยิ่งกว่าคำพูดไพเราะอื่นใดทั้งสิ้น

    “คุณรามหมายความว่าที่คุณรามไปบ้าน ก็เพื่อไปหาดิฉันหรือคะ”

    “ก็จะใครเสียอีกเล่า ทุกครั้งที่ไปบ้านเธอ ฉันตั้งใจไปก็เพราะรู้ว่าเธออยู่บ้านนะซี เรื่องไปดูความเป็นอยู่ของใครๆ ที่นั่นเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นหรอก” นายพันโทหนุ่มสารภาพตามตรง

    แก้มบางซ่านสีโลหิตระเรื่อขึ้นทันตาเห็นเมื่อเข้าใจความหมาย

    “คุณราม…พูดจริงหรือคะ”

    รามหัวเราะเต็มเสียง

    “อ้าว! พูดจริงสิ เรื่องแบบนี้พูดเล่นกันได้เสียที่ไหน มันอาจจะเร็วเกินไป เธออาจตั้งตัวไม่ทัน แต่ฉันจำเป็นต้องรีบบอกให้รู้ เพราะอีกวันสองวันแม่ของเธอก็จะขึ้นเหนือแล้ว หรือไม่เธอก็อาจตกลงใจไปอยู่กับแม่ที่สิงคโปร์ ฉันไม่อยากให้เธอไปไหน บอกตรงๆ ว่าฉันอยากเก็บเธอไว้กับตัวคนเดียว”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่