ไขมันจากน้ำมัน มีประโยชน์ จริง หรือ มั่วนิ่ม ?

เฮลโล่ววววว เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ วันนี้ปาล์มเอาความรู้ดีๆมาฝากกันนะจ๊ะ
เนื่องด้วยตอนนี้ น้ำหนักตัวปาล์มเกินแบบไม่น่าให้อภัย จึงอยากจะหาทางลดสักกะหน่อย
แต่ปกติ เป็นคนชอบกินอาหารประเภททอดมาก (รู้สึกมันจะอร่อยมากกว่าประเภทอื่นๆ )
ปาล์มจึงไปศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องไขมันในน้ำมันมา
ตอนแรกว่าจะกินคลีน แต่เอาเราไม่อยู่จริงๆ แหะๆ ไม่ไหวรู้สึกอาหารคลีน มันเข้าถึงยากจัง อิอิ (เดินทางสายปกติ แล้วควบคุมเอาดีกว่าเรา ถ้าจะดีกว่า)
อ่ะ !! อย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้ เรามาเปิดตำรากันดีกว่า เลท สะ โก !!!!
น้ำมันที่เราใช้ทำอาหาร ถูกสกัดออกมาหลากหลายชนิด แต่หลักๆ จะมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ
1.    ไขมันจากพืช จำพวก ปาล์ม, มะพร้าว, รำข้าว, ถั่วเหลือง และ มะกอก เป็นต้น
2.    ไขมันจากสัตว์ คือ มันหมู
หากต้องการจะลดความอ้วนนั้น การงดกินไขมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะจริงๆแล้วร่างกายต้องการไขมันประมาณ 15-30% ของพลังงานทั้งหมด
ที่ร่างกายควรได้รับ อีกทั้ง ไขมันยังเป็นตัวช่วยในการดูดซึมวิตามินต่างๆ อีกด้วย เช่น วิตามิน A, D, E และ K
แล้ว...ไขมันแบบไหน ที่เหมาะสมกับผู้หญิงแบบเรากันเล่า ? เรามาดูกันดีกว่าค่ะ
โดยปกติน้ำมันที่เราใช้กัน ก็จะมี น้ำมันปาล์ม, น้ำมันหมู, น้ำมันมะกอก, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันรำข้าว



และไขมันก็จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.    ไขมันอิ่มตัว มีวิจัยบอกว่า หากทานไขมันประเภทนี้มาก อาจเสี่ยงไขมันในเลือดสูง และ อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด
2.    ไขมันไม่อิ่มตัว การวิจัยบอกว่าไขมันประเภทนี้ เป็นไขมันที่ดี มีส่วนช่วยลดคอเรสเตอรอลได้
3.    ไขมันทรานส์ นี่มันตัวร้ายเลยนะคะหัวหน้า! เป็นไขมันที่ทำลายสุขภาพ เจ้านี่มันคือไขมันไม่อิ่มตัว ที่แปลงเปลี่ยนเป็นไขมันอิ่มตัวซะงั้น

เมื่อรู้จักประเภทและคุณสมบัติทั้งดีและไม่ดี ของไขมันกันไปแล้ว เราลองมาจัดประเภทน้ำมันแต่ละชนิดกันว่า ให้ไขมันประเภทไหน ?



1.    น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง (ห้ามทานมากนะคะ) ได้แก่ น้ำมันหมู, น้ำมันปาล์ม และ น้ำมันมะพร้าว
กลุ่มนี้มีทั้งกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวด้วย แต่สัดส่วนไขมันไม่อิ่มตัวน้อยกว่า


2.    น้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง ได้แก่ น้ำมันมะกอก, น้ำมันถั่วเหลือง และ น้ำมันรำข้าว
(น้ำมันพืชส่วนใหญ่ ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้ แต่ในน้ำมันพืชนั้น ก็มีกรดไขมันอิ่มตัวอยู่ด้วย แต่ในสัดส่วนที่น้อยกว่า)
และเมื่อเราลองเอาน้ำมันทั้งหมด แช่ตู้เย็นแล้ว พบว่า น้ำมันมะกอก, น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันรำข้าว ไม่เป็นไข เลย


3.    ไขมันทรานส์

Shortening หรือ เนยขาว สร้างขึ้นจากการเติมไฮโดรเจนเข้าไปในไขมันพืชแบบไม่อิ่มตัวสูง
แปลงร่างมันให้กลายเป็นไขมันที่คงรูปเช่นนี้ (ใช้ในการทำขนม จำพวกเบเกอรี่)
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากกรรมวิธีนี้ก็คือการเกิดไขมันทรานส์นั่นเอง

ด้านล่างนี้เป็นตารางเปรียบเทียบของน้ำมันแต่ละชนิด




วิธีการใช้น้ำมันแต่ละประเภทให้เหมาะสมและถูกต้อง
1.    ไม่ใช่ไฟแรงเกินไปในการทำอาหาร หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาว่าเวลาทอดควรใช้น้ำมันปาล์ม
เพราะทนความร้อนดีที่สุด น้ำมันอื่นไม่ควรใช้ แต่จริงๆแล้วน้ำมันที่นำมาทดสอบในคราวนี้นั้น
เกือบทุกตัวมีจุดเกิดควันอยู่ที่ประมาณ 230-250 องศาเซลเซียส
(ยกเว้นน้ำมันมะกอกกับน้ำมันมะพร้าวที่จุดเกิดควันจะต่ำกว่า)
ตารางด้านล่าง คือจุดเกิดควันของน้ำมันแต่ละชนิด



2.    หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันทอดซ้ำ เพราะอาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้น
ส่งผลให้น้ำมันมีสีดำ มีกลิ่นเหม็นหืน มีฟองและเหนียวหนืด ทำให้เกิดสารพิษที่เรียกว่า “สารโพล่าร์”
เป็นอันตรายอย่างมาก เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคมะเร็งอีกด้วย
3.    ถ้าจะกินน้ำมันแบบเพียวๆ อาทิเช่น กินกับสลัด หรือ ใช้ทำน้ำสลัด ให้ใช้เป็นน้ำมันมะกอก
หรือ น้ำมันถั่วเหลืองที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงแทนนะคะ
(ตัวนี้แหละ เลิศสำหรับสาวๆ แบบเรา น้ำสลัดที่ผสมน้ำมันมะกอก รสชาติไม่เลวเลยนะ ขอบอก)

หวังว่าข้อมูลที่ปาล์มเอามาเเชร์ในวันนี้จะช่วยให้เพื่อนเลือกทานน้ำมันตามความเหมาะสมได้นะคะ
เพื่อสุขภาพที่ดี หุ่นที่เลิศแบบสาวยุคใหม่ ใส่ใจสุขภาพแบบเราค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก boxza.com
CR : http://pr.boxza.com/news/58004
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่