เวลาเราพูดถึงเรื่องพวกนี้หรือใครสักคน ถ้าหากเขามีเหตุผลพอมันจะไม่จบ ทั้งคู่จะจบด้วยการคิดไปไกลหรือทะเราะกัน หรือถ้าทั้งคู่เห็นตามกันพวกเขาจะเป็นเพื่อนกันทันที หากเถียงกับอาจารย์ปรัชญามันจะจบลงตรงสมมุติบัญญัติ ถ้าไปเถียงกับนักศาสนามันจะจบลงตรงที่คุณจะตามเข้าไปไม่ได้เพราะเขาเชื่อ (แต่พอดีผมไม่ได้เชื่อ) แต่เวลาที่คุณพูดในที่สารธณะ สังเกตดูครับ เวลาที่คนเราพูดไปจะมีบางครั้งหลักๆ ที่มันออกไปในสามทางนี้ แล้วมันก็จะวนกลับมาที่เดิม เหมือนกับพอคุณคุยไปเขาจะอ้างสมมุติบัญญาติ พออ้างปุ้บคุณก็จะถามต่อไปว่าถ้ามันไม่มีอะไรเลยแล้วคุณทำทั้งหมดนี้ไปทำไม เขาก็จะอ้างว่าเพราะว่าโลกนี้มันอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งสังเกตุว่า เรื่องนี้กลับมาอยู่ที่เดิมอีกแล้ว ซึ่งถ้ามันอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกจะอ้างสมมุติบัญญาติตั้แต่แรกทำไม ทำไมคุณไม่อธิบายให้มันจบตรงนี้ไปเลย แล้วคนที่นับถือศาสนาเก่งๆ ก็จะมีวิธีคล้ายๆ กับเพื่อโยงออกข้างนอก หรือพูดบางอย่างที่คุณไม่เข้าใจ หรือไม่มีทางเข้าใจ แล้วก็กลับมาที่เดิม ซึงไม่มีวันจบ ถ้ามันมีเหตุผลผมก็จะยังฟัง แต่ถ้ามีเรื่องหลลุดโลกมาเมื่อไหร่ ผมจะกล่าวขอบคุณแล้วเดินหนี
- สรุปว่าความจริงคืออะไร ขอในมุมมองของมนุษย์ แบบที่มนุษย์เข้าใจได้ (อ้างมิติที่ 5 มาผมยังจะรู้สึกดีมากกว่าอ้างว่าเทพเจ้าสร้างโลก ทั้งที่สองเรื่องพิสูจน์ไม่ได้ทั้งคู่)
ปล. ปกติผมจะหลีกเลี่ยงการแทคห้องศาสนาเพราะสังเกตุว่าถ้าคุณพูดเรื่องเหตุผลในนี้คุณมักจะถูกโจมตี แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวจริงๆ
ปปล. กระทู้นี้เพื่อการศึกษา
อะไรคือความจริงครับ
- สรุปว่าความจริงคืออะไร ขอในมุมมองของมนุษย์ แบบที่มนุษย์เข้าใจได้ (อ้างมิติที่ 5 มาผมยังจะรู้สึกดีมากกว่าอ้างว่าเทพเจ้าสร้างโลก ทั้งที่สองเรื่องพิสูจน์ไม่ได้ทั้งคู่)
ปล. ปกติผมจะหลีกเลี่ยงการแทคห้องศาสนาเพราะสังเกตุว่าถ้าคุณพูดเรื่องเหตุผลในนี้คุณมักจะถูกโจมตี แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวจริงๆ
ปปล. กระทู้นี้เพื่อการศึกษา