ขอบคุณทุกๆ คนที่มาอ่านนะคะ
ขอบคุณ คุณริมแม่โขง, คุณนันท์ turtle_cheesecake, คุณ Lady Star 919, คุณ สายป่านสีชมพู, จารย์จี GTW
ขอบคุณคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทนำ - บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒ - บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/35379337
บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/35383294
บทที่ ๕
http://ppantip.com/topic/35386265
บทที่ ๖
http://ppantip.com/topic/35389519
บทที่ ๗
http://ppantip.com/topic/35392675
บทที่ ๘
รามทันได้เห็นแววสลดผ่านวูบเข้ามาในดวงตาสีน้ำตาลใส ก่อนที่ใบหน้าหมดจดจะเมินไปทางชำมะนาดต้นใหญ่ข้างกำแพงคอนแวนต์ เริ่มเสียใจที่รับปากจะมาสู่ขอหญิงสาวให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา จริงๆแล้วประพันธ์และพ่อแม่ขอร้องให้ไปเจรจากับสร้อยโดยตรง แต่เหตุที่ต้องการจะได้ยินจากปากของสาวน้อยด้วยตัวเองว่ามีใจให้นายร้อยตรีผู้นั้นหรือไม่ จึงได้ตรงมาที่นี่ก่อน
"คุณพระ...เอ่อ...คุณราม…คิดว่าอย่างไรละคะ"
"เรื่องนี้เป็นเรื่องของเธอนะ ไอรีน ฉันตอบแทนเธอไม่ได้หรอก"
พิจารณาด้านข้างของใบหน้านวลละมุนนั้นแล้วก็อดใจหายเสียมิได้ อยากรู้เสียนักหนาว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับชายหนุ่มผู้นั้น ทั้งคู่เหมาะสมกันทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยที่ไม่ต่างกันมากจนเกินไป
พอลดสายตาลงดูสองมือเล็กๆ ก็เห็นว่ากำลังบิดกันให้เป็นเกลียวอยู่บนตัก
"ประพันธ์ไม่มีอะไรเสียหายนี่นะ ลูกเมียยังไม่มี พอกลับมาจากเยอรมนี ก็จะไปเป็นครูที่โรงเรียนนายร้อย..."
ใบหน้านวลผ่องหันขวับกลับมาทางคนพูด อยากตัดพ้อต่อว่า แต่ก็รู้ดี...ว่าไม่สมควร
"คุณพระ...คุณราม...คิดว่าดิฉันควรหมั้นกับพี่ประพันธ์อย่างนั้นหรือคะ"
รามเพ่งพิศนัยน์ตาสีน้ำตาลที่กำลังสะท้อนแสงแดดดูแวววาวราวดวงแก้วใส ประสานสองมือเข้าด้วยกัน
"อยากให้ฉันบอกตรงๆ หรือเปล่าเล่า"
"ค่ะ...คุณพระมีพระคุณกับดิฉัน ดิฉันอยากรู้ว่าคุณพระคิดอย่างไร ถ้าเห็นควร ดิฉันก็จะทำตาม"
อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตว่าคำเรียกชื่อเขากลับไปเป็นอย่างเดิมแล้ว
"เดี๋ยวก่อน...ขอฉันถามก่อน...ตัวเธอเองเล่า คิดอย่างไรกับประพันธ์"
คราวนี้หญิงสาวตอบได้โดยไม่ต้องคิด
"ดิฉันนับถือพี่ประพันธ์อย่างพี่ชายค่ะ ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นเลย"
รามลอบระบายลมหายใจยาวเหยียด
"กระนั้นหรอกหรือ ฉันเข้าใจไปว่าเธอกับประพันธ์ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว"
"ไม่นี่คะ" ใจกลับมาเป็นกองเมื่อได้สารภาพไปแล้ว "ตอนที่พี่ประพันธ์มาพูดกับดิฉัน ดิฉันเข้าใจว่าหมายถึงผู้หญิงคนอื่นดอกค่ะ"
และแล้วก็ร้อนรนขึ้นมาเมื่อคิดได้
"พี่ประพันธ์ต้องเข้าใจผิดแน่ๆ ดิฉันควรพูดกับพี่เขาอย่างไรดี เขาจึงจะเข้าใจ ไม่อยากให้เสียน้ำใจเลยค่ะ"
"บอกเสียตรงๆ ประพันธ์คงเข้าใจ" เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เสียงห้าวๆ จึงฟังดูดีขึ้นมาก
หากถึงกระนั้นไอรีนก็ยังไม่อยากหักหาญน้ำใจเพื่อนสนิทของพี่ชายอยู่ดี
"แต่ว่า..."
อีกฝ่ายพอเดาได้ จึงยิ้มอย่างเอ็นดู
“คงห่วงความรู้สึกของเขาละซี จะให้ฉันพูดให้ไหมเล่า”
เสนอไปแล้วคิดขึ้นได้ ถ้าเป็นคนพูดเอง นายร้อยตรีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะเข้าใจว่าอย่างไร จะยอมรับได้ละหรือ
"แต่มาคิดอีกที เธอพูดกับเขาเองคงดีกว่า"
“ถ้าดิฉันบอกพี่ประพันธ์ว่าคอยให้กลับมาจากฝึกทหารเสียก่อน แล้วค่อยมาตกลงกันอีกที คุณพระ…เอ่อ…คุณรามว่าดีไหมคะ” เห็นรอยยิ้มเมื่อครู่ของเขา คำเรียกชื่อก็ค่อยๆเปลี่ยนกลับมาเป็นตามที่เขาต้องการอีกครั้ง
“ก็เหมือนยืดเวลาออกไป แต่ก็ตามใจนะ นั่นคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วกระมัง”
แม้จะหาทางออกซึ่งคิดว่าดีที่สุดได้แล้ว แต่ก็ยังไม่หมดเรื่องหนักใจ ยังสงสารเพื่อนพี่ชายอยู่ดี
“ยังไม่สบายใจอย่างนั้นหรือ” รามมองออก
“ค่ะ ดิฉันไม่อยากให้พี่ประพันธ์ต้องเสียใจ” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงสลดลงอีก
"แล้วจะเอาอย่างไรล่ะ หรือเธอจะยอมเป็นฝ่ายเสียใจเอง"
ศีรษะเล็กๆส่ายไปมา
"ก็พูดกับเขาดีๆ อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ บอกเขาว่าให้ไปฝึกทหารเสียก่อน กลับมาแล้วค่อยตกลงกันอีกทีว่าจะเอาอย่างไร"
"คุณรามว่าพี่ประพันธ์จะผิดหวังไหมคะ"
"ก็คงมีบ้างล่ะ คนเราถ้าอยากได้อะไรมากๆแล้วไม่ได้ตามที่ต้องการ ก็ต้องมีผิดหวังบ้างล่ะ"
โดยไม่รู้ตัว ไอรีนกำลังพูดคุยอย่างเปิดอกกับผู้ชายซึ่งเมื่อสามเดือนที่แล้วยังเป็นเพียงคนแปลกหน้า และเมื่อสองเดือนก่อนเป็นคนที่เธอเพิ่งรู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…หวาดเกรง...ในเย็นวันแรกที่พบกัน
"ถ้าเป็นคุณราม คุณรามจะผิดหวังไหมคะ"
ริมฝีปากบางหยักได้รูปเหยียดยิ้มอีกครั้ง
"ยิ่งอะไรที่เราอยากได้เป็นเจ้าของมาก ถ้าไม่ได้ เราก็ยิ่งผิดหวังมาก หรือเธอว่าไม่จริง"
"แต่ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งของนี่คะ"
ยิ้มนั้นกว้างขึ้นอีก
"นั่นซีนะ ฉันคงเปรียบผิดไป เอาใหม่ก็ได้ ถ้าเป็นฉัน ถ้าฉันพึงใจใคร หรือว่า...รักใคร...แล้วไม่ได้เป็นเจ้าของ...หมายถึง…ไม่ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ฉันต้องผิดหวังแน่ๆ แต่ในเวลาเดียวกัน ถ้าเขาไม่คิดกับฉันอย่างเดียวกับที่ฉันคิดกับเขา ก็คงต้องยอมรับความจริง ฉันเป็นคนที่ไ่ม่ชอบการบังคับให้ใครต้องทำอะไรที่เขาไม่อยากทำ ยิ่งเรื่องแต่งงาน ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ คนสองคนที่มาจากครอบครัวต่างกัน ต้องมาอยู่ด้วยกันไปจนตลอดชีวิต ก็ควรต้องมีอะไรเป็นพื้นฐานรองรับมากกว่าความสงสาร หรือเพราะคนอื่นเห็นว่าเหมาะสมกัน"
เขาว่าเสียยาวเหยียด จนคนฟังเพลิน แทบสะดุ้งเมื่อจบด้วยคำถามแบบที่ใช้บ่อยจนเธอเริ่มจะคุ้นเคย
“เธอว่าจริงไหม”
“ค่ะ” รีบตอบแทบไม่ทัน รอยยิ้มแผ่วจางปรากฏที่ริมฝีปากโดยไม่รู้สึกตัวเมื่อคิดว่าถ้าลองตอบว่า ‘ไม่จริงค่ะ’ สักครั้ง แล้วเขาจะว่าอย่างไร จะไม่พอใจไหม
รามเห็นรอยยิ้มนั้น
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ เธอเห็นตามที่ฉันพูดจริงๆหรือ”
“จริงค่ะ” คราวนี้ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
อยากถามต่อว่าแล้วตัวเธอเองเล่าถ้าจะแต่งงาน จะแต่งเพราะเหตุใด แต่คิดว่าคำถามลักษณะนั้นยังเร็วเกินไป ยังมีโอกาสอีกมากที่จะเลียบๆเคียงๆถามอะไรลักษณะนั้น ตอนนี้ก็ได้คำตอบในเรื่องที่อยากรู้และหนักใจเรื่องหนึ่งแล้ว จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย
"อีกเดือนเดียวก็จะเรียนจบแล้วใช่ไหม"
“ค่ะ”
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้รามต้องรีบมาหยั่งเสียงสาวน้อยด้วยตัวเองในคราวนี้ คิดว่าถ้าเธอมีใจให้นายร้อยตรีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ก็จะยอมรับเป็นเถ้าแก่สู่ขอให้ แต่ถ้าไ่ม่ ก็มีเรื่องให้ต้องจัดการอีกเรื่อง
รู้จากสบโชคเมื่อถามถึงความเป็นอยู่ของไอรีน ว่าคุณสร้อยกำลังจะพาลูกเลี้ยงสาวไปงานบวชของหลานชายที่เมืองนนท์ พอจะมองออกว่าหล่อนกำลังทำตามที่คุณสำรวยเคยพูดไว้จริงๆ แจ้งจะบวชเพียงพรรษาหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็คงมาสู่ขอสาวน้อย
ทางเดียวที่จะกันไม่ให้ไอรีนต้องไปร่วมงานบวชคือต้องทำให้เธอไม่ว่างเสียในวันนั้น
“เธอเคยไปเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาไหม”
นัยน์ตาสีน้ำตาลใสเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น เมื่อก่อนนี้ ครั้งที่บิดายังมีชีวิตอยู่ ไอรีนเคยไปเวียนเทียนกับท่านแทบจะทุกปี
“เคยค่ะ”
“ปีนี้อยากไปเวียนเทียนอีกไหม ไปดูโคมประทีบด้วย ฉันจะพาไป ”
ตาคู่สวยเบิกกว้างยิ่งขึ้น หมายความว่าจะต้องไปกับเขาตามลำพังอย่างนั้นหรือ ใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง ไม่กล้าทั้งตอบรับหรือปฏิเสธ
“มะแมร์อยู่ไหนละนี่ จะได้บอกไว้เสียวันนี้เลย เพราะวันนั้นคงพากลับมาส่งก็เมื่อค่ำไปแล้ว” เขาสรุปเอาเองเสร็จสรรพ แล้วลุกยืนโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้คัดค้าน
"คุณรามไม่ต้องขออนุญาตจากมะแมร์หรอกค่ะ คุณแม่ใหญ่สั่งพี่โชคมาบอกไว้แล้วว่าให้กลับบ้าน จะได้ไปเมืองนนท์ด้วยกัน"
"ไปเมืองนนท์ทำไม เขาบอกหรือเปล่า" รามลองหยั่งเสียงขณะออกเดินนำมาทางประตูใหญ่ของคอนแวนต์
"ไม่ได้บอกค่ะ บอกเพียงว่าให้กลับบ้าน"
รามพอเดาได้ว่าสร้อยคงไม่อยากให้ลูกเลี้ยงสาวน้อยรู้ตัวเสียก่อน คงกลัวว่าเธออาจหาเหตุไม่กลับบ้านก็เป็นได้
"ถ้าอย่างนั้นพอกลับบ้านก็บอกคุณสร้อยก็แล้วกันว่าฉันจะมารับแต่เช้า"
ใบหน้าหมดจดเงยขวับขึ้นมองคนพูด แผนเปลี่ยนเสียแล้วหรือ ก็เมื่อครู่เพิ่งบอกว่าจะมารับเวลาบ่ายเพื่อไปเวียนเทียน นี่กลายเป็นเช้าไปแล้วหรือ
เขาก้มลงสบตาแล้วยิ้มเมื่อเห็นคิ้วเรียวย่นเข้าหากัน
"ก็บอกไปอย่างนั้นก่อน แล้วฉันค่อยคิดว่าจะไปไหนกันดี ตอนบ่ายๆค่อยไปดูโคมดูเทียนกันที่ทุ่งพระเมรุ แล้วเราไปเวียนเทียน แบบนี้ดีไหม คุณสร้อยจะได้เห็นว่าเธอจะยุ่งทั้งวัน ไปเมืองนนท์ไม่ได้แน่"
"ค่ะ" ตอบรับเสียงแผ่วเบา "ดิฉันจะเตรียมสำรับเพื่อใส่บาตรค่ะ"
"ดีแล้ว ชวนแม่อนงค์ของเธอไปด้วยก็แล้วกัน จะได้ไม่มีใครเอาไปว่าได้ เธอเองก็คงสบายใจด้วยเหมือนกัน เห็นด้วยไหม"
ไอรีนก้มลงยิ้มกับพื้นหญ้า เขาจบท้ายประโยคแบบถนัดอีก คำตอบจึงเหมือนเดิมอีกครั้ง
"ค่ะ"
บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๘)
ขอบคุณ คุณริมแม่โขง, คุณนันท์ turtle_cheesecake, คุณ Lady Star 919, คุณ สายป่านสีชมพู, จารย์จี GTW
ขอบคุณคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทนำ - บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒ - บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/35379337
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/35383294
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/35386265
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/35389519
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/35392675
รามทันได้เห็นแววสลดผ่านวูบเข้ามาในดวงตาสีน้ำตาลใส ก่อนที่ใบหน้าหมดจดจะเมินไปทางชำมะนาดต้นใหญ่ข้างกำแพงคอนแวนต์ เริ่มเสียใจที่รับปากจะมาสู่ขอหญิงสาวให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา จริงๆแล้วประพันธ์และพ่อแม่ขอร้องให้ไปเจรจากับสร้อยโดยตรง แต่เหตุที่ต้องการจะได้ยินจากปากของสาวน้อยด้วยตัวเองว่ามีใจให้นายร้อยตรีผู้นั้นหรือไม่ จึงได้ตรงมาที่นี่ก่อน
"คุณพระ...เอ่อ...คุณราม…คิดว่าอย่างไรละคะ"
"เรื่องนี้เป็นเรื่องของเธอนะ ไอรีน ฉันตอบแทนเธอไม่ได้หรอก"
พิจารณาด้านข้างของใบหน้านวลละมุนนั้นแล้วก็อดใจหายเสียมิได้ อยากรู้เสียนักหนาว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับชายหนุ่มผู้นั้น ทั้งคู่เหมาะสมกันทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยที่ไม่ต่างกันมากจนเกินไป
พอลดสายตาลงดูสองมือเล็กๆ ก็เห็นว่ากำลังบิดกันให้เป็นเกลียวอยู่บนตัก
"ประพันธ์ไม่มีอะไรเสียหายนี่นะ ลูกเมียยังไม่มี พอกลับมาจากเยอรมนี ก็จะไปเป็นครูที่โรงเรียนนายร้อย..."
ใบหน้านวลผ่องหันขวับกลับมาทางคนพูด อยากตัดพ้อต่อว่า แต่ก็รู้ดี...ว่าไม่สมควร
"คุณพระ...คุณราม...คิดว่าดิฉันควรหมั้นกับพี่ประพันธ์อย่างนั้นหรือคะ"
รามเพ่งพิศนัยน์ตาสีน้ำตาลที่กำลังสะท้อนแสงแดดดูแวววาวราวดวงแก้วใส ประสานสองมือเข้าด้วยกัน
"อยากให้ฉันบอกตรงๆ หรือเปล่าเล่า"
"ค่ะ...คุณพระมีพระคุณกับดิฉัน ดิฉันอยากรู้ว่าคุณพระคิดอย่างไร ถ้าเห็นควร ดิฉันก็จะทำตาม"
อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตว่าคำเรียกชื่อเขากลับไปเป็นอย่างเดิมแล้ว
"เดี๋ยวก่อน...ขอฉันถามก่อน...ตัวเธอเองเล่า คิดอย่างไรกับประพันธ์"
คราวนี้หญิงสาวตอบได้โดยไม่ต้องคิด
"ดิฉันนับถือพี่ประพันธ์อย่างพี่ชายค่ะ ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นเลย"
รามลอบระบายลมหายใจยาวเหยียด
"กระนั้นหรอกหรือ ฉันเข้าใจไปว่าเธอกับประพันธ์ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว"
"ไม่นี่คะ" ใจกลับมาเป็นกองเมื่อได้สารภาพไปแล้ว "ตอนที่พี่ประพันธ์มาพูดกับดิฉัน ดิฉันเข้าใจว่าหมายถึงผู้หญิงคนอื่นดอกค่ะ"
และแล้วก็ร้อนรนขึ้นมาเมื่อคิดได้
"พี่ประพันธ์ต้องเข้าใจผิดแน่ๆ ดิฉันควรพูดกับพี่เขาอย่างไรดี เขาจึงจะเข้าใจ ไม่อยากให้เสียน้ำใจเลยค่ะ"
"บอกเสียตรงๆ ประพันธ์คงเข้าใจ" เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เสียงห้าวๆ จึงฟังดูดีขึ้นมาก
หากถึงกระนั้นไอรีนก็ยังไม่อยากหักหาญน้ำใจเพื่อนสนิทของพี่ชายอยู่ดี
"แต่ว่า..."
อีกฝ่ายพอเดาได้ จึงยิ้มอย่างเอ็นดู
“คงห่วงความรู้สึกของเขาละซี จะให้ฉันพูดให้ไหมเล่า”
เสนอไปแล้วคิดขึ้นได้ ถ้าเป็นคนพูดเอง นายร้อยตรีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะเข้าใจว่าอย่างไร จะยอมรับได้ละหรือ
"แต่มาคิดอีกที เธอพูดกับเขาเองคงดีกว่า"
“ถ้าดิฉันบอกพี่ประพันธ์ว่าคอยให้กลับมาจากฝึกทหารเสียก่อน แล้วค่อยมาตกลงกันอีกที คุณพระ…เอ่อ…คุณรามว่าดีไหมคะ” เห็นรอยยิ้มเมื่อครู่ของเขา คำเรียกชื่อก็ค่อยๆเปลี่ยนกลับมาเป็นตามที่เขาต้องการอีกครั้ง
“ก็เหมือนยืดเวลาออกไป แต่ก็ตามใจนะ นั่นคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วกระมัง”
แม้จะหาทางออกซึ่งคิดว่าดีที่สุดได้แล้ว แต่ก็ยังไม่หมดเรื่องหนักใจ ยังสงสารเพื่อนพี่ชายอยู่ดี
“ยังไม่สบายใจอย่างนั้นหรือ” รามมองออก
“ค่ะ ดิฉันไม่อยากให้พี่ประพันธ์ต้องเสียใจ” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงสลดลงอีก
"แล้วจะเอาอย่างไรล่ะ หรือเธอจะยอมเป็นฝ่ายเสียใจเอง"
ศีรษะเล็กๆส่ายไปมา
"ก็พูดกับเขาดีๆ อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ บอกเขาว่าให้ไปฝึกทหารเสียก่อน กลับมาแล้วค่อยตกลงกันอีกทีว่าจะเอาอย่างไร"
"คุณรามว่าพี่ประพันธ์จะผิดหวังไหมคะ"
"ก็คงมีบ้างล่ะ คนเราถ้าอยากได้อะไรมากๆแล้วไม่ได้ตามที่ต้องการ ก็ต้องมีผิดหวังบ้างล่ะ"
โดยไม่รู้ตัว ไอรีนกำลังพูดคุยอย่างเปิดอกกับผู้ชายซึ่งเมื่อสามเดือนที่แล้วยังเป็นเพียงคนแปลกหน้า และเมื่อสองเดือนก่อนเป็นคนที่เธอเพิ่งรู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…หวาดเกรง...ในเย็นวันแรกที่พบกัน
"ถ้าเป็นคุณราม คุณรามจะผิดหวังไหมคะ"
ริมฝีปากบางหยักได้รูปเหยียดยิ้มอีกครั้ง
"ยิ่งอะไรที่เราอยากได้เป็นเจ้าของมาก ถ้าไม่ได้ เราก็ยิ่งผิดหวังมาก หรือเธอว่าไม่จริง"
"แต่ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งของนี่คะ"
ยิ้มนั้นกว้างขึ้นอีก
"นั่นซีนะ ฉันคงเปรียบผิดไป เอาใหม่ก็ได้ ถ้าเป็นฉัน ถ้าฉันพึงใจใคร หรือว่า...รักใคร...แล้วไม่ได้เป็นเจ้าของ...หมายถึง…ไม่ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ฉันต้องผิดหวังแน่ๆ แต่ในเวลาเดียวกัน ถ้าเขาไม่คิดกับฉันอย่างเดียวกับที่ฉันคิดกับเขา ก็คงต้องยอมรับความจริง ฉันเป็นคนที่ไ่ม่ชอบการบังคับให้ใครต้องทำอะไรที่เขาไม่อยากทำ ยิ่งเรื่องแต่งงาน ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ คนสองคนที่มาจากครอบครัวต่างกัน ต้องมาอยู่ด้วยกันไปจนตลอดชีวิต ก็ควรต้องมีอะไรเป็นพื้นฐานรองรับมากกว่าความสงสาร หรือเพราะคนอื่นเห็นว่าเหมาะสมกัน"
เขาว่าเสียยาวเหยียด จนคนฟังเพลิน แทบสะดุ้งเมื่อจบด้วยคำถามแบบที่ใช้บ่อยจนเธอเริ่มจะคุ้นเคย
“เธอว่าจริงไหม”
“ค่ะ” รีบตอบแทบไม่ทัน รอยยิ้มแผ่วจางปรากฏที่ริมฝีปากโดยไม่รู้สึกตัวเมื่อคิดว่าถ้าลองตอบว่า ‘ไม่จริงค่ะ’ สักครั้ง แล้วเขาจะว่าอย่างไร จะไม่พอใจไหม
รามเห็นรอยยิ้มนั้น
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ เธอเห็นตามที่ฉันพูดจริงๆหรือ”
“จริงค่ะ” คราวนี้ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
อยากถามต่อว่าแล้วตัวเธอเองเล่าถ้าจะแต่งงาน จะแต่งเพราะเหตุใด แต่คิดว่าคำถามลักษณะนั้นยังเร็วเกินไป ยังมีโอกาสอีกมากที่จะเลียบๆเคียงๆถามอะไรลักษณะนั้น ตอนนี้ก็ได้คำตอบในเรื่องที่อยากรู้และหนักใจเรื่องหนึ่งแล้ว จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย
"อีกเดือนเดียวก็จะเรียนจบแล้วใช่ไหม"
“ค่ะ”
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้รามต้องรีบมาหยั่งเสียงสาวน้อยด้วยตัวเองในคราวนี้ คิดว่าถ้าเธอมีใจให้นายร้อยตรีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ก็จะยอมรับเป็นเถ้าแก่สู่ขอให้ แต่ถ้าไ่ม่ ก็มีเรื่องให้ต้องจัดการอีกเรื่อง
รู้จากสบโชคเมื่อถามถึงความเป็นอยู่ของไอรีน ว่าคุณสร้อยกำลังจะพาลูกเลี้ยงสาวไปงานบวชของหลานชายที่เมืองนนท์ พอจะมองออกว่าหล่อนกำลังทำตามที่คุณสำรวยเคยพูดไว้จริงๆ แจ้งจะบวชเพียงพรรษาหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็คงมาสู่ขอสาวน้อย
ทางเดียวที่จะกันไม่ให้ไอรีนต้องไปร่วมงานบวชคือต้องทำให้เธอไม่ว่างเสียในวันนั้น
“เธอเคยไปเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาไหม”
นัยน์ตาสีน้ำตาลใสเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น เมื่อก่อนนี้ ครั้งที่บิดายังมีชีวิตอยู่ ไอรีนเคยไปเวียนเทียนกับท่านแทบจะทุกปี
“เคยค่ะ”
“ปีนี้อยากไปเวียนเทียนอีกไหม ไปดูโคมประทีบด้วย ฉันจะพาไป ”
ตาคู่สวยเบิกกว้างยิ่งขึ้น หมายความว่าจะต้องไปกับเขาตามลำพังอย่างนั้นหรือ ใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง ไม่กล้าทั้งตอบรับหรือปฏิเสธ
“มะแมร์อยู่ไหนละนี่ จะได้บอกไว้เสียวันนี้เลย เพราะวันนั้นคงพากลับมาส่งก็เมื่อค่ำไปแล้ว” เขาสรุปเอาเองเสร็จสรรพ แล้วลุกยืนโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้คัดค้าน
"คุณรามไม่ต้องขออนุญาตจากมะแมร์หรอกค่ะ คุณแม่ใหญ่สั่งพี่โชคมาบอกไว้แล้วว่าให้กลับบ้าน จะได้ไปเมืองนนท์ด้วยกัน"
"ไปเมืองนนท์ทำไม เขาบอกหรือเปล่า" รามลองหยั่งเสียงขณะออกเดินนำมาทางประตูใหญ่ของคอนแวนต์
"ไม่ได้บอกค่ะ บอกเพียงว่าให้กลับบ้าน"
รามพอเดาได้ว่าสร้อยคงไม่อยากให้ลูกเลี้ยงสาวน้อยรู้ตัวเสียก่อน คงกลัวว่าเธออาจหาเหตุไม่กลับบ้านก็เป็นได้
"ถ้าอย่างนั้นพอกลับบ้านก็บอกคุณสร้อยก็แล้วกันว่าฉันจะมารับแต่เช้า"
ใบหน้าหมดจดเงยขวับขึ้นมองคนพูด แผนเปลี่ยนเสียแล้วหรือ ก็เมื่อครู่เพิ่งบอกว่าจะมารับเวลาบ่ายเพื่อไปเวียนเทียน นี่กลายเป็นเช้าไปแล้วหรือ
เขาก้มลงสบตาแล้วยิ้มเมื่อเห็นคิ้วเรียวย่นเข้าหากัน
"ก็บอกไปอย่างนั้นก่อน แล้วฉันค่อยคิดว่าจะไปไหนกันดี ตอนบ่ายๆค่อยไปดูโคมดูเทียนกันที่ทุ่งพระเมรุ แล้วเราไปเวียนเทียน แบบนี้ดีไหม คุณสร้อยจะได้เห็นว่าเธอจะยุ่งทั้งวัน ไปเมืองนนท์ไม่ได้แน่"
"ค่ะ" ตอบรับเสียงแผ่วเบา "ดิฉันจะเตรียมสำรับเพื่อใส่บาตรค่ะ"
"ดีแล้ว ชวนแม่อนงค์ของเธอไปด้วยก็แล้วกัน จะได้ไม่มีใครเอาไปว่าได้ เธอเองก็คงสบายใจด้วยเหมือนกัน เห็นด้วยไหม"
ไอรีนก้มลงยิ้มกับพื้นหญ้า เขาจบท้ายประโยคแบบถนัดอีก คำตอบจึงเหมือนเดิมอีกครั้ง
"ค่ะ"