'ทีโอที' จ่อสูญรายได้สัญญา 'เอไอเอส' ล่าช้า 'กสทช.' หวั่นกระทบมาตรการเยียวยาคลื่น 900
กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559
"ทีโอที" ส่อสูญรายได้ปีละกว่า 2 หมื่นล้าน หลังสัญญาเป็นสตราทิจิก พาร์ทเนอร์ "เอไอเอส" ไร้แววคืบ แม้เอ็มโอยูร่วมกันไปตั้งแต่ 29 มี.ค. กสทช. ชี้หากไม่รีบดำเนินการมีผลกระทบยาวถึง มาตรการเยียวยาคลื่น 900 ที่ยุติสิ้นเดือนนี้
รายงานข่าวจากคณะกรรมการ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากกรณีทีโอทีได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) กับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา สำหรับการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (สตราทิจิก พาร์ทเนอร์) ในร่างสัญญา 5 ฉบับ ได้แก่
1. สัญญาการทดลองให้บริการเชิงพาณิชย์
2. สัญญาทีโอทีเช่าโครงข่ายโทรคมนาคมกับบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค (เอดับบลิวเอ็น) บริษัทลูกของเอไอเอส
3.สัญญาการใช้โครงข่ายร่วม ระหว่างเอดับบลิวเอ็น กับทีโอที
4.สัญญา เอดับบลิวเอ็นขอเช่าโครงข่ายโทรคมนาคมทีโอทีจำนวน 13,000 ต้น และ
5.สัญญาเอดับบลิวเอ็น เช่าอุปกรณ์โทรคมนาคมที่เอไอเอสส่งมอบตามสัญญาสัมปทาน
ทั้งนี้ สัญญาหลักให้สำนักงานอัยการสูงสุด คณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจสอบ โดย 2 หน่วยงานได้ตอบกลับมาว่า ไม่ติดขัดเรื่องกฎหมาย ขณะที่ ปลายเดือน เม.ย. 2559 สำนักงาน คณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ส่งหนังสือมาว่า ดำเนินการได้ ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมทุนในกิจการของรัฐ โดยอิงมาตรฐานเดียวกับสัญญาที่ บมจ.กสท โทรคมนาคม ทำร่วมกับ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น มาแล้ว
นอกจากนี้ ช่วงปลายเดือนเม.ย. ทีโอที ยังได้สอบถามเรื่องดังกล่าวต่อสำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าทำได้หรือไม่ ซึ่ง กสทช. ตอบไปในแนวทางเดียวกับ สคร. ทำให้เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. บอร์ดทีโอทีมีมติให้ลงนามในการให้เอไอเอส ทำสัญญาทดลองระบบทางเทคนิค เป็นเวลา 6 เดือน โดยเอไอเอสต้องจ่ายค่าทดลอง เดือนละ 300 ล้านบาท
แต่ล่าสุดเมื่อ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา บอร์ดกลับนัดประชุมวาระพิเศษเพื่อระงับการเซ็นสัญญาข้างต้นไว้ก่อน และให้ส่งเรื่องสอบถามไปยังกฤษฎีกาว่าเข้าข่าย พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมทุนในกิจการของรัฐ หรือไม่
แหล่งข่าวจากสำนักงาน กสทช. กล่าวว่า การลงนามในสัญญาของทีโอทีหรือไม่นั้น จะมีผลต่อประกาศ กสทช.เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุด การอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ.2556 (มาตรการเยียวยาฯ) คลื่นความถี่ย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.2559 นี้ ซึ่งจะเป็นผลเสียรูปคดี ของทีโอที เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนหากสิ้นสุดมาตรการเยียวยาฯ เอไอเอส จะดำเนินการฟ้องร้องทีโอที หากไม่เซ็นสัญญาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากทีโอทีไม่เซ็นสัญญากับเอไอเอส จะทำให้เกิดปัญหาแก่ทีโอทีด้วยกัน 5 กรณี คือ 1.ลูกค้าที่ค้างอยู่ในระบบเดิมคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ที่อยู่ภายใต้มาตรการเยียวยาฯ เนื่องมาจาก ลูกค้าจำนวน 7-8 ล้านเลขหมาย ในระบบเอไอเอสที่เชื่อมโยง โครงข่าย (โรมมิ่ง) คลื่น 900 กับทีโอที ซึ่งทีโอที ได้ฟ้องร้องเอไอเอส ที่โอนย้ายลูกค้าไม่ได้รับความสมัครใจ ขณะที่ ลูกค้า 7-8 แสนเลขหมาย เอไอเอสยังจัดพิมพ์ใบแจ้งหนี้ (บิลลิ่ง) ซึ่งทีโอที ยังไม่ได้มีมาตรการใดๆ ว่าจะออกบิลลิ่งให้แก่ลูกค้าอย่างไร ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้เอไอเอสจะยึดเป็นลูกค้าตัวเอง
กรณีที่ 2.โครงข่ายในระบบ 2จีในย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ที่ไม่รวมเสาโทรคมนาคม อาคาร และที่ดิน ซึ่งสัญญาการเช่าใช้โครงข่ายยัง ไม่ชัดเจน เมื่อหมดสัญญาภาระเหล่านี้ก็จะไม่ชำระให้ทีโอที แต่ยังจะดูแลลูกค้ากลุ่มดังกล่าว โดยเอไอเอส จะอ้างเพื่อรักษาฐานลูกค้า
กรณีที่ 3. เสาโทรคมนาคม อาคารที่ดิน ยังไม่มี ความชัดเจน เรื่องสิทธิในการใช้ หลังจากสิ้นสุดมาตรการเยียวยาฯ โดยค่าใช้จ่าย ค่าเช่าที่ดิน โดยทั้งหมดเอไอเอสยังสำรองล่วงหน้าและใช้สิทธิฟ้องร้องเพื่อเรียกคืนค่าใช้จ่ายดังกล่าว
กรณีที่ 4. คลื่นความถี่ย่าน 2.1 กิกะเฮิรตซ์ของทีโอที ที่มีความสามารถรองรับการใช้งานเหลืออีกราว 20% โดยโครงข่าย 2.1 กิกะเฮิรตซ์ที่มีจำนวนลูกค้า 6 ล้านเลขหมาย และโครงข่ายจำนวน 16,000 สถานี โดยทีโอทีตกลงจะทำสัญญากับเอไอเอส รูปแบบเดียวกับบีเอฟเคที กรณีสุดท้าย คือ กรณี 2 - 4 เมื่อไม่ทำสัญญา ทีโอทีเนื่องจากไม่มีกระแสเงินสด ก็จะทำให้ทีโอที ขาดกระแสเงินสดและทีโอทีจะยิ่งตกอยู่สภาวะขาดทุน
เนื่องจากรายได้จากสัมปทานเริ่ม ลดลง โดยหากทีโอทีและเอไอเอสทำสัญญาระหว่างกัน แต่ละปีทีโอทีจะมีรายได้มาจาก 1.รายได้จากค่าเช่าโครงข่าย 900 เมกะเฮิรตซ์ราว 2,000 ล้านบาทต่อปี 2.รายได้จากเสาโทรคมนาคม อาคารที่ดิน 3,500 ล้านบาท 3.รายได้จากค่าเช่าโครงข่าย 2.1 กิกะเฮิรตซ์ 15,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ทีโอทีมีรายได้ต่อปี กว่า 20,000 ล้านบาท
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559 (หน้า 3)
'ทีโอที' จ่อสูญรายได้สัญญา 'เอไอเอส' ล่าช้า 'กสทช.' หวั่นกระทบมาตรการเยียวยาคลื่น 900
'ทีโอที' จ่อสูญรายได้สัญญา 'เอไอเอส' ล่าช้า 'กสทช.' หวั่นกระทบมาตรการเยียวยาคลื่น 900
กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559
"ทีโอที" ส่อสูญรายได้ปีละกว่า 2 หมื่นล้าน หลังสัญญาเป็นสตราทิจิก พาร์ทเนอร์ "เอไอเอส" ไร้แววคืบ แม้เอ็มโอยูร่วมกันไปตั้งแต่ 29 มี.ค. กสทช. ชี้หากไม่รีบดำเนินการมีผลกระทบยาวถึง มาตรการเยียวยาคลื่น 900 ที่ยุติสิ้นเดือนนี้
รายงานข่าวจากคณะกรรมการ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากกรณีทีโอทีได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) กับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา สำหรับการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (สตราทิจิก พาร์ทเนอร์) ในร่างสัญญา 5 ฉบับ ได้แก่
1. สัญญาการทดลองให้บริการเชิงพาณิชย์
2. สัญญาทีโอทีเช่าโครงข่ายโทรคมนาคมกับบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค (เอดับบลิวเอ็น) บริษัทลูกของเอไอเอส
3.สัญญาการใช้โครงข่ายร่วม ระหว่างเอดับบลิวเอ็น กับทีโอที
4.สัญญา เอดับบลิวเอ็นขอเช่าโครงข่ายโทรคมนาคมทีโอทีจำนวน 13,000 ต้น และ
5.สัญญาเอดับบลิวเอ็น เช่าอุปกรณ์โทรคมนาคมที่เอไอเอสส่งมอบตามสัญญาสัมปทาน
ทั้งนี้ สัญญาหลักให้สำนักงานอัยการสูงสุด คณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจสอบ โดย 2 หน่วยงานได้ตอบกลับมาว่า ไม่ติดขัดเรื่องกฎหมาย ขณะที่ ปลายเดือน เม.ย. 2559 สำนักงาน คณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ส่งหนังสือมาว่า ดำเนินการได้ ไม่ขัดต่อ พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมทุนในกิจการของรัฐ โดยอิงมาตรฐานเดียวกับสัญญาที่ บมจ.กสท โทรคมนาคม ทำร่วมกับ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น มาแล้ว
นอกจากนี้ ช่วงปลายเดือนเม.ย. ทีโอที ยังได้สอบถามเรื่องดังกล่าวต่อสำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าทำได้หรือไม่ ซึ่ง กสทช. ตอบไปในแนวทางเดียวกับ สคร. ทำให้เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. บอร์ดทีโอทีมีมติให้ลงนามในการให้เอไอเอส ทำสัญญาทดลองระบบทางเทคนิค เป็นเวลา 6 เดือน โดยเอไอเอสต้องจ่ายค่าทดลอง เดือนละ 300 ล้านบาท
แต่ล่าสุดเมื่อ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา บอร์ดกลับนัดประชุมวาระพิเศษเพื่อระงับการเซ็นสัญญาข้างต้นไว้ก่อน และให้ส่งเรื่องสอบถามไปยังกฤษฎีกาว่าเข้าข่าย พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมทุนในกิจการของรัฐ หรือไม่
แหล่งข่าวจากสำนักงาน กสทช. กล่าวว่า การลงนามในสัญญาของทีโอทีหรือไม่นั้น จะมีผลต่อประกาศ กสทช.เรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุด การอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ.2556 (มาตรการเยียวยาฯ) คลื่นความถี่ย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.2559 นี้ ซึ่งจะเป็นผลเสียรูปคดี ของทีโอที เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนหากสิ้นสุดมาตรการเยียวยาฯ เอไอเอส จะดำเนินการฟ้องร้องทีโอที หากไม่เซ็นสัญญาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากทีโอทีไม่เซ็นสัญญากับเอไอเอส จะทำให้เกิดปัญหาแก่ทีโอทีด้วยกัน 5 กรณี คือ 1.ลูกค้าที่ค้างอยู่ในระบบเดิมคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ที่อยู่ภายใต้มาตรการเยียวยาฯ เนื่องมาจาก ลูกค้าจำนวน 7-8 ล้านเลขหมาย ในระบบเอไอเอสที่เชื่อมโยง โครงข่าย (โรมมิ่ง) คลื่น 900 กับทีโอที ซึ่งทีโอที ได้ฟ้องร้องเอไอเอส ที่โอนย้ายลูกค้าไม่ได้รับความสมัครใจ ขณะที่ ลูกค้า 7-8 แสนเลขหมาย เอไอเอสยังจัดพิมพ์ใบแจ้งหนี้ (บิลลิ่ง) ซึ่งทีโอที ยังไม่ได้มีมาตรการใดๆ ว่าจะออกบิลลิ่งให้แก่ลูกค้าอย่างไร ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้เอไอเอสจะยึดเป็นลูกค้าตัวเอง
กรณีที่ 2.โครงข่ายในระบบ 2จีในย่าน 900 เมกะเฮิรตซ์ที่ไม่รวมเสาโทรคมนาคม อาคาร และที่ดิน ซึ่งสัญญาการเช่าใช้โครงข่ายยัง ไม่ชัดเจน เมื่อหมดสัญญาภาระเหล่านี้ก็จะไม่ชำระให้ทีโอที แต่ยังจะดูแลลูกค้ากลุ่มดังกล่าว โดยเอไอเอส จะอ้างเพื่อรักษาฐานลูกค้า
กรณีที่ 3. เสาโทรคมนาคม อาคารที่ดิน ยังไม่มี ความชัดเจน เรื่องสิทธิในการใช้ หลังจากสิ้นสุดมาตรการเยียวยาฯ โดยค่าใช้จ่าย ค่าเช่าที่ดิน โดยทั้งหมดเอไอเอสยังสำรองล่วงหน้าและใช้สิทธิฟ้องร้องเพื่อเรียกคืนค่าใช้จ่ายดังกล่าว
กรณีที่ 4. คลื่นความถี่ย่าน 2.1 กิกะเฮิรตซ์ของทีโอที ที่มีความสามารถรองรับการใช้งานเหลืออีกราว 20% โดยโครงข่าย 2.1 กิกะเฮิรตซ์ที่มีจำนวนลูกค้า 6 ล้านเลขหมาย และโครงข่ายจำนวน 16,000 สถานี โดยทีโอทีตกลงจะทำสัญญากับเอไอเอส รูปแบบเดียวกับบีเอฟเคที กรณีสุดท้าย คือ กรณี 2 - 4 เมื่อไม่ทำสัญญา ทีโอทีเนื่องจากไม่มีกระแสเงินสด ก็จะทำให้ทีโอที ขาดกระแสเงินสดและทีโอทีจะยิ่งตกอยู่สภาวะขาดทุน
เนื่องจากรายได้จากสัมปทานเริ่ม ลดลง โดยหากทีโอทีและเอไอเอสทำสัญญาระหว่างกัน แต่ละปีทีโอทีจะมีรายได้มาจาก 1.รายได้จากค่าเช่าโครงข่าย 900 เมกะเฮิรตซ์ราว 2,000 ล้านบาทต่อปี 2.รายได้จากเสาโทรคมนาคม อาคารที่ดิน 3,500 ล้านบาท 3.รายได้จากค่าเช่าโครงข่าย 2.1 กิกะเฮิรตซ์ 15,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ทีโอทีมีรายได้ต่อปี กว่า 20,000 ล้านบาท
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559 (หน้า 3)