อุกกาบาตที่พุ่งชนโลกอาจมาจากดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเราเอง

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 66 ล้านปีก่อน เกิดจากการชนของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่กับโลก อย่างไรก็ตาม งานวิจัยล่าสุดได้เสนอทฤษฎีใหม่ที่น่าทึ่งว่า ดาวเคราะห์น้อยที่ชนโลกและนำไปสู่การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ อาจมาจากส่วนที่ลึกภายในระบบสุริยะเอง


-----

ทฤษฎีดั้งเดิมที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง คือ ดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางมาจากแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt) ซึ่งอยู่บริเวณขอบนอกของระบบสุริยะหรือมาจากกลุ่มเมฆออร์ต (Oort Cloud) ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของดาวหางที่อยู่ไกลออกไป อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาทางดาราศาสตร์สมัยใหม่ ได้พบว่ามีความเป็นไปได้ที่ดาวเคราะห์น้อยที่เป็นต้นเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่นี้

อาจมีต้นกำเนิดจากแถบดาวเคราะห์น้อยหลัก (Main Asteroid Belt) ซึ่งอยู่ระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสบดีแถบดาวเคราะห์น้อยหลักนี้เต็มไปด้วยวัตถุขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของระบบสุริยะ ซึ่งเป็นวัตถุที่ไม่สามารถรวมตัวกันกลายเป็นดาวเคราะห์ได้ การวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงในวงโคจรของดาวเคราะห์น้อยเหล่านี้จากแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ อาจทำให้ดาวเคราะห์น้อยบางส่วนถูกเหวี่ยงออกจากแถบหลักและเคลื่อนที่ไปสู่โลกการชนของดาวเคราะห์น้อยกับโลกในครั้งนั้น

ส่งผลให้เกิดการระเบิดที่มีพลังงานมหาศาล ส่งฝุ่นและควันขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ จนบังแสงอาทิตย์เป็นเวลานาน ทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนมาก รวมถึงไดโนเสาร์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

-----

นักวิจัยยังเชื่อว่า วัตถุที่เคลื่อนมาจากแถบดาวเคราะห์น้อยหลัก อาจมีองค์ประกอบที่แตกต่างจากดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางที่มาจากแถบไคเปอร์หรือเมฆออร์ต และการศึกษาวัตถุเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของระบบสุริยะและโลกมากขึ้นการค้นพบนี้ทำให้เราเห็นภาพใหม่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลก และเปิดทางให้กับการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากดาวเคราะห์น้อยในอนาคต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่