แปลอาการ ๓๒

อิมัสมิงกาเย   เกศาคือผม   อย่าได้ชื่นชม   ว่าผมโสภา   ทั้งเก้าล้านเส้น    ย่อมเป็นอนัตตา  ครั้นแก่ชรา   กลับขาวน่าชัง   โลมาคือขน  งอกทั่วทั้งตน   ย่อมเป็นอนิจจัง  ทั้งเก้าโกฏเส้น   ล้วนเป็นอะสุภัง   น่าเกลียดน่าชัง  อย่าชมว่าดี   นขาคือเล็บ   เมื่อหักมักเจ็บ   ว่าเล็บกาลี   ทั้งยี่สิบทัต   วิบัตยิ้ม   แก่นสารไม่มี  วิปริตสาฑาน  ทันตาคือฟัน  ๓๒  อันใช่แก่นใช่สาร   คอนขลุกงุกงัก  หลุดหักสาฑาณ  ไม่ตั้งอยู่นาน   ควรคิดอนิจจา   ตะโจคือหนัง  เปื่อยเน่าพ่องพัง   ทั่วทั้งกายยา  ถ้าจะม้วนเขา   เท่าผลพุดชา   คนอัตทะพารา   นับถือว่าดี   มังสังคือเนื้อ  เปื่อยเน่ามิเหลือ  เท่าเส้นเกสี  ทั้งเก้าร้อยชิ้น  ในกายอินทรีย์   ตายแล้วเป็นผี   รังเกียจเกลียดอาย  มหารูว่าเอ็น   เก้าร้อยทำเข็ญ   เมื่อยขบสารพางค์กาย  ลุกโอยนั่งโอย   รัญจวนครวญคราง  ให้โทษทุกอย่าง   อย่าถือว่าดี   อัฏฐิกระดูก   เส้นรัดมัดผูก  สามร้อยท่อนมี  ล้วนเป็นอนัตตา  อย่าชมว่าดี   แก่นสารไม่มี  เครื่องโถมแผ่นดิน   หาปัญญาไม่   รักใคร่อาจิน   ที่จะเพิ่มพูนดิน  บ่อมีได้คิดถึง  อวิชชาหุ้มห่อ  ผูกมัดรัดรึง  หลงรักตะบึง  บ่อมิคล้อยถอยหลัง   อัฐปิญชังคือ  เยื่อในกระดูก  เพลิงร้อนต้องถูก  ละลายไหลหลั่ง   เหม็นขื่นเหม็นเขียว  น่าเกลียดน่าชัง  ควรคิดอนิจจัง  ทุกขังอนัตตา  วัทถังคือม้าม  แต่ล้วนไม่งาม  โสโครกนักหนา  เครื่องเปื่อยเครื่องเน่า   โถมแผ่นพะสุธา   ครั้นสิ้นชีวา   กาแร้งแย่งกิน  หะทะยังคือหัวใจ   ม้ามปกคลุมไว้   ในอกอาจิณ  สิ้นลม  ละลาย  สุนัขขากากิน   เครื่องเน่าทั้งสิ้น  ไม่เหลือสักอัน   ยะกะนังว่าตับ   เป็นชิ้นระดับ  ระหว่างนมนั้น   กำหนดโดยสีๆ  แดงแสงฉัน   เครื่องเน่าทั้งนั้น  ในกายอินทรีย์  กิโลมะกัง  ผังผืดนั้นเล่า   พระสรรเพ็ชเจ้า   กำหนดโดยสีเหมือนผ้าทุกุลพัตร์ที่ผ้าพอดีเก่าๆ  เศร้าสีมิสู้งามตา  เป็นเครื่องสาธาร  อาหารแร้งกา  ควรคิดอนิจจา  อย่าได้ระวาง  ปีหะกังว่าพุง  จงตั้งจิตมุ่ง   อย่าเหินอย่างห่าง   เราเป็นกรรมฐาน  อย่าได้ระวาง  อาศัยอยู่ต่อ  ที่ท้ายดวงใจ  ปับผาสังว่าปอด  เอาปัญญาสอด  ส่องลงภายใน  ให้เห็นอนิจจัง  ประจักแจ่มใส   สีปอดนั้นไซร้  แดงๆ  สำราญ  สามสิบสองชิ้น  ติดกับสัณฐาน   เหมือนขนมอันหวาน  ตัดชิ้นเสี้ยวๆ  อันตังไส้ใหญ่  เป็นสายยาวเรียว  เป็นขดลดเลี้ยว   ยี่สิบแปดขด  ไส้ชายกำหนด    สามสิบสองศอก  ยืดยาวออกกว่าไส้สตรี  ไส้หญิงสั้นกว่า  สี่ศอกโดยมี  กำหนดโดยสี   เหมือนฉาบปูนขาว  เบื้องบนนั้นยาว  ตลอดลำคอ  เบื่องต่ำนั้นต่อ  ทวารเบื้องใต้  บางทีรัดไว้  บางทีโยนยาน  อุทะริมัง  อาหารใหม่    เข้าอยู่ในไส้  เหมือนไถ้ข้าวสาร  กะรีสังอาหารเก่า  ตามลงทวาร   เหม็นพันประมาณ  รังเกียจเกลียดชัง  ปีตังว่าดี  เขียวๆ  โดยสี   ดีมีสองอย่าง  อย่างหนึ่งดีฟัก  ซึบซาบสรรพางค์   ดีทั้งสองอย่าง    อะสุจิอะสุนัง   เสมหังสะเลดข้น  เป็นไขไหลล้น  น่าเกลียดน่าชัง  ท่านผู้บัณฑิต  ควรคิดอนิจจัง  สะเลดนี้ปิดบัง   อยู่บนอาหาร  บุพโพว่าหนอง  เกิดแต่พุพอง   เปื่อยเน่าทุกประการ  โลหิตดังสีเลือด  เหลวไหลซาบซ่าน   ทั่วกายทวาร   สีแดงดังชาต   เลือดข้นนั้นไซร้  พอได้เต็มบาท   เป็นอาโปธาตุ   ขังอยู่ในท้อง   ทับท่วมหัวใจ  ตับไตทั้งผอง   พึงระลึกตรึกตรอง  ให้เห็นอนัตตา  เสโทคือเหงื่อ  ซึมซาบอยู่ในเนื้อ  ทั่วทังสะรีระ  ต้องร้อนไหลหลั่ง   เทพังออกมา   โทรมทั่วกายา  น่าเกลียดน่าอาย  เมโทมันข้น  ขังอยู่ในตน  ทั่วทั้งสารพางค์   เหมือนขมิ้นเหลืองอ่อนจางๆ   เหม็นสาบเหม็นสาง   โสโครกนักหนา  อัสสุน้ำเนตร   โทมนัสเป็นเหตุ  ไหลหลั่งออกมา   จากดวงจักษุ  ทั้งสองซ้ายขวา   เป็นท่อธารา   หยดย้อยฟูมฟอง  วะสามันเหลว  ต้องร้อนไหลนอง  ปลงสติตรึกตรอง   ให้เห็นอนัตตา   เขโลน้ำลาย  ที่เหลวอยู่ปลาย  ประเทศชิวหา   ขันอยู่ปลายลิ้น  ไหลออกอัตตาเร่งคิดอนิจจา   อย่างหลงว่าดี  สิงฆานิกา  น้ำมูกออกช่องจมูก  เห็นนาบัดสี  บ้างขังบ้างไหล  มิใช่พอดี   โสโครกเต็มที  เกลียดที่อาย   ละสิกาไขข้อ  อยู่ตามคอต่อ   กระดูกร่างกายเหมือนไขนาเพลา   แห่งเกวียนทั้งหลาย  อย่าได้มั่นหมายว่าเป็นของดี    เร่งคิดสังเวช   จิตร์ตั้งสังเกต   ถึงกายอินทรีย์  ปัญญาส่องมอง  ตามคลอดวิถี   โดยพระบาลี  ว่าไว้ในสูตร์    มูตตังมูตเน่าคืออาหารเก่า   แบ่งออกเป็นมูต   ยิ่งเก่ายิ่งเหม็น  ยิ่งเน่ายิ่งบูด  รู้ว่าเป็นมูต  แสยงขนพอง  มัทเกมัทลุงคังคือเยื่อในสมอง   เป็นแป้งสำปั่น  อยู่ในสมอง  ต้องร้อนเมื่อไร  เหลวไหลออกนอง   อย่าได้คิดปอง  ว่าเป็นแก่นสาร    เมื่อน้อยเมื่อหนุ่ม    หน้าตาชื่นชุ่ม   แก่แล้วสาธาร   เห็นน่าบัดสี   ตามืดหูหนัก   ร้ายหนักอัปปรีย์  ย่อมเกิดธุรี  ทั่วทุกประการ  ฟันฟางหลุ่ยหลุด  แก้มตอบหูยาน  บ่มิได้เป็นการ  แต่ล้วนเครืองมิดี   แต่ล้วนฝูงหนอน  ชวนกันย่ำยี   แต่ล้วนเครื่องมิดี  เก็บไว้ในท้อง   เครื่องเน่าเครื่องเก่าพอง   เหม็นสาบทั่วตัว   ผมขึ้นบนหัว  ดำแล้วกลับหงอก  หน้าตาเว่าวอก  เห็นน่าเกลียดกลัว  แต่ล้วนเครื่องจะกลับกลาย  อย่าว่าตนดี   เราท่านทั้งหลาย   เป็นผีเข็บใจ   ผู้ดีต้องตายเหมือนกัน   อย่าได้ห่วงทรัพย์   อย่าได้หลงสิ้น  สิ่งของทั้งหลาย   ให้เร่งจำหน่าย  ทำบุญให้ทาน   เมื่อตัวตนจะถึงกาล   ตัวตนจะตาย   เงินทองทั้งหลาย   มิได้ติดตามตัวไป  เมื่อยังเป็นคน  ฝ่ายข้างกุศล  มิได้เอาใจใส่  จะทำบุญแต่ละเฟื้องกลัวจะเปลืองสิ้น  ไปนอนนิ่งอยู่  ใยจึงไม่นำพา  ทำไว้ให้เขา   เหนื่อยตัวเสียเปล่า   ป่วยการหามา  มิได้ออกปากเหนื่อยยากไม่ว่า  ไปเป็นข้าตัณหา   เมื่อตนจะสิ้นชีวิต   หลงรักเสียเปล่า   เขาจะโศกเศร้า  ก็ไม่ถึงครึ่งปี   แม้นเขาคิดถึงคุณจะทำบุญแต่ละที    แม้นเราตายไปหลายปี  เขามิอาลัยนับวันนับคืน  หาใหม่ได้อื่น  ร่วมชิดพิสมัย  ความรักนี้แล  เที่ยงแท้เมื่อไร  เขาหาได้ใหม่  เขาไม่ใยดี   บุญเขาหาได้   ใหม่เขาไม่ใยดี  รับคำสั่งไว  เขาหาผัวใหม่  เขาจะบวชเป็นชี   ทำบุญส่งให้  ส่งไปเมืองผี  คอยบุญหลวงชี   เห็นมิเป็นการ   ตั้งสติให้มั่น   ตัดเสียจงพรรณ  เพราะห่วงสงสาร  ห่วงหนึ่งคือลูก   ห่วงหนึ่งคือเมีย   ปล่อยปละละเสีย   เมื่อตนจะสู่นิพพาน   เป็นอนิจจัง  ทุกขังอนัตตา   เราท่านเกิดมาไม่เป็นแก่นสาร   ใครจะช่วยได้  ห้ามไว้ทุกประการ  ไม่รู้ว่าอยู่แห่งใด  รูปขันธ์ทั้ง  ๕   ยืมเอาเขามา  อย่าได้นอนใจ  เจ้าของเขาทวง  หลอกลวงผลัดไป   แต่ผลัดนัดไว้  พระกาฬมิได้   ระวางเลยนา   ครางอยู่อ๋อยๆ  เรียกหาพ่อแม่  เมื่อตนจะสิ้นชีวา   กระยิ้มกระสน  กระสับกระส่าย   พลิกซ้ายพลิกขวา   มือสอดกอดฟ้า  น้ำตาหลั่งไหล   เรียกหาอู้อี้คนโน่นคนนี้   เสียงสอนอ่อนไป  กลิ้งเกลือกยิ้มไป  ไม่เป็นสมประดี  เสมหะปะไว้   ปิดทางหายใจ  ปิดในวิญญา  ชักแงนแอ่นกับ  พะหงับไปพะงับมา   พุทโธอนิจจา  เวทนาเหลือใจ  ธาตุดับทั้งสี่  เป็นผีทันใด   แข็งดังท่อนไม้  ไม่รู้ว่าเป็นผี   ลูกรักเมียรัก  เขาชักหน้าหนี  เขาว่าซากผีเปื่อยเน่าพุพอง  ญาติกาพี่น้อง  เขาช่วยกันหาม  เอาไปทิ้งในป่าช้า  เวียนไปสามรอบ  แล้วเขาก็วางลงไว้  แล้วเขาก็ร่ำร้องไห้   แล้วเขาก็กลับคืนมา   แสนสงสารแต่ตัวกูเอ๋ย   อยู่ที่ในป่าช้า   แลไม่เห็นใคร   เห็นแต่ฝูงนก  เห็นแต่ฝูงกา  เห็นแต่ฝูงหมา   ยื้อยากัดกิน   กระดูกกระจัดกระจาย   เรียงรายแผ่นดิน   แร้งกาจิกกิน   เราเป็นอาหาร   เมื่อยามดึกสงัด  พระพายชายพัด   ได้ยินแต่เสียงสัตว์  หมู่หมาเห่าหอน   จักจั่นเรไร   แลไม่เห็นใคร  เห็นแต่นกฮูก  เห็นแต่นกแสก  บินมาร้องแรก  ว่าแสกเอาขวัญ  ให้เร่งกระสัน   ตัวสั่นอยู่รัวๆ  เร่งคิดถึงตัวกูเอ๋ย  อยู่ที่ป่าช้า  แลไม่เห็นใคร  เห็นแต่ฝูงผี   ข้าวน้ำล่ำปลา   อาหารไม่มี  แต่ล้วนฝูงผี  ร้องไห้รักกัน   ถ้าใครทำบุญ  ได้ไปสวรรค์   ตามพระทรงธรรม  คำพระเจ้าเทศนา   ผู้ใดทำบาป  ฆ่าสัตว์น่าๆ  โยมพระบาล  ท่านมา  ท่านฆ่าท่านฟัน   ท่านหั่นท่านรอน  ท่านหั่นเป็นท่อน   ทิ้งลงในไฟ  พระเพลิงเจ้าเอ๋ย  ท่านชั่งใจร้าย  เผาให้บรรลัย   กระดูกกลับเท่า   เผาทั่วถ่านไพ  น้ำมะกรูดส้มป่อย  หยดย้อยลามไหล   เก็บใส่หม้อใหม่   ฝากไว้แก่นางพระธรณี  อนิจจังทุกขังอนัตตา  เราท่านเกิดมา  ย่อยเป็นเช่นนี้ฯ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่