เห็นรีวิวลดน้ำหนักใน ppantip.com มาเยอะแยะมากมาย เลยอยากมีส่วนร่วมแชร์ประสบการณ์และให้กำลังใจสำหรับคนที่เริ่มหรือกำลังลดน้ำหนักอยู่ในตอนนี้ครับ
ก่อนลดน้ำหนัก
ผมเป็นคนทำงานออฟฟิตทั่วไป อายุตอนนั้น 33 ปี ส่วนสูง 172ซม. ส่วนน้ำหนัก 167กก. (ชั่งตอนตัดสินใจลดน้ำหนัก) ผมเป็นคนที่ชอบและสนุกสนานกับการกินเป็นอย่างมาก ไม่ว่าร้านไหนที่เปิดใหม่ หรือมีคนบอกว่าอร่อย ต้องตามไปกินให้ได้ โดยเฉพาะอาหารพวก บุฟเฟต์ เป็นอะไรที่โปรดปรานมาก ไปกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้ง กินจนแทบเดินออกจากร้านไม่ไหว ขนม ของหวาน น้ำอัดลม กินไม่มียั้ง กินน้ำอัดลมวันนึง 2-3 ขวดลิตรเป็นเรื่องปกติ เรียกว่า กินจนตัวจะระเบิดกันไปเลย จนมีอยู่วันนึง เกิดอุบัติเหตุหกล้ม เข่ากระแทกพื้น2ข้าง ทำให้หัวเข่าบวมจนเดินแทบไม่ไหว ปวดมาก จึงทำให้ตัดสินใจว่า ****
ต้องลดน้ำหนักนะ ไม่งั้น
อ้วนตายแน่ๆ
เริ่มลดน้ำหนัก
ช่วงที่ 1 ช่วงที่น้ำหนักตัวมากที่สุด
ตอนนั้นน้ำหนักน่าจะเกือบ 170 กิโลกรัม เป็นช่วงของการลองผิดลองถูก เริ่มแรกจากการอดข้าวเย็น ซึ่งเป็นวิธีที่คนนิยมใช้กันทั่วโลก ซึ่งเริ่มแรกก็ได้ผลค่อนข้างดีมาก เพราะน้ำหนักลงไปเร็วมาก เดือนแรกลดลงไปเกือบ 10 กก. แต่ก็มีผลเสียกับร่างกายอย่างรุนแรงอย่างนึงคือ ร่างกายหมดแรง เวียนหัวง่าย จนทำให้ต้องกลับมากินข้าวเย็นเหมือนเดิม แต่เป็นของที่กินโดยการ งดแป้ง แต่ก็ยังกินของหวาน ของทอดอยู่เรื่อยๆ ทำให้น้ำหนักลงน้อยมาก จึงหันไปลองกินยาลดน้ำหนัก พวกที่บล็อคแป้ง บล็อคไขมัน ซึ่งช่วงนั้นกำลังฮิตมาก ทีนี้ก็เกิดความชะล่าใจ ทำให้กินอาหารต่างๆเยอะกว่าช่วงแรกที่เริ่มลดน้ำหนัก เมื่อไม่ได้กินยาลดน้ำหนักเพราะยาหมด น้ำหนักก็เริ่มตีกลับขึ้นมา เกือบสิบกิโล แต่โชคดีที่ไหวตัวทัน และกลับมาคุมอาหารเหมือเดิม คือลดการกินแป้งในแต่ละมื้อ และลดปริมาณการกินลง และเน้นไปที่การกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายให้มากขึ้น น้ำหนักก็ลดลงเรื่อยๆ
***สรุปช่วงแรกคือ ช่วงปรับพฤติกรรมการบริโภค
ช่วงที่ 2 ช่วงที่ลดน้ำหนักลงมาได้ระดับนึง
หลังจากเริ่มลดลงมาได้ประมาณ 20-25 กิโล น้ำหนักลงมาอยู่ประมาณ 145-150 ก็เริ่มหากิจกรรมทำ เช่น เดินออกกำลังหลังเลิกงาน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำบ้าง ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อวัน เริ่มแรกคิดว่าเพื่อเผาผลาญไขมันในร่างกาย ไม่ได้คิดอะไรมากทำให้เหงื่อออกเยอะๆไว้ก่อน แต่พยายามระวังเรื่องข้อเท้าหัวเข่า เพราะมีคนคอยเตือนอยู่เรื่อยๆว่า คนอ้วนออกกำลังกายมากๆไม่ได้ เพราะข้อเข่าจะเจ็บ จึงเน้นที่ออกกำลังเบาๆ แค่ใช้เวลานาน ซึ่งได้ผลดีมากเพราะระหว่างนั้นก็ยังควบคุมเรื่องอาหารไปด้วย
***สรุปช่วงนี้คือ ปรับพฤติกรรมการออกกำลังกาย
ช่วงที่ 3 ช่วงฟิตร่างกาย
หลังจากเริ่มออกกำลังกายเบาๆ เริ่มพบปัญหาสำคัญอย่างนึง คือ หนังย้อย เพราะเป็นช่วงที่น้ำหนักลดลงเร็วมาก เหลือประมาณ 125-130 กิโล ในช่วงเวลาสั้นๆ ตอนแรกก็ตกใจนิดหน่อย เพราะผิวหนังแทบจะพับเข้าหากันได้ เหมือนลูกโป่งที่แฟบ เลยทำการค้นหาข้อมูลในเน็ต จึงพบสาเหตุคือ การออกกำลังกายแบบ cardio มากเกินไป และวิธีแก้ มีอยูแค่ทางเดียวคือ สร้างกล้ามเนื้อมาทดแทน ด้วยการ Weight training และกินอาหารให้มากกว่าเดิมนิดหน่อย และเน้นอาหารพวกโปรตีนมากขึ้น เช่น เนื้อไก่ ถั่วทุกชนิด นมถั่วเหลือง ซึ่งช่วงนี้เอง เป็นช่วงที่ลำบากใจที่สุด เพราะเป็นการลดน้ำหนักที่ต้องทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม เนื่องจากการเวท ทำให้ต้องกินอาหารเยอะขึ้น และน้ำหนักตัวก็ลดลงช้ามาก
ทำให้เกือบหมดกำลังใจกันเลยทีเดียว แต่เมื่อเห็นผิวหนังที่ค่อยๆกลับมากระชับมากขึ้น ทำให้ดีใจว่าเราทำถูกวิธีแล้ว
***สรุปช่วงนี้คือ ปรับวิธีออกกำลังกาย ให้เหมาะสมกับร่างกายในช่วงนั้นๆ
ช่วงปัจจุบัน
เป็นช่วงที่เริ่มออกกำลังกายหนักขึ้น เช่น เล่นบาส วิ่ง ยกเวทหนักขึ้น จุดที่สำคัญในการออกกำลังช่วงนี้คือ อย่าทำอะไรซ้ำๆกัน ควรสลับการออกกำลัง การ cardio และการ weight training แบ่งๆกันไปในแต่ละวัน และไม่ได้สนใจเรื่องน้ำหนักตัวมากเหมือนช่วงลดตอนแรกๆ และเน้นไปที่รูปร่างเป็นหลัก น้ำหนักในช่วงนี้จะอยู่ที่ระหว่าง 105-99 ซึ่งตอนที่ตั้งเป้าไว้ พยายามจะลดให้ถึง 99 ภายใน 1ปี แต่ด้วยเรื่องหนังย้อย จึงทำให้ต้องเลื่อนออกมาอีกครึ่งปี จึงทำให้ร่างกายกลับมาสมดุลได้ตามเดิม
****สรุปช่วงนี้คือ กินเยอะขึ้น แต่กินของที่มีประโยชน์ และออกกำลังมากขึ้น เน้นทุกส่วนของร่างกาย
รูปอาหารที่กิน คลีนบ้าง ไม่คลีนบ้าง สลับๆไป ส่วนมากจะทำจากบ้านไปกินที่ทำงาน
ยังไม่ผอมครับ ต้องลดต่ออีกหน่อย
สรุป
ลดน้ำหนักลงไป 68 กก.
จาก 167 มาเป็น 98 กก.
ระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน
ใครน้ำหนักเยอะๆ อยากลด ทำตามได้เลย
เชื่อเถอะว่า ใครๆก็ทำได้ ถ้าตั้งใจ
****เขียนผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยนะครับ
แชร์ประสบการณ์ ลดน้ำหนัก จาก 167 เหลือ 98 [ภาคแรก] #RoadToXL
ก่อนลดน้ำหนัก
ผมเป็นคนทำงานออฟฟิตทั่วไป อายุตอนนั้น 33 ปี ส่วนสูง 172ซม. ส่วนน้ำหนัก 167กก. (ชั่งตอนตัดสินใจลดน้ำหนัก) ผมเป็นคนที่ชอบและสนุกสนานกับการกินเป็นอย่างมาก ไม่ว่าร้านไหนที่เปิดใหม่ หรือมีคนบอกว่าอร่อย ต้องตามไปกินให้ได้ โดยเฉพาะอาหารพวก บุฟเฟต์ เป็นอะไรที่โปรดปรานมาก ไปกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้ง กินจนแทบเดินออกจากร้านไม่ไหว ขนม ของหวาน น้ำอัดลม กินไม่มียั้ง กินน้ำอัดลมวันนึง 2-3 ขวดลิตรเป็นเรื่องปกติ เรียกว่า กินจนตัวจะระเบิดกันไปเลย จนมีอยู่วันนึง เกิดอุบัติเหตุหกล้ม เข่ากระแทกพื้น2ข้าง ทำให้หัวเข่าบวมจนเดินแทบไม่ไหว ปวดมาก จึงทำให้ตัดสินใจว่า ****ต้องลดน้ำหนักนะ ไม่งั้นอ้วนตายแน่ๆ
เริ่มลดน้ำหนัก
ช่วงที่ 1 ช่วงที่น้ำหนักตัวมากที่สุด
ตอนนั้นน้ำหนักน่าจะเกือบ 170 กิโลกรัม เป็นช่วงของการลองผิดลองถูก เริ่มแรกจากการอดข้าวเย็น ซึ่งเป็นวิธีที่คนนิยมใช้กันทั่วโลก ซึ่งเริ่มแรกก็ได้ผลค่อนข้างดีมาก เพราะน้ำหนักลงไปเร็วมาก เดือนแรกลดลงไปเกือบ 10 กก. แต่ก็มีผลเสียกับร่างกายอย่างรุนแรงอย่างนึงคือ ร่างกายหมดแรง เวียนหัวง่าย จนทำให้ต้องกลับมากินข้าวเย็นเหมือนเดิม แต่เป็นของที่กินโดยการ งดแป้ง แต่ก็ยังกินของหวาน ของทอดอยู่เรื่อยๆ ทำให้น้ำหนักลงน้อยมาก จึงหันไปลองกินยาลดน้ำหนัก พวกที่บล็อคแป้ง บล็อคไขมัน ซึ่งช่วงนั้นกำลังฮิตมาก ทีนี้ก็เกิดความชะล่าใจ ทำให้กินอาหารต่างๆเยอะกว่าช่วงแรกที่เริ่มลดน้ำหนัก เมื่อไม่ได้กินยาลดน้ำหนักเพราะยาหมด น้ำหนักก็เริ่มตีกลับขึ้นมา เกือบสิบกิโล แต่โชคดีที่ไหวตัวทัน และกลับมาคุมอาหารเหมือเดิม คือลดการกินแป้งในแต่ละมื้อ และลดปริมาณการกินลง และเน้นไปที่การกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายให้มากขึ้น น้ำหนักก็ลดลงเรื่อยๆ
***สรุปช่วงแรกคือ ช่วงปรับพฤติกรรมการบริโภค
ช่วงที่ 2 ช่วงที่ลดน้ำหนักลงมาได้ระดับนึง
หลังจากเริ่มลดลงมาได้ประมาณ 20-25 กิโล น้ำหนักลงมาอยู่ประมาณ 145-150 ก็เริ่มหากิจกรรมทำ เช่น เดินออกกำลังหลังเลิกงาน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำบ้าง ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงต่อวัน เริ่มแรกคิดว่าเพื่อเผาผลาญไขมันในร่างกาย ไม่ได้คิดอะไรมากทำให้เหงื่อออกเยอะๆไว้ก่อน แต่พยายามระวังเรื่องข้อเท้าหัวเข่า เพราะมีคนคอยเตือนอยู่เรื่อยๆว่า คนอ้วนออกกำลังกายมากๆไม่ได้ เพราะข้อเข่าจะเจ็บ จึงเน้นที่ออกกำลังเบาๆ แค่ใช้เวลานาน ซึ่งได้ผลดีมากเพราะระหว่างนั้นก็ยังควบคุมเรื่องอาหารไปด้วย
***สรุปช่วงนี้คือ ปรับพฤติกรรมการออกกำลังกาย
ช่วงที่ 3 ช่วงฟิตร่างกาย
หลังจากเริ่มออกกำลังกายเบาๆ เริ่มพบปัญหาสำคัญอย่างนึง คือ หนังย้อย เพราะเป็นช่วงที่น้ำหนักลดลงเร็วมาก เหลือประมาณ 125-130 กิโล ในช่วงเวลาสั้นๆ ตอนแรกก็ตกใจนิดหน่อย เพราะผิวหนังแทบจะพับเข้าหากันได้ เหมือนลูกโป่งที่แฟบ เลยทำการค้นหาข้อมูลในเน็ต จึงพบสาเหตุคือ การออกกำลังกายแบบ cardio มากเกินไป และวิธีแก้ มีอยูแค่ทางเดียวคือ สร้างกล้ามเนื้อมาทดแทน ด้วยการ Weight training และกินอาหารให้มากกว่าเดิมนิดหน่อย และเน้นอาหารพวกโปรตีนมากขึ้น เช่น เนื้อไก่ ถั่วทุกชนิด นมถั่วเหลือง ซึ่งช่วงนี้เอง เป็นช่วงที่ลำบากใจที่สุด เพราะเป็นการลดน้ำหนักที่ต้องทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม เนื่องจากการเวท ทำให้ต้องกินอาหารเยอะขึ้น และน้ำหนักตัวก็ลดลงช้ามาก
ทำให้เกือบหมดกำลังใจกันเลยทีเดียว แต่เมื่อเห็นผิวหนังที่ค่อยๆกลับมากระชับมากขึ้น ทำให้ดีใจว่าเราทำถูกวิธีแล้ว
***สรุปช่วงนี้คือ ปรับวิธีออกกำลังกาย ให้เหมาะสมกับร่างกายในช่วงนั้นๆ
ช่วงปัจจุบัน
เป็นช่วงที่เริ่มออกกำลังกายหนักขึ้น เช่น เล่นบาส วิ่ง ยกเวทหนักขึ้น จุดที่สำคัญในการออกกำลังช่วงนี้คือ อย่าทำอะไรซ้ำๆกัน ควรสลับการออกกำลัง การ cardio และการ weight training แบ่งๆกันไปในแต่ละวัน และไม่ได้สนใจเรื่องน้ำหนักตัวมากเหมือนช่วงลดตอนแรกๆ และเน้นไปที่รูปร่างเป็นหลัก น้ำหนักในช่วงนี้จะอยู่ที่ระหว่าง 105-99 ซึ่งตอนที่ตั้งเป้าไว้ พยายามจะลดให้ถึง 99 ภายใน 1ปี แต่ด้วยเรื่องหนังย้อย จึงทำให้ต้องเลื่อนออกมาอีกครึ่งปี จึงทำให้ร่างกายกลับมาสมดุลได้ตามเดิม
****สรุปช่วงนี้คือ กินเยอะขึ้น แต่กินของที่มีประโยชน์ และออกกำลังมากขึ้น เน้นทุกส่วนของร่างกาย
รูปอาหารที่กิน คลีนบ้าง ไม่คลีนบ้าง สลับๆไป ส่วนมากจะทำจากบ้านไปกินที่ทำงาน
ยังไม่ผอมครับ ต้องลดต่ออีกหน่อย
สรุป
ลดน้ำหนักลงไป 68 กก.
จาก 167 มาเป็น 98 กก.
ระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน
ใครน้ำหนักเยอะๆ อยากลด ทำตามได้เลย
เชื่อเถอะว่า ใครๆก็ทำได้ ถ้าตั้งใจ
****เขียนผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยนะครับ