วันดับสูญ...
...สู่ความมืดมิด
อากาศยามเช้าที่ร้อนอบอ้าวไม่ต่างจากเวลาเที่ยงวันกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วสำหรับสภาพอากาศของโลก หากแต่ในเวลานี้การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งกำลังเกิดขึ้น
แสงแดดที่ส่องทะลุชั้นบรรยากาศลงมากำลังแผดเผาทุกสิ่งบนโลก รังสีความร้อนที่รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ กำลังเผาต้นไม้ใบหญ้าให้แห้งตายคาต้น
ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้กำลังมอดไหม้เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดด
สมชายนั่งอยู่ในห้องพัก นึกทบทวนถึงเหตุการณ์ในช่วงสองเดือนกว่าที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับเขามากมายในช่วงเวลาสั้นๆ ทุกอย่างรวดเร็วเหมือนกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เขาถอนหายใจ อดใจหายไม่ได้ อีกเพียงสองสัปดาห์เท่านั้นที่ภาพเหล่านี้จะยังคงอยู่ วันที่ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกการกระทำ ทุกความทรงจำ จะสูญหายไปพร้อมๆ กับประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการอันยาวนานของดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโลก
ถึงแม้จะรับรู้และเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้
และวันนี้อีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า ก็จะถึงเวลาที่เขาและคณะผู้อพยพทุกคนต้องจากแผ่นดินและโลกใบนี้ไปตลอดกาล เป็นการเดินทางจากโลกใบเก่าใบนี้เพื่อไปสู่บ้านอีกหลัง
แม้จะเรียกสิ่งนั้นว่าความหวังใหม่แต่ทว่ากลับไม่มีอะไรยืนยันแน่นอนได้ว่ามันจะดีจริง อันที่จริงแล้วในใจของสมชายกลับรู้สึกหวั่นใจมากกว่า ความไม่แน่ใจที่ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นอย่างไร โลกใหม่จะดีเหมือนอย่างที่คิดหรือไม่ และจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
คนส่วนใหญ่ไม่ชอบความไม่แน่นอน การที่เราคาดเดาอะไรไม่ได้ทำให้เราไม่แน่ใจ และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามมักจะมีความไม่แน่นอนและคาดเดาไม่ได้ปะปนมาเสมอ ดังนั้น คนเราจึงไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่สมชายพบศรัทธาเมื่อสองเดือนกว่าที่ผ่านมา เขายอมรับความเป็นไปของตัวเองได้ในที่สุดจากคำพูดของเด็กหนุ่ม ด๊อกเตอร์โทมัสเองก็ยินดีอย่างเหลือกำลังกับเส้นทางที่เขาตัดสินใจ
ชายชราพยายามสอนเทคโนโลยีทุกอย่างของที่นี่ให้แก่เขาเท่าที่เวลาอันน้อยนิดจะเอื้ออำนวย และเขาเองก็พยายามเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นอย่างเต็มกำลังเช่นกันด้วยคิดว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยในอนาคต
และที่สำคัญเขาเองก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของทุกคนอีกต่อไป
สมชายยังคงพบเห็นและทักทายกับศรัทธาอย่างไม่เป็นทางการอยู่เป็นระยะ เด็กหนุ่มยังคงยิ้มแย้มและขยันขันแข็งเช่นเดิม ในใจแล้วเขานับถือเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มที่ไม่เคยโทษโชคชะตา กลับกันที่เขากลับกล้าเผชิญหน้าและยิ้มรับทุกสิ่งอย่างกล้าหาญ
เด็กหนุ่มผู้มีศรัทธาแรงกล้าในใจเฉกเช่นเดียวกับชื่อของเขา
น่าเสียดายไม่น้อยที่ไม่เหลืออนาคตสำหรับเด็กหนุ่มผู้น่านับถือเช่นนี้ เพราะสมชายเชื่อว่าในอนาคตเด็กหนุ่มจะต้องเป็นกำลังสำคัญหลักให้กับเหล่ามนุษยชาติได้อย่างแน่นอน
การเตรียมการที่เหลือเพียงเล็กน้อยในระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมาดูราบรื่นดี ไม่เหลือสิ่งใดขาดตกบกพร่องแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
“ทุกอย่างต้องไปได้ด้วยดี”
สมชายมักพูดให้กำลังใจตัวเองด้วยคำพูดประโยคนี้ ทว่าทุกครั้งที่เขาทำแบบนี้ ความรู้สึกลึกๆ บางอย่างกลับสวนทาง เขากำลังกังวลอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร
เขากำลังลืมหรือกำลังพลาดอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไปอย่างนั้นหรือ
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
ประตูเปิดแง้มออก เป็นศรัทธาที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น
“ได้เวลาแล้วครับ ด๊อกเตอร์ เชิญเตรียมตัวที่ยานได้แล้วครับ อีกหนึ่งชั่วโมงพวกคุณต้องออกเดินทางกันแล้ว หากช้ากว่ากำหนดปล่อยยาน สภาพอากาศจะไม่เอื้ออำนวยที่จะนำยานขึ้น”
“เข้าใจแล้ว กำลังจะไปเดี๋ยวนี้”
สมชายตอบรับก่อนจะหยิบสัมภาระเดินตามเด็กหนุ่มออกไป
“โชคดีนะครับ ด๊อกเตอร์ ผมขอฝากทุกสิ่งทุกอย่าง ฝากอนาคตของลูกหลานของพวกเราไว้กับคุณ”
ความฝัน ความหวัง อนาคต คำอำลาสั้นๆ นั้นแฝงทุกอย่างไว้ทั้งหมด
“ขอบใจมากนะศรัทธา”
และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของคนทั้งสองก่อนที่ทั้งคู่จะไม่มีวันได้พบกันอีกตลอดกาล
“มา ด๊อกเตอร์สมชาย เชิญทางนี้ครับ”
ด๊อกเตอร์โทมัสที่ยืนรอสมชายอยู่ก่อนแล้วรับช่วงต่อจากศรัทธา ชายชราเดินนำทางเขาไปที่หอบังคับการก่อนจะชี้ให้ดูอะไรบางอย่างที่หน้าจออิเล็กโทรนิค
“จุดสีส้มสามจุดที่คุณเห็นอยู่บนเส้นทางการเดินทางของเราคือจุดที่เราจะปล่อยกล้องสังเกตการณ์”
ชายชราอธิบายพร้อมกับไล่นิ้วไปที่จุดสีส้มทีละจุด
“จุดที่หนึ่ง ที่หอบังคับการที่นี่ จุดที่สอง ที่ชั้นบรรยากาศของโลก และจุดที่สาม ที่สุดขอบระบบสุริยะ”
“กล้องจะจับภาพและส่งสัญญาณมายังยานลำนี้ ภาพทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ คุณสามารถดูความเป็นไปที่เหลือของโลกใบนี้ได้ผ่านมอนิเตอร์ของที่นี่ หรือไม่ก็มอนิเตอร์ที่ห้องพักผ่อน”
สมชายพยักหน้าตอบรับคำอธิบายเป็นระยะเพื่อให้คู่สนทนารับรู้ว่าเขากำลังตั้งใจฟังตามหลักของผู้ฟังที่ดี
“ผมต้องการบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้ อย่างน้อยภาพเหตุการณ์ในครั้งนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจเราและลูกหลานของเราในอนาคตว่าอะไรทำให้พวกเราต้องพบจุดจบดังเช่นวันนี้ พวกเขาจะได้ไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีก”
มันเป็นแนวคิดที่ดี การที่ให้ลูกหลานในยุคต่อๆ ไปได้เห็นภาพจริงที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจะทำให้พวกเขาตระหนักและระมัดระวังในสิ่งที่พวกเขากระทำมากยิ่งขึ้น
หากแต่ว่าพวกเราเองก็เคยเห็นภาพการทำสงครามและความสูญเสียมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน พากเราเองก็เห็นกันอยู่แล้วว่าการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองก่อให้เกิดอะไรขึ้น
แต่พวกเราก็ยังทำไม่ใช่หรือ
สิ่งที่คาดเดาไม่ได้มากที่สุดก็คือมนุษย์นี่ล่ะ
“เอาล่ะ ใกล้เวลาแล้ว ไปรวมกลุ่มกับคนอื่นที่ห้องปล่อยยานกันก่อน ด้วยความเร็วตอนยานทะยานออกจากฐานที่ต้องมากกว่าความเร็วหลุดพ้นสี่หมื่นสามร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงจะทำให้แรงดึงดูดของโลกและแรงเสียดทานบนชั้นบรรยากาศทำร้ายคุณและผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบนิรภัยจนถึงชีวิต”
เมื่อเวลามาถึง ทุกอย่างพร้อม เปลวพลังงานจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงปริมาณมหาศาลก็ถูกปลดปล่อยออกมาทางท่อไอพ่น โลหะขนาดยักษ์พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างที่ไม่คิดว่ามันจะทำได้
ความเร็วเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น และยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป เพียงครู่เดียวสีขาวจากปุยเมฆ สีฟ้าของท้องฟ้า กลับถูกแทนที่ด้วยสีดำอันมืดมิดเวิ้งว้างของอวกาศ
ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อทะลุผ่านชั้นบรรยากาศ แรงสั่นสะเทือนก่อนหน้านี้หายไป ยานหนีแรงดึงดูดของโลกได้สำเร็จ ผู้โดยสารในห้องปล่อยยานเริ่มลุกจากระบบนิรภัยไปทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่แต่ละคนคิด สมชายเองก็เช่นกัน เขาลุกขึ้นเดินไปยังช่องหน้าต่าง
โลก ดาวเคราะห์สีน้ำเงิน เขารู้มาตลอดจากการบอกเล่าและจากรูปภาพว่ามันเป็นดาวที่งดงามที่สุดในระบบสุริยะ หรืออาจจะในจักรวาล แต่มันสวยงามกว่านั้นมากเมื่อได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง
จู่ๆ น้ำตาของสมชายก็ไหลออกมา ไม่ใช่เพราะเขาอ่อนแอหรือหวาดกลัว มันเป็นน้ำตาแห่งความอาลัยและตระหนักยิ่งถึงคุณค่าแห่งความงดงามตรงหน้าที่จะไม่มีใครได้เห็นมันอีกต่อไป
เขายกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาออก จ้องมองดาวเคราะห์บ้านเกิดอย่างไม่ยอมละสายตา เขาต้องการจดจำทุกรายละเอียดของดาวดวงนี้ให้อยู่ในความทรงจำตลอดไป
.........................................................
ภาพบางอย่างติดๆ ดับๆ ในหัว จู่ๆ หัวใจกลับเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ อะไรบางอย่างกำลังก่อตัวและคุกคามอยู่ในใจ
วันดับสูญ...สู่ความมืดมิด
...สู่ความมืดมิด
อากาศยามเช้าที่ร้อนอบอ้าวไม่ต่างจากเวลาเที่ยงวันกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วสำหรับสภาพอากาศของโลก หากแต่ในเวลานี้การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งกำลังเกิดขึ้น
แสงแดดที่ส่องทะลุชั้นบรรยากาศลงมากำลังแผดเผาทุกสิ่งบนโลก รังสีความร้อนที่รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ กำลังเผาต้นไม้ใบหญ้าให้แห้งตายคาต้น
ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้กำลังมอดไหม้เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดด
สมชายนั่งอยู่ในห้องพัก นึกทบทวนถึงเหตุการณ์ในช่วงสองเดือนกว่าที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นกับเขามากมายในช่วงเวลาสั้นๆ ทุกอย่างรวดเร็วเหมือนกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เขาถอนหายใจ อดใจหายไม่ได้ อีกเพียงสองสัปดาห์เท่านั้นที่ภาพเหล่านี้จะยังคงอยู่ วันที่ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกการกระทำ ทุกความทรงจำ จะสูญหายไปพร้อมๆ กับประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการอันยาวนานของดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโลก
ถึงแม้จะรับรู้และเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้
และวันนี้อีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า ก็จะถึงเวลาที่เขาและคณะผู้อพยพทุกคนต้องจากแผ่นดินและโลกใบนี้ไปตลอดกาล เป็นการเดินทางจากโลกใบเก่าใบนี้เพื่อไปสู่บ้านอีกหลัง
แม้จะเรียกสิ่งนั้นว่าความหวังใหม่แต่ทว่ากลับไม่มีอะไรยืนยันแน่นอนได้ว่ามันจะดีจริง อันที่จริงแล้วในใจของสมชายกลับรู้สึกหวั่นใจมากกว่า ความไม่แน่ใจที่ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นอย่างไร โลกใหม่จะดีเหมือนอย่างที่คิดหรือไม่ และจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
คนส่วนใหญ่ไม่ชอบความไม่แน่นอน การที่เราคาดเดาอะไรไม่ได้ทำให้เราไม่แน่ใจ และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามมักจะมีความไม่แน่นอนและคาดเดาไม่ได้ปะปนมาเสมอ ดังนั้น คนเราจึงไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่สมชายพบศรัทธาเมื่อสองเดือนกว่าที่ผ่านมา เขายอมรับความเป็นไปของตัวเองได้ในที่สุดจากคำพูดของเด็กหนุ่ม ด๊อกเตอร์โทมัสเองก็ยินดีอย่างเหลือกำลังกับเส้นทางที่เขาตัดสินใจ
ชายชราพยายามสอนเทคโนโลยีทุกอย่างของที่นี่ให้แก่เขาเท่าที่เวลาอันน้อยนิดจะเอื้ออำนวย และเขาเองก็พยายามเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นอย่างเต็มกำลังเช่นกันด้วยคิดว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยในอนาคต
และที่สำคัญเขาเองก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของทุกคนอีกต่อไป
สมชายยังคงพบเห็นและทักทายกับศรัทธาอย่างไม่เป็นทางการอยู่เป็นระยะ เด็กหนุ่มยังคงยิ้มแย้มและขยันขันแข็งเช่นเดิม ในใจแล้วเขานับถือเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มที่ไม่เคยโทษโชคชะตา กลับกันที่เขากลับกล้าเผชิญหน้าและยิ้มรับทุกสิ่งอย่างกล้าหาญ
เด็กหนุ่มผู้มีศรัทธาแรงกล้าในใจเฉกเช่นเดียวกับชื่อของเขา
น่าเสียดายไม่น้อยที่ไม่เหลืออนาคตสำหรับเด็กหนุ่มผู้น่านับถือเช่นนี้ เพราะสมชายเชื่อว่าในอนาคตเด็กหนุ่มจะต้องเป็นกำลังสำคัญหลักให้กับเหล่ามนุษยชาติได้อย่างแน่นอน
การเตรียมการที่เหลือเพียงเล็กน้อยในระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมาดูราบรื่นดี ไม่เหลือสิ่งใดขาดตกบกพร่องแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
“ทุกอย่างต้องไปได้ด้วยดี”
สมชายมักพูดให้กำลังใจตัวเองด้วยคำพูดประโยคนี้ ทว่าทุกครั้งที่เขาทำแบบนี้ ความรู้สึกลึกๆ บางอย่างกลับสวนทาง เขากำลังกังวลอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร
เขากำลังลืมหรือกำลังพลาดอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไปอย่างนั้นหรือ
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
ประตูเปิดแง้มออก เป็นศรัทธาที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น
“ได้เวลาแล้วครับ ด๊อกเตอร์ เชิญเตรียมตัวที่ยานได้แล้วครับ อีกหนึ่งชั่วโมงพวกคุณต้องออกเดินทางกันแล้ว หากช้ากว่ากำหนดปล่อยยาน สภาพอากาศจะไม่เอื้ออำนวยที่จะนำยานขึ้น”
“เข้าใจแล้ว กำลังจะไปเดี๋ยวนี้”
สมชายตอบรับก่อนจะหยิบสัมภาระเดินตามเด็กหนุ่มออกไป
“โชคดีนะครับ ด๊อกเตอร์ ผมขอฝากทุกสิ่งทุกอย่าง ฝากอนาคตของลูกหลานของพวกเราไว้กับคุณ”
ความฝัน ความหวัง อนาคต คำอำลาสั้นๆ นั้นแฝงทุกอย่างไว้ทั้งหมด
“ขอบใจมากนะศรัทธา”
และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของคนทั้งสองก่อนที่ทั้งคู่จะไม่มีวันได้พบกันอีกตลอดกาล
“มา ด๊อกเตอร์สมชาย เชิญทางนี้ครับ”
ด๊อกเตอร์โทมัสที่ยืนรอสมชายอยู่ก่อนแล้วรับช่วงต่อจากศรัทธา ชายชราเดินนำทางเขาไปที่หอบังคับการก่อนจะชี้ให้ดูอะไรบางอย่างที่หน้าจออิเล็กโทรนิค
“จุดสีส้มสามจุดที่คุณเห็นอยู่บนเส้นทางการเดินทางของเราคือจุดที่เราจะปล่อยกล้องสังเกตการณ์”
ชายชราอธิบายพร้อมกับไล่นิ้วไปที่จุดสีส้มทีละจุด
“จุดที่หนึ่ง ที่หอบังคับการที่นี่ จุดที่สอง ที่ชั้นบรรยากาศของโลก และจุดที่สาม ที่สุดขอบระบบสุริยะ”
“กล้องจะจับภาพและส่งสัญญาณมายังยานลำนี้ ภาพทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ คุณสามารถดูความเป็นไปที่เหลือของโลกใบนี้ได้ผ่านมอนิเตอร์ของที่นี่ หรือไม่ก็มอนิเตอร์ที่ห้องพักผ่อน”
สมชายพยักหน้าตอบรับคำอธิบายเป็นระยะเพื่อให้คู่สนทนารับรู้ว่าเขากำลังตั้งใจฟังตามหลักของผู้ฟังที่ดี
“ผมต้องการบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้ อย่างน้อยภาพเหตุการณ์ในครั้งนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจเราและลูกหลานของเราในอนาคตว่าอะไรทำให้พวกเราต้องพบจุดจบดังเช่นวันนี้ พวกเขาจะได้ไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีก”
มันเป็นแนวคิดที่ดี การที่ให้ลูกหลานในยุคต่อๆ ไปได้เห็นภาพจริงที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจะทำให้พวกเขาตระหนักและระมัดระวังในสิ่งที่พวกเขากระทำมากยิ่งขึ้น
หากแต่ว่าพวกเราเองก็เคยเห็นภาพการทำสงครามและความสูญเสียมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน พากเราเองก็เห็นกันอยู่แล้วว่าการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองก่อให้เกิดอะไรขึ้น
แต่พวกเราก็ยังทำไม่ใช่หรือ
สิ่งที่คาดเดาไม่ได้มากที่สุดก็คือมนุษย์นี่ล่ะ
“เอาล่ะ ใกล้เวลาแล้ว ไปรวมกลุ่มกับคนอื่นที่ห้องปล่อยยานกันก่อน ด้วยความเร็วตอนยานทะยานออกจากฐานที่ต้องมากกว่าความเร็วหลุดพ้นสี่หมื่นสามร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงจะทำให้แรงดึงดูดของโลกและแรงเสียดทานบนชั้นบรรยากาศทำร้ายคุณและผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบนิรภัยจนถึงชีวิต”
เมื่อเวลามาถึง ทุกอย่างพร้อม เปลวพลังงานจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงปริมาณมหาศาลก็ถูกปลดปล่อยออกมาทางท่อไอพ่น โลหะขนาดยักษ์พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างที่ไม่คิดว่ามันจะทำได้
ความเร็วเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น และยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป เพียงครู่เดียวสีขาวจากปุยเมฆ สีฟ้าของท้องฟ้า กลับถูกแทนที่ด้วยสีดำอันมืดมิดเวิ้งว้างของอวกาศ
ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อทะลุผ่านชั้นบรรยากาศ แรงสั่นสะเทือนก่อนหน้านี้หายไป ยานหนีแรงดึงดูดของโลกได้สำเร็จ ผู้โดยสารในห้องปล่อยยานเริ่มลุกจากระบบนิรภัยไปทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่แต่ละคนคิด สมชายเองก็เช่นกัน เขาลุกขึ้นเดินไปยังช่องหน้าต่าง
โลก ดาวเคราะห์สีน้ำเงิน เขารู้มาตลอดจากการบอกเล่าและจากรูปภาพว่ามันเป็นดาวที่งดงามที่สุดในระบบสุริยะ หรืออาจจะในจักรวาล แต่มันสวยงามกว่านั้นมากเมื่อได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง
จู่ๆ น้ำตาของสมชายก็ไหลออกมา ไม่ใช่เพราะเขาอ่อนแอหรือหวาดกลัว มันเป็นน้ำตาแห่งความอาลัยและตระหนักยิ่งถึงคุณค่าแห่งความงดงามตรงหน้าที่จะไม่มีใครได้เห็นมันอีกต่อไป
เขายกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาออก จ้องมองดาวเคราะห์บ้านเกิดอย่างไม่ยอมละสายตา เขาต้องการจดจำทุกรายละเอียดของดาวดวงนี้ให้อยู่ในความทรงจำตลอดไป
.........................................................
ภาพบางอย่างติดๆ ดับๆ ในหัว จู่ๆ หัวใจกลับเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ อะไรบางอย่างกำลังก่อตัวและคุกคามอยู่ในใจ