ต้องขอบคุณความทุกข์ ทำให้กลายเป็นต้นทุนจึงแสวงหาทางพ้นทุกข์ ด้ายการเรียนแสวงหาความรู้และปัญญา และเจริญทางโลก
หมายเหตุ การยกเรื่อง สัญชาติ เรื่องกฎหมาย ผมไม่ได้มุ่งเน้นหรือหมายติดไปในเรื่องความยุติธรรม หรือไม่ยุติธรรมในสังคม หรือให้เกิดอคติต่างๆ แต่ยกมาเพื่อ ให้เห็นซึ่งเหตุต่างๆ ของวิบากกรรมอันเป็นทุกข์ ซึ่งแต่ละคนหรือแต่ละสัตว์ ก็มีต่างๆ กัน เพราะแม้การเกิดมา ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์แล้ว และการเปิดเผยอย่างนี้ ก็เป็นการทำหน้าที่แห่งตนอย่างหนึ่งในฐานะผู้ยังศึกษา
ความจริงแล้ววัดไม่ได้ว่าเป็นทุกข์เท่าใด เห็นทุกข์เท่าใด แสวงหาความรู้และปัญญาเท่าใด จึงจะทำให้สามารถสละชีวิตได้เพื่อพ้นทุกข์
แต่สำหรับผมนั้นเป็นทุกข์ทั้งแต่จำความได้ เพราะต่ำต้อยในสังคมทางกฎหมาย และพ่อชั่งกดดันเป็นอย่างยิ่งเสียทุกเรื่อง เรื่องที่รุนแรงสำหรับผมคือ การที่พ่อบังคับไม่ให้เรียนต่อ จนพี่ชายคนโตของผมได้บ้าเสียสติไปแล้ว 1 คน ผมก็ไม่เข็ด ก็ยังอยากเรียนเพราะเรียนเก่งขึ้นเรื่อยๆ และต่างจากบุคคลในบ้านคือ ผมศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก จนไหว้พระสวดมนตร์ก่อนนอนเป็นประจำ และนั่งสมาธิด้วยตนเองตามแบบพระพุทธรูป เฝ้าอธิษฐานขอให้ได้เรียนต่อ แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
ผมก็กลัวบ้าแบบพี่ชายคนโตในใจลึกๆ แม้พ่อให้เลิกเรียนตอนจบ ป.7 ผมก็ต้องยอมรับ แต่ใจนั้นเสียใจอย่างยิ่งจนเก็บไปฝันว่าตนไปโรงเรียนในชั้นมัธยม ต้องช่วยงานพ่อแม่ทุกอย่าง ขนของขายของชำ ซ่อมรถจักรยาน ลับมีด หัดซ่อมวิทยุทรานชิเตอร์ แต่ใจผมก็ไม่เคยท้อ ยังไหว้พระสวดมนตร์ อธิษฐานก่อนนอนทุกคืน ขอให้ได้เรียนต่อ
เหมือนกรรมบันดาลหรือบุญบันดาล ในปีถัดมาได้มีโรงเรียนเอกชนระดับมัธยม เปิดใกล้บ้าน ค่าเรียนถูกมาก ผมอ้อนวอนกับพ่อ เป็นเวลา 2-3 เดือน และให้สัญญาว่าจะช่วยงานพ่อแม่ดังเดิม จนพ่อใจอ่อนยอมให้เรียน และผมก็ได้ทำตามสัญญากับพ่อ และเรียนเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนขึ้นมัธยมปลาย และพัฒนาการปฏิบัติธรรมตามตำราที่ได้อ่านได้ศึกษาเพิ่มขึ้น
แล้วความเป็นทุกข์ใหญ่เริ่มต้นถาโถมเข้ามาในชีวิตผม เมื่อผมสอบเข้ามหาลัยมีชื่อของรัฐได้ แต่ผมไม่มีสิทธิ์เรียนได้ในระดับอุดมศึกษา ดังนั้นพ่อผมก็ประกาศอย่างเด็ดขาดไม่ให้ผมเรียนอีกแล้ว และจะขัดขวางทุกทางถ้าผมจะเรียนต่อ แต่ผมหนีพ่อไปสมัครเรียนที่ ม.รามคำแหง ก็โดนปฏิเสธ ไม่สามารถเรียนได้เช่นกัน
ผมต้องหยุดเรียน มีความทุกข์ แต่ไม่ทำให้ผมเป็นบ้าแบบพี่ชายคนโตได้ อาจเป็นเพราะผมไหว้พระสวดมนตร์อธิษฐานนั่งสมาธิเป็นประจำทุกคืนนั้นเอง ผมต้องหัดเรียนการซ่อมจักรยานยนตร์ ทำสีรถอยู่เป็นปี จนลุงได้มาบอกผมว่า ผมสามารถเรียนต่อได้ในกรณียื่นหนังสือขออนุญาต เป็นรายๆ ไป ผมเห็นโอกาส แต่พ่อนั้นได้ด่าว่า ลุงอย่างเสียๆ หายๆ จนต้องรีบออกจากบ้านแทบไม่ทัน.
ผมเพียงเห็นช่องเท่านั้น ผมก็วิงวอนขอร้องให้แม่ช่วยส่งผมเรียน จนแม่ใจอ่อน ไม่อยากเห็นลูกของตนเองต้องบ้าไปอีกคนหนึ่ง ผมดำเนินเรื่องทุกอย่างโดยขาดพ่อรับรอง ผมได้รับใบสอบถามจากกระทรวงมหาดไทย ยังไม่ใช่ใบอนุญาต ผมก็นำใบสอบถามนั้นไปสมัครเข้าเรียน ม.ราม คณะวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ก่อน การสมัครเข้าเรียนของผมก็สะดุด เรื่องต้องไปถึง ผอ. สวป.มหาวิทยาลัย ผมจำซื่อท่านไม่เคยลืม ท่านสมชาย น้อยช่ำ ท่านกรุณาให้ผมเรียนไปก่อน แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษา จนกว่าจะเอาใบอนุญาต มายื่นให้สมบูรณ์
นั้นแหละความทุกข์ใหญ่ทุกข์มหาศาลที่เพิ่มขึ้น เพราะผมไม่เคยได้รับใบอนุญาตนั้นอีกเลย บวกกับทุกข์มากอยู่แล้วจากที่พ่อก็กดดันมากมายอยู่แล้ว และพ่อก็กดดันแม่ต้องทุกข์มาก เพราะแม่ต้องแอบส่งเงินให้ผมเรียน เดือนละ 900 บาท พออยู่ได้แบบขัดสนกินพอจะอิ่มเท่านั้น ผมต้องกำหนดกรรมฐานประกองใจอยู่ตลอด จนต้องกำหนดใจตนเองว่า เมื่อระลึกได้ต้องมีสติรู้ลมหายใจที่ปลายจมูกตลอด เพื่อไม่ให้ตนเองบ้าไปเสียก่อน.
เมื่อขึ้นปี 2 ก็รู้ตัวเองว่าผมจะต้องบ้าแบบคนไร่ความสามารถเพราะจิตใจพังด้วยไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย เรียนจบแล้วอาจจะไม่ได้รับใบปริญญา พร้อมทั้งพี่เขาทนไม่ได้ เพราะแม่ต้องทุกข์โดนกดดันจากพ่อมากๆ จนมาขอร้องให้ผมเลิกเรียนเสีย เพราะแม่แทบไม่ไหวแล้ว ผมได้เพียงแต่บอก พี่ว่า
“น้องขอเวลา 2 ปี เท่านั้น จะเรียนให้จบภายใน 3 ปี ไม่ให้แม่ต้องทุกข์มาก”
แล้วผมก็พิจารณาหาทางรักษาจิตใจตนเองที่พอดำรงอยู่ได้โดยไม่บ้าไปเสียก่อน ก็คิดว่า เราต้องอ่านศึกษาธรรมในห้องสมุดมหาลัย เพราะเมื่อศึกษาได้อ่านธรรม ทำให้จิตใจเรามีปีติเล็กๆ น้อย บรรเทาความทุกข์ลงไปได้บ้าง จึงศึกษาธรรมด้วยตนเองพอๆ กับการเรียนในมหาวิทยาลัย.
ทุกข์เท่านั้นยังไม่พอ ต้องทนทุกข์ด้วยโรคปวดข้อมือ บวมเหมือนกระดูกเบียดกัน เจ็บทรมาน 3-7 วัน ทุกเวลา จนน้ำตาลูกผู้ชายไหล ยกเว้นหลับพอตื่นขึ้นมาก็ปวดต่อ ซึ่งเป็นเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง ไม่กล้าไปหาหมอเพราะกลัวโดนจับแล้วไม่ได้เรียนต่อ และก็กลายเป็นขาดน้ำ เพราะไม่มีเงินพอซื้อน้ำกินหลังกินข้าวจานละ 5 บาท ไม่มีก๊อกน้ำเปล่าให้กินในสมัยนั้น ต้องกลายเป็นโรคท้องผูกอย่างแรง
มันชั่งเป็นทุกข์และทรมาน จนบางครั้งก็คิดว่า “เราเป็นดังเปรตในร่างของมนุษย์” ผมก็ยังตั้งปฏิภานว่า แม้ว่าจะทุกข์ลำบากยากอย่างไรแม้แลกด้วยชีวิต ผมก็ยอมเพื่อความรู้และปัญญา.
ผมทนทุกข์กับความยากลำบากสู้เพื่อการศึกษาทางโลกด้วยทางธรรมรักษาใจด้วยธรรมกำหนดกรรมฐาน รู้ตัวทั่วพร้อมในอิริยาบถบรรพ และมีสติรู้ลมหายใจที่ปลายจมูกอยู่เนื่องๆ ที่ระลึกได้
จนผมสอบเรียนจบภายใน 3 ปี ที่ขอพี่และแม่ไว้ พอสอบเสร็จปับผมก็เข้าวัดปฏิบัติธรรมที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ทันที การปฏิบัติธรรมของผมนั้น ทั้งสมถะและวิปัสสนาเจริญพร้อมกันคือได้ฌานหนึ่งพร้อมกับบังเกิด สมนสนญาณ(วิปัสสนาญาณที่ 3) แล้วเกิดวิปัสส นูกิเลศ มากมาย หลงอยู่ประมาณ เกือบ 2 เดือนไปบวชแต่ไม่ได้บวช จึงทุกข์ใหญ่ทั้งตัวผมเองและพี่น้องครอบครัว หัวล้านนุ่งขาวห่มขาวเป็นนาคไม่ได้บวชหลายวัน แต่กำหนอกรรมฐานอย่างยิ่งตลอด ไม่เคยหยุดพักตั้งแต่เริ่มเข้าวัดปฏิบัติมา
จนจะได้บวชในฝ่ายธรรมยุต รอไปอีก 16 วัน จึงรู้ตัวว่า ตนเองนั้นได้หลงในวิปัสสนูกิเลส จึงหายหลงปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเนื่องๆ จนผ่าน อุทยัพพยญาณ (วิปัสสนาญาณที่ 4) พร้อมทั้งบรรลุฌานที่ 2 จึงได้บวชพระ ก็ยังปฏิบัติธรรมอยู่เนื่องๆ
บวชพระได้ไม่เกิน 15 วัน รองเจ้าอาวาสกลับจากธุระที่กรุงเทพฯ เจอกันวันแรกท่านก็อคติด้วย 1.ฐานะทางกฎหมาย 2.ดัวยดังเพราะเรียนเก่ง จึงไม่อยากให้บวชต่อถ้าจะบวชตลอดชีวิต อยากให้สึกออกไปเสีย ผมก็ต้องทนต่อไปเพราะอยู่ในพรรษา และปฏิบัติธรรมอยู่เนื่องๆ จนวิปัสสนาญาณเจริญขึ้นถึง นิพพิทาญาณ เมื่อใกล้ออกพรรษา รองเจ้าอาวาสเสมือนอดทนอยู่ไม่ได้ ผมกลับจากออกบิณฑบาตในเช้ามืด ท่านมาดักหน้าผม แล้วขอร้องให้ผมสึกออกไป ยกสาเหตุเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง คือปฏิบัติกรรมฐาน มาคนละอย่างกัน ผมพิจารณาในใจว่า โอ. วิบากกรรมเรานี้นั้นชั่งรุนแรงหนอ เราขอตัดกรรมวิบากนี้เสีย ผมจึงบอกให้ท่านทราบว่า ผมจะสึกให้ท่าน เพื่อหยุดวิบากกรรม และกรรมต่อกัน
พอออกพรรษาผมก็สึกจากการเป็นพระ แต่มันชั่งอาลัยอาวรณ์ต่อผ้าเหลืองเป็นยิ่งนักเศร้าสลดใจยิ่ง แต่ต้องตัดใจเพราะได้กล่าวสัจจะยกให้ไปแล้ว แล้วผมมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ปฏิบัติธรรมที่คณะ 5 วัดมหาธาตุต่อ ไม่สนใจแม้ทางมหาลัยส่งจดหมายให้ติดต่อกับมหาลัยเรื่องเอกสารเพิ่มเติม ประกอบด้วย ในปีปี พ.ศ. 2526 ฝนตกหนักมาก จึงเก็บตัวปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง ไม่สนใจร่างกายแม้จะซูบผมจนเห็นชีโครงจัดเจนขึ้น วิปัสสนาญาณก็เจริญขึ้นจนสละชีวิตจริงๆ เพื่อธรรมอันพ้นทุกข์นั้น ดังนี้.
พอถึงเช้ามืดหลังจากทำกรรมกรรมฐานมา 24 วันในการเข้าทำกรรมฐานครั้งนี้ พอจิตขึ้นมาจากภวังค์หลับ รับรู้เพียงอารมณ์ที่รู้สึกที่หูไม่ทันรู้ทั่วร่างกาย ก็กำหนดภาวนาทันที ซึ่งสติมีความเร็วมาก พอภาวนาที่จุดนั้นก็เกิดความเจ็บที่ภาวนาขึ้นแต่ไม่สนใจภาวนาต่อก็มีความเจ็บมากขึ้น ความคิดก็แวบขึ้นมาว่าจะภาวนายินหนอหรือ เจ็บหนอดี ก็เกิดความคิดขึ้นว่าภาวนา ยินหนอต่อ เพราะทำมาอย่างนี้แล้ว ก็เลยตัดสินใจภาวนา ยินหนอต่อ ภาวนาเร็วขึ้น ความเจ็บก็เพิ่มมากขึ้น จนเกิดแสงสว่างสีเหลืองอ่อนเท่ากับดาวประกายพรึกเจ็บเจียนตายแต่ก็ไม่กลัว เพราะที่ผ่านมาครั้งก่อนไม่เป็นอะไร ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นมากกว่ามากหลายเท่าตัว คำภาวนาเร็วขึ้นมาก ความเจ็บทวีคูณขึ้น แสงสว่างจ้าขึ้นใสมากขึ้น เป็นมากขึ้นจนชีวิตนี้กำลังจะตายจากจึงเกิดความหน่วงของจิตคล้ายกับรถที่วิ่งมาอย่างเร็วมาก แล้วเบรกกะทันหันชะรอตัวลงแล้วคำภาวนาคงที่ ความเจ็บคงที่ แสงสว่างคงที่ เสมอเรียบได้สักระยะหนึ่ง (ขอให้เข้าใจด้วยว่าช่วงนี้ใดๆ ในโลกนี้ไม่มีอะไร นอกจากจุดนี้จุดเดียว)
หลังจากนั้นจิต ก็มีการ เกิด ดับ คือแสงของจิตดับ ความเจ็บขาดเป็นช่วงๆ ประมาณ 7 - 8 ครั้งที่ชัดเจนที่สุดและอีกหลายครั้งที่ไม่ชัดเจนหลังจากนั้นจิตก็ตกจากที่ สูงดิ่งลงเหมือนคนกำลังตกเหวลงมาข้างล่างแล้วขาดหายไปชั่วเวลาไม่นานจากนั้น จิตยกขึ้นมารับอารมณ์เพราะจิตไม่มีร่างกาย มีความสุขและเอกคะตาแล้วจิตพิจารณาอารมณ์ว่า
"นี้เป็นมรรคผลนิพพาน"
แต่ด้วยความกลัวหลงจนวิปลาสเหมือนที่ผ่านมาจึงพิจารณาว่า "ไม่ใช่ออ! อารมณ์สุขอย่างนี้ เป็นอารมณ์ของพรหม"
พอพิจารณาเสร็จหลังจากนั้นช่วงเวลาไม่นานก็บังเกิดเป็นดวงสีเหลืองอ่อนเท่าดวงดาวขึ้นมาหลังจากนั้นรู้สึกโครงเครง คล้ายกับคนที่อยู่ในท้องเรือใหญ่โดนคลื่นกระทบ แล้วขยายรู้สึกทั่วตัวในท่านอนหายคู้เข่าด้านขวามือสองข้างทาบบนอกเหมือนอย่าง เดิมกับตอนแรกที่กำหนดกรรมฐานเข้าภวังค์จนออกมา พ้อมทั้งเกิดความรู้ขึ้นว่า เราจะไม่บ้าแบบพี่ชายคนโตอีกแล้ว ไม่ว่าจะโดนกดดันอย่างใด
หลังจากนั้นกำหนดกรรมฐานก็จะ มีความสุขความสบายอาบทั่วทั้งจิตละร่างกาย และเวลากำหนดกรรมฐานมีอาการดับขาดตอนบ่อยคือนั่งกำหนดกรรมฐานก็ดับหมดสิ้นไปทันที และสติบังเกิดขึ้นเต็มตัวทันที่
เป็นอันว่า บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามทีจิตอุทานขึ้นมาเอง พร้อมกับได้ ฌาน 3 ถ้ารวมเวลาตั้งแต่เข้าวัดปฏิบัติธรรมจน ปรากฏธรรมเช่นนั้นก็เป็นเวลาเกือบ 5 เดือน แต่ประสบวิบากกรรมมากมายทีเดียว.
ความทุกข์ไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น แต่ยังอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า แต่จะไม่ผิดเพียนจนบ้าได้นั้นเอง แม้จะเกิดทุกข์ให้บ้าผิดเพี้ยนได้ก็ตาม เพราะเหมือนดังหอกปักหลังยังปักแน่นอยู่ ด้วยยังไม่มีสัญชาติไทย จึงยังขาดสิทธิเสรีภาพอย่างหนักอยู่ และมีตัวอย่างให้เห็นว่า คนที่มีสถานะอย่างผม เรียนจบเพาะช่าง ฝีมือเยี่ยม แต่ไม่สามารถไปทำงานมีรายได้เหมาะสมกับความรู้และความสามารถของตนเองได้ โดนกดดันจนผิดเพี้ยนไปแล้ว 1 คน เป็นตัวอย่างที่ผมเห็นๆ อยู่.
ด้วยความอนุเคราะห์ของทางมหาลัยรามคำแหง ผมได้อนุมัติรับปริญญาเหมือนบุคคลอื่นๆ ทั้งที่ไม่มีเอกสารเพิ่มไปยื่นให้ แต่ผมก็ไม่สามารถหางานทำมั่นคงได้ จึงต้องเป็นติวเตอร์ ที่พอเลี้ยงตัวได้เดือนชนเดือนหน้า ม.ราม นั้นเอง รอบวชพระอีกครั้ง แต่ยังไม่บวชถ้ายังมีสถานะให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมอีก
ต่อไปจะย่อสรุปข้อความ...
มีแฟน จึงลังเลในตัวเอง โพธิสัตว์ หรือ โสดาบัน (ด้วยเหตุเพียงนี้จึงเกิดข้อความในโลกอินเตอร์เน็ตมากมายภายหลัง) เมื่อมีครอบครัว โดยที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน จนเกิดทุกข์มากมายเสียเหลือเกิน เกือบ 10 ปี แต่ปฏิบัติธรรมอยู่เนื่องๆ จนได้ฌาน 4 จนวิปัสสนาญาณได้เจริญขึ้นรอบใหม่ ทุกข์ในวิปัสสนาญาณที่วนเวียนอยู่แต่ไม่สามารถผ่านพ้นไปได้ แต่เกิดปัญญาทางธรรมได้หลายร้อยพันนัย จนได้รับสัญชาติไทย ปลายปี 2537.
แต่ด้วยจิต ด้วยธรรมที่ฝึกมาดีแล้ว แม้ผมจะอยู่ในฐานะลำบากเช่นไรก่อนหน้านั้น ผมย่อมปรับตกแต่ง ให้แฟน ที่กลายเป็นภรรยา ให้ดีขึ้นเรียนจ
ต้องขอบคุณความทุกข์ ทำให้กลายเป็นต้นทุนจึงแสวงหาทางพ้นทุกข์ ด้ายการเรียนแสวงหาความรู้และปัญญา และเจริญทางโลก
หมายเหตุ การยกเรื่อง สัญชาติ เรื่องกฎหมาย ผมไม่ได้มุ่งเน้นหรือหมายติดไปในเรื่องความยุติธรรม หรือไม่ยุติธรรมในสังคม หรือให้เกิดอคติต่างๆ แต่ยกมาเพื่อ ให้เห็นซึ่งเหตุต่างๆ ของวิบากกรรมอันเป็นทุกข์ ซึ่งแต่ละคนหรือแต่ละสัตว์ ก็มีต่างๆ กัน เพราะแม้การเกิดมา ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์แล้ว และการเปิดเผยอย่างนี้ ก็เป็นการทำหน้าที่แห่งตนอย่างหนึ่งในฐานะผู้ยังศึกษา
ความจริงแล้ววัดไม่ได้ว่าเป็นทุกข์เท่าใด เห็นทุกข์เท่าใด แสวงหาความรู้และปัญญาเท่าใด จึงจะทำให้สามารถสละชีวิตได้เพื่อพ้นทุกข์
แต่สำหรับผมนั้นเป็นทุกข์ทั้งแต่จำความได้ เพราะต่ำต้อยในสังคมทางกฎหมาย และพ่อชั่งกดดันเป็นอย่างยิ่งเสียทุกเรื่อง เรื่องที่รุนแรงสำหรับผมคือ การที่พ่อบังคับไม่ให้เรียนต่อ จนพี่ชายคนโตของผมได้บ้าเสียสติไปแล้ว 1 คน ผมก็ไม่เข็ด ก็ยังอยากเรียนเพราะเรียนเก่งขึ้นเรื่อยๆ และต่างจากบุคคลในบ้านคือ ผมศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก จนไหว้พระสวดมนตร์ก่อนนอนเป็นประจำ และนั่งสมาธิด้วยตนเองตามแบบพระพุทธรูป เฝ้าอธิษฐานขอให้ได้เรียนต่อ แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
ผมก็กลัวบ้าแบบพี่ชายคนโตในใจลึกๆ แม้พ่อให้เลิกเรียนตอนจบ ป.7 ผมก็ต้องยอมรับ แต่ใจนั้นเสียใจอย่างยิ่งจนเก็บไปฝันว่าตนไปโรงเรียนในชั้นมัธยม ต้องช่วยงานพ่อแม่ทุกอย่าง ขนของขายของชำ ซ่อมรถจักรยาน ลับมีด หัดซ่อมวิทยุทรานชิเตอร์ แต่ใจผมก็ไม่เคยท้อ ยังไหว้พระสวดมนตร์ อธิษฐานก่อนนอนทุกคืน ขอให้ได้เรียนต่อ
เหมือนกรรมบันดาลหรือบุญบันดาล ในปีถัดมาได้มีโรงเรียนเอกชนระดับมัธยม เปิดใกล้บ้าน ค่าเรียนถูกมาก ผมอ้อนวอนกับพ่อ เป็นเวลา 2-3 เดือน และให้สัญญาว่าจะช่วยงานพ่อแม่ดังเดิม จนพ่อใจอ่อนยอมให้เรียน และผมก็ได้ทำตามสัญญากับพ่อ และเรียนเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนขึ้นมัธยมปลาย และพัฒนาการปฏิบัติธรรมตามตำราที่ได้อ่านได้ศึกษาเพิ่มขึ้น
แล้วความเป็นทุกข์ใหญ่เริ่มต้นถาโถมเข้ามาในชีวิตผม เมื่อผมสอบเข้ามหาลัยมีชื่อของรัฐได้ แต่ผมไม่มีสิทธิ์เรียนได้ในระดับอุดมศึกษา ดังนั้นพ่อผมก็ประกาศอย่างเด็ดขาดไม่ให้ผมเรียนอีกแล้ว และจะขัดขวางทุกทางถ้าผมจะเรียนต่อ แต่ผมหนีพ่อไปสมัครเรียนที่ ม.รามคำแหง ก็โดนปฏิเสธ ไม่สามารถเรียนได้เช่นกัน
ผมต้องหยุดเรียน มีความทุกข์ แต่ไม่ทำให้ผมเป็นบ้าแบบพี่ชายคนโตได้ อาจเป็นเพราะผมไหว้พระสวดมนตร์อธิษฐานนั่งสมาธิเป็นประจำทุกคืนนั้นเอง ผมต้องหัดเรียนการซ่อมจักรยานยนตร์ ทำสีรถอยู่เป็นปี จนลุงได้มาบอกผมว่า ผมสามารถเรียนต่อได้ในกรณียื่นหนังสือขออนุญาต เป็นรายๆ ไป ผมเห็นโอกาส แต่พ่อนั้นได้ด่าว่า ลุงอย่างเสียๆ หายๆ จนต้องรีบออกจากบ้านแทบไม่ทัน.
ผมเพียงเห็นช่องเท่านั้น ผมก็วิงวอนขอร้องให้แม่ช่วยส่งผมเรียน จนแม่ใจอ่อน ไม่อยากเห็นลูกของตนเองต้องบ้าไปอีกคนหนึ่ง ผมดำเนินเรื่องทุกอย่างโดยขาดพ่อรับรอง ผมได้รับใบสอบถามจากกระทรวงมหาดไทย ยังไม่ใช่ใบอนุญาต ผมก็นำใบสอบถามนั้นไปสมัครเข้าเรียน ม.ราม คณะวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์ก่อน การสมัครเข้าเรียนของผมก็สะดุด เรื่องต้องไปถึง ผอ. สวป.มหาวิทยาลัย ผมจำซื่อท่านไม่เคยลืม ท่านสมชาย น้อยช่ำ ท่านกรุณาให้ผมเรียนไปก่อน แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษา จนกว่าจะเอาใบอนุญาต มายื่นให้สมบูรณ์
นั้นแหละความทุกข์ใหญ่ทุกข์มหาศาลที่เพิ่มขึ้น เพราะผมไม่เคยได้รับใบอนุญาตนั้นอีกเลย บวกกับทุกข์มากอยู่แล้วจากที่พ่อก็กดดันมากมายอยู่แล้ว และพ่อก็กดดันแม่ต้องทุกข์มาก เพราะแม่ต้องแอบส่งเงินให้ผมเรียน เดือนละ 900 บาท พออยู่ได้แบบขัดสนกินพอจะอิ่มเท่านั้น ผมต้องกำหนดกรรมฐานประกองใจอยู่ตลอด จนต้องกำหนดใจตนเองว่า เมื่อระลึกได้ต้องมีสติรู้ลมหายใจที่ปลายจมูกตลอด เพื่อไม่ให้ตนเองบ้าไปเสียก่อน.
เมื่อขึ้นปี 2 ก็รู้ตัวเองว่าผมจะต้องบ้าแบบคนไร่ความสามารถเพราะจิตใจพังด้วยไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย เรียนจบแล้วอาจจะไม่ได้รับใบปริญญา พร้อมทั้งพี่เขาทนไม่ได้ เพราะแม่ต้องทุกข์โดนกดดันจากพ่อมากๆ จนมาขอร้องให้ผมเลิกเรียนเสีย เพราะแม่แทบไม่ไหวแล้ว ผมได้เพียงแต่บอก พี่ว่า
“น้องขอเวลา 2 ปี เท่านั้น จะเรียนให้จบภายใน 3 ปี ไม่ให้แม่ต้องทุกข์มาก”
แล้วผมก็พิจารณาหาทางรักษาจิตใจตนเองที่พอดำรงอยู่ได้โดยไม่บ้าไปเสียก่อน ก็คิดว่า เราต้องอ่านศึกษาธรรมในห้องสมุดมหาลัย เพราะเมื่อศึกษาได้อ่านธรรม ทำให้จิตใจเรามีปีติเล็กๆ น้อย บรรเทาความทุกข์ลงไปได้บ้าง จึงศึกษาธรรมด้วยตนเองพอๆ กับการเรียนในมหาวิทยาลัย.
ทุกข์เท่านั้นยังไม่พอ ต้องทนทุกข์ด้วยโรคปวดข้อมือ บวมเหมือนกระดูกเบียดกัน เจ็บทรมาน 3-7 วัน ทุกเวลา จนน้ำตาลูกผู้ชายไหล ยกเว้นหลับพอตื่นขึ้นมาก็ปวดต่อ ซึ่งเป็นเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง ไม่กล้าไปหาหมอเพราะกลัวโดนจับแล้วไม่ได้เรียนต่อ และก็กลายเป็นขาดน้ำ เพราะไม่มีเงินพอซื้อน้ำกินหลังกินข้าวจานละ 5 บาท ไม่มีก๊อกน้ำเปล่าให้กินในสมัยนั้น ต้องกลายเป็นโรคท้องผูกอย่างแรง
มันชั่งเป็นทุกข์และทรมาน จนบางครั้งก็คิดว่า “เราเป็นดังเปรตในร่างของมนุษย์” ผมก็ยังตั้งปฏิภานว่า แม้ว่าจะทุกข์ลำบากยากอย่างไรแม้แลกด้วยชีวิต ผมก็ยอมเพื่อความรู้และปัญญา.
ผมทนทุกข์กับความยากลำบากสู้เพื่อการศึกษาทางโลกด้วยทางธรรมรักษาใจด้วยธรรมกำหนดกรรมฐาน รู้ตัวทั่วพร้อมในอิริยาบถบรรพ และมีสติรู้ลมหายใจที่ปลายจมูกอยู่เนื่องๆ ที่ระลึกได้
จนผมสอบเรียนจบภายใน 3 ปี ที่ขอพี่และแม่ไว้ พอสอบเสร็จปับผมก็เข้าวัดปฏิบัติธรรมที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ทันที การปฏิบัติธรรมของผมนั้น ทั้งสมถะและวิปัสสนาเจริญพร้อมกันคือได้ฌานหนึ่งพร้อมกับบังเกิด สมนสนญาณ(วิปัสสนาญาณที่ 3) แล้วเกิดวิปัสส นูกิเลศ มากมาย หลงอยู่ประมาณ เกือบ 2 เดือนไปบวชแต่ไม่ได้บวช จึงทุกข์ใหญ่ทั้งตัวผมเองและพี่น้องครอบครัว หัวล้านนุ่งขาวห่มขาวเป็นนาคไม่ได้บวชหลายวัน แต่กำหนอกรรมฐานอย่างยิ่งตลอด ไม่เคยหยุดพักตั้งแต่เริ่มเข้าวัดปฏิบัติมา
จนจะได้บวชในฝ่ายธรรมยุต รอไปอีก 16 วัน จึงรู้ตัวว่า ตนเองนั้นได้หลงในวิปัสสนูกิเลส จึงหายหลงปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเนื่องๆ จนผ่าน อุทยัพพยญาณ (วิปัสสนาญาณที่ 4) พร้อมทั้งบรรลุฌานที่ 2 จึงได้บวชพระ ก็ยังปฏิบัติธรรมอยู่เนื่องๆ
บวชพระได้ไม่เกิน 15 วัน รองเจ้าอาวาสกลับจากธุระที่กรุงเทพฯ เจอกันวันแรกท่านก็อคติด้วย 1.ฐานะทางกฎหมาย 2.ดัวยดังเพราะเรียนเก่ง จึงไม่อยากให้บวชต่อถ้าจะบวชตลอดชีวิต อยากให้สึกออกไปเสีย ผมก็ต้องทนต่อไปเพราะอยู่ในพรรษา และปฏิบัติธรรมอยู่เนื่องๆ จนวิปัสสนาญาณเจริญขึ้นถึง นิพพิทาญาณ เมื่อใกล้ออกพรรษา รองเจ้าอาวาสเสมือนอดทนอยู่ไม่ได้ ผมกลับจากออกบิณฑบาตในเช้ามืด ท่านมาดักหน้าผม แล้วขอร้องให้ผมสึกออกไป ยกสาเหตุเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง คือปฏิบัติกรรมฐาน มาคนละอย่างกัน ผมพิจารณาในใจว่า โอ. วิบากกรรมเรานี้นั้นชั่งรุนแรงหนอ เราขอตัดกรรมวิบากนี้เสีย ผมจึงบอกให้ท่านทราบว่า ผมจะสึกให้ท่าน เพื่อหยุดวิบากกรรม และกรรมต่อกัน
พอออกพรรษาผมก็สึกจากการเป็นพระ แต่มันชั่งอาลัยอาวรณ์ต่อผ้าเหลืองเป็นยิ่งนักเศร้าสลดใจยิ่ง แต่ต้องตัดใจเพราะได้กล่าวสัจจะยกให้ไปแล้ว แล้วผมมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ปฏิบัติธรรมที่คณะ 5 วัดมหาธาตุต่อ ไม่สนใจแม้ทางมหาลัยส่งจดหมายให้ติดต่อกับมหาลัยเรื่องเอกสารเพิ่มเติม ประกอบด้วย ในปีปี พ.ศ. 2526 ฝนตกหนักมาก จึงเก็บตัวปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง ไม่สนใจร่างกายแม้จะซูบผมจนเห็นชีโครงจัดเจนขึ้น วิปัสสนาญาณก็เจริญขึ้นจนสละชีวิตจริงๆ เพื่อธรรมอันพ้นทุกข์นั้น ดังนี้.
พอถึงเช้ามืดหลังจากทำกรรมกรรมฐานมา 24 วันในการเข้าทำกรรมฐานครั้งนี้ พอจิตขึ้นมาจากภวังค์หลับ รับรู้เพียงอารมณ์ที่รู้สึกที่หูไม่ทันรู้ทั่วร่างกาย ก็กำหนดภาวนาทันที ซึ่งสติมีความเร็วมาก พอภาวนาที่จุดนั้นก็เกิดความเจ็บที่ภาวนาขึ้นแต่ไม่สนใจภาวนาต่อก็มีความเจ็บมากขึ้น ความคิดก็แวบขึ้นมาว่าจะภาวนายินหนอหรือ เจ็บหนอดี ก็เกิดความคิดขึ้นว่าภาวนา ยินหนอต่อ เพราะทำมาอย่างนี้แล้ว ก็เลยตัดสินใจภาวนา ยินหนอต่อ ภาวนาเร็วขึ้น ความเจ็บก็เพิ่มมากขึ้น จนเกิดแสงสว่างสีเหลืองอ่อนเท่ากับดาวประกายพรึกเจ็บเจียนตายแต่ก็ไม่กลัว เพราะที่ผ่านมาครั้งก่อนไม่เป็นอะไร ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นมากกว่ามากหลายเท่าตัว คำภาวนาเร็วขึ้นมาก ความเจ็บทวีคูณขึ้น แสงสว่างจ้าขึ้นใสมากขึ้น เป็นมากขึ้นจนชีวิตนี้กำลังจะตายจากจึงเกิดความหน่วงของจิตคล้ายกับรถที่วิ่งมาอย่างเร็วมาก แล้วเบรกกะทันหันชะรอตัวลงแล้วคำภาวนาคงที่ ความเจ็บคงที่ แสงสว่างคงที่ เสมอเรียบได้สักระยะหนึ่ง (ขอให้เข้าใจด้วยว่าช่วงนี้ใดๆ ในโลกนี้ไม่มีอะไร นอกจากจุดนี้จุดเดียว)
หลังจากนั้นจิต ก็มีการ เกิด ดับ คือแสงของจิตดับ ความเจ็บขาดเป็นช่วงๆ ประมาณ 7 - 8 ครั้งที่ชัดเจนที่สุดและอีกหลายครั้งที่ไม่ชัดเจนหลังจากนั้นจิตก็ตกจากที่ สูงดิ่งลงเหมือนคนกำลังตกเหวลงมาข้างล่างแล้วขาดหายไปชั่วเวลาไม่นานจากนั้น จิตยกขึ้นมารับอารมณ์เพราะจิตไม่มีร่างกาย มีความสุขและเอกคะตาแล้วจิตพิจารณาอารมณ์ว่า
"นี้เป็นมรรคผลนิพพาน"
แต่ด้วยความกลัวหลงจนวิปลาสเหมือนที่ผ่านมาจึงพิจารณาว่า "ไม่ใช่ออ! อารมณ์สุขอย่างนี้ เป็นอารมณ์ของพรหม"
พอพิจารณาเสร็จหลังจากนั้นช่วงเวลาไม่นานก็บังเกิดเป็นดวงสีเหลืองอ่อนเท่าดวงดาวขึ้นมาหลังจากนั้นรู้สึกโครงเครง คล้ายกับคนที่อยู่ในท้องเรือใหญ่โดนคลื่นกระทบ แล้วขยายรู้สึกทั่วตัวในท่านอนหายคู้เข่าด้านขวามือสองข้างทาบบนอกเหมือนอย่าง เดิมกับตอนแรกที่กำหนดกรรมฐานเข้าภวังค์จนออกมา พ้อมทั้งเกิดความรู้ขึ้นว่า เราจะไม่บ้าแบบพี่ชายคนโตอีกแล้ว ไม่ว่าจะโดนกดดันอย่างใด
หลังจากนั้นกำหนดกรรมฐานก็จะ มีความสุขความสบายอาบทั่วทั้งจิตละร่างกาย และเวลากำหนดกรรมฐานมีอาการดับขาดตอนบ่อยคือนั่งกำหนดกรรมฐานก็ดับหมดสิ้นไปทันที และสติบังเกิดขึ้นเต็มตัวทันที่
เป็นอันว่า บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามทีจิตอุทานขึ้นมาเอง พร้อมกับได้ ฌาน 3 ถ้ารวมเวลาตั้งแต่เข้าวัดปฏิบัติธรรมจน ปรากฏธรรมเช่นนั้นก็เป็นเวลาเกือบ 5 เดือน แต่ประสบวิบากกรรมมากมายทีเดียว.
ความทุกข์ไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น แต่ยังอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า แต่จะไม่ผิดเพียนจนบ้าได้นั้นเอง แม้จะเกิดทุกข์ให้บ้าผิดเพี้ยนได้ก็ตาม เพราะเหมือนดังหอกปักหลังยังปักแน่นอยู่ ด้วยยังไม่มีสัญชาติไทย จึงยังขาดสิทธิเสรีภาพอย่างหนักอยู่ และมีตัวอย่างให้เห็นว่า คนที่มีสถานะอย่างผม เรียนจบเพาะช่าง ฝีมือเยี่ยม แต่ไม่สามารถไปทำงานมีรายได้เหมาะสมกับความรู้และความสามารถของตนเองได้ โดนกดดันจนผิดเพี้ยนไปแล้ว 1 คน เป็นตัวอย่างที่ผมเห็นๆ อยู่.
ด้วยความอนุเคราะห์ของทางมหาลัยรามคำแหง ผมได้อนุมัติรับปริญญาเหมือนบุคคลอื่นๆ ทั้งที่ไม่มีเอกสารเพิ่มไปยื่นให้ แต่ผมก็ไม่สามารถหางานทำมั่นคงได้ จึงต้องเป็นติวเตอร์ ที่พอเลี้ยงตัวได้เดือนชนเดือนหน้า ม.ราม นั้นเอง รอบวชพระอีกครั้ง แต่ยังไม่บวชถ้ายังมีสถานะให้เกิดเหตุการณ์แบบเดิมอีก
ต่อไปจะย่อสรุปข้อความ...
มีแฟน จึงลังเลในตัวเอง โพธิสัตว์ หรือ โสดาบัน (ด้วยเหตุเพียงนี้จึงเกิดข้อความในโลกอินเตอร์เน็ตมากมายภายหลัง) เมื่อมีครอบครัว โดยที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน จนเกิดทุกข์มากมายเสียเหลือเกิน เกือบ 10 ปี แต่ปฏิบัติธรรมอยู่เนื่องๆ จนได้ฌาน 4 จนวิปัสสนาญาณได้เจริญขึ้นรอบใหม่ ทุกข์ในวิปัสสนาญาณที่วนเวียนอยู่แต่ไม่สามารถผ่านพ้นไปได้ แต่เกิดปัญญาทางธรรมได้หลายร้อยพันนัย จนได้รับสัญชาติไทย ปลายปี 2537.
แต่ด้วยจิต ด้วยธรรมที่ฝึกมาดีแล้ว แม้ผมจะอยู่ในฐานะลำบากเช่นไรก่อนหน้านั้น ผมย่อมปรับตกแต่ง ให้แฟน ที่กลายเป็นภรรยา ให้ดีขึ้นเรียนจ