อรหัตตมรรค(พระอนาคามีผล) อรหัตตผล(พระอรหันต์) ธรรมมะขั้นสูง!!!

จิตที่มีอวิชชาห่อหุ้ม ย่อมเกิด-ดับสืบต่อ มีรูปร่างปรากฏขึ้นมาภายในจิต เรียกว่าจิตสังขาร จิตสังขารนี้เองที่เกิด-ดับสืบต่อ เป็นภพเป็นชาติ จิตโดยตัวของมันเองเป็นธรรมชาติรู้ ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ รับรู้ได้ทีละหนึ่งอารมณ์ จิตที่มีอวิชชานั้น เมื่อรับรู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ย่อมมีตัณหาพาเข้าไปปฏิสนธิในอารมณ์นั้น จิตจึงแปรสภาพ เป็นรูปร่างต่างๆ เกิด-ดับๆตลอดวันตลอดคืน ห้ามก็ไม่ฟัง ควบคุมก็ไม่ได้ พระอานาคามี มาถึงจุดนี้บางองค์ งงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร เพราะจิตมันควบคุมไม่ได้ มันรู้อะไรต่อมิอะไรของมันสารพัด บางองค์ถึงขั้นหัวโขกผนังกันเลยทีเดียว จิตพระอนาคามียังมีตัณหาอยู่ รู้อะไรขึ้นมา จิตก็เกิดเป็นสิ่งนั้น แล้วก็ดับภายในจิต จิตพระอนาคามีไม่ติดในสิ่งที่รู้ รู้อะไรขึ้นมา สิ่งที่รู้ก็เกิด-ดับ แต่หลงว่าตนเป็นผู้รู้ในสิ่งต่างๆ ตรงนี้เองเป็นอวิชชาของพระอนาคามี
หมายเหตุ***(หลวงปู่หล้า ท่านกล่าวใว้น่าสนใจมาก พระนิพพานอยู่เหนือผู้รู้ไม่มีประมาณ)
จิตที่หมดอวิชชา จิตพระอรหันต์ เมื่อรับรู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง จิตจะไม่มีตัณหา จิตจึงไม่ปฏิสนธิในอารมณ์ จิตก็นิ่งเด่นสว่างไสวครอบโลกธาตุ ไม่มีรูปร่างอะไรต่อมิอะไรเกิด-ดับภายในจิต จิตตัวนี้เป็นวิสังขารไป คือพ้นอำนาจการปรุงแต่ง จิตแท้ๆตัวนี้เอง ไม่มีรูปร่าง ไม่มีกริยาอาการใดๆ เพราะจิตหมดตัณหา อวิชชากิเลสอาสวะแล้ว ย่อมหลุดพ้นด้วยดี เป็นธรรมชาติสว่างเข้ากับความว่างเดิมของจักวาล เป็นหนึ่ง เรียกว่านิพพาน
หมายเหตุ.....(หลวงปู่ดูลย์ ท่านกล่าวใว้น่าสนใจมาก โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน)

สาระสำคัญ...ผู้ที่จะถอดรูปวิญญาณปรมณูได้ มีเพียง พระอรหันตมรรค(พระอนาคามีผล) แล้วเมื่อถอดจนปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน ตรงนี้เป็นผล บรรลุอรหันตผลทันที)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่