...จากประชาพิจารณ์ในอังกฤษถึงเมืองไทย /ประชาธิปไตยจริงล่ะหรือ?....by วัชรานนท์

ข่าววันนี้ สส. หญิงถูกยิงและแทงที่อังกฤษพร้อมกับการตะโกนของฆาตกรว่า “อังกฤษต้องมาก่อน” อาจจะมีนัยยะทางการเมืองที่เกี่ยวโยงถึงการลงประชามติ  ขณะนี้หน่วยสก็อตแลนด์ยาร์ดกับสอบสวนอยู่


แน่นอนว่าการจะอยู่หรือไปของอังกฤษในสหภาพยุโรป  อาจจะส่งผลกระทบหลายด้านและอาจส่งแรงกระเพื่อมในระดับglobal ได้ระดับหนึ่งไม่ว่าจะด้านเศรษกิจ  การเมืองระหว่างประเทศ(ในยุโรป) สิทธิมนุษยชน     ส่วนอังกฤษจุดศูนย์กลางของแรงกระเพื่อมก็ย่อมเปลี่ยนแปลงในระดับสูง   แม้ในขณะนี้การสำรวจโพลระกว่างจะอยู่หรือจะไปยังก้ำๆ กึ่งๆ ห่างกันแค่เส้นยาแดง    


ที่อยากจะรายงานต่อไปนี้ไม่เกี่ยวกับรายละเอียด   แต่อยากจะพูดถึงพฤติกรรมโดยส่วนรวมของคนอังกฤษและรัฐบาลอังกฤษต่อการประชาพิจารณ์ในฐานะที่ผมเองก็มีสิทธิ์หนึ่งเสียงในการโหวต leave or remainด้วย  ทั้งนี้เืพื่อที่เพื่อนๆ พี่ๆ ในนี้จะได้เกิดข้อเปรียบเทียบกับการทำประชาพิจารณ์ที่จะเกิดขึ้นในเมืองไทยในเร็วๆ นี้  โดยหลักๆ พฤติกรรมของคนอังกฤษไม่ว่าจะต่อต้านหรือสนับสนุนนั้น  รัฐบาลเขาถือว่าเป็นสิทธิ์ที่ไม่อาจจะก้าวก่ายได้เลย   ใครมีไอเดียอะไรและอยากจะพูดอะไร......เวทีเปิดกว้าง   ข้างๆ บ้านผมยังปักธงว่า Vote to Leave  ส่วนบ้านถัดไปก็ปักธง Vote to Remain   ผมยังไม่เห็นพี่ตะหานคนไหนมาด้อมๆ มองๆ แถวๆ บ้านผมเลย (ฮา)    


ในแง่ประวัติศาสตร์...ชาวอังกฤษและรัฐบาลอังกฤษผ่านหนาวผ่านร้อนต่อเหตุการณ์ทางประชาธิปไตยมาอย่างยาวนานไม่ว่าจะเรื่อง ประท้วง  ชุมนุม  บอยคอต  เผาอาคาร  ลอบสังหาร  สั่งฆ่า ฯลฯ   แม้จะไม่สามารถเรียกได้ว่า “ตกผลึก” ในเรื่องเหล่านี้   แต่ก็สามารถกล่าวได้ว่า   คุณภาพและสามัญสำนึกโดยทั่วไปคนอังกฤษต่อการออกไปใช้สิทธิ์ในการโหวตนั้นอยู่ในระดับสูงถึงสูงมากๆ   สังเกตุได้ว่า  การติดป้ายคัตเอ้าท์ใหญ่ๆ ตามมุมถนน  ติดรูปผู้สมัคร  การรณรงค์ต่างๆ การพิมพ์แผ่นโฆษณาชนิดเกลื่อนถนน  หรือแม้แต่การร้องเพลงรณรงค์นั้นมีน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย    รัฐบาลอังกฤษ(กกต.) หรือพรรคการเมืองต่างๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องการโฆษณา รณรงค์    ส่วนตัวแล้ว  ผมคิดว่าจิตสำนึกประชาธิปไตยเขาเลยระดับที่จะถูกเกลี้ยกล่อม ซื้อเสียง ชักจูงได้     ดังนั้นเมื่อถึงฤดูการการเลือกตั้ง “คืนหมาหอน” จึงไม่เกิดขึ้นในอังกฤษ


กระนั้น   ชาวอังกฤษก็ไม่ได้ชะล่าในเรื่องการใช้สิทธิ์  สถานการศึกษาต่างๆ จะจัดกิจกรรมจำลองรูปแบบการเลือกตั้ง  การทำประชาพิจารณ์  และเชื้อเชิญผู้แทนฯ ในเขตนั้นๆ มาสังเกตุการณ์และบรรยายตบท้ายด้วย   ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็เป็นงบประมาณของสถานศึกษาหรือแผนกด้านการกิจกรรมทางการเมืองนั้นๆ....ตรงนี้กกต. ที่เมืองไทยควรที่นำไปศึกษา(แต่ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นบินไปดูงานก็ได้)


การมีจิตสำนึกและตระหนักถึงความสำคัญต่อประชาธิปไตยของคนอังกฤษนั้น   ผมไม่เชื่อว่าจู่ๆ จะเกิดขึ้นมาเองเลย   หากแต่เกิดจากการเพาะบ่มจากสถาบันทั้งครอบครัว  โรงเรียน ชุมชน  และที่สำคัญคือรัฐบาลและฝ่ายค้านด้วย   และเหนือสิ่งอื่นใด...การเชื่อและปลูกฝังว่าทุกคนมีหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงอย่างเท่าเทียมกันคือบันไดขั้นแรกเลย   การเชื่อเช่นนี้จะสัมฤทธิ์ผลได้ก็ต่อเมื่อมี “ผู้ใหญ่” ทำเป็นตัวอย่างและสนับสนุนความเชื่อตรงนั้น     “ผู้ใหญ่” ที่ว่านี้หมายถึงผู้ใหญ่ทั่วๆ ไปทั้งในเรื่องวัยวุฒิ และคุณวุฒิ  พ่อแม่  คราบาอาจารย์  นักบวช  สส. และรัฐบาล    ในอังกฤษผมไม่เคยได้ยินคำว่า หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงของคนกรุงกับคนชนบทนั้นมีคุณภาพไม่เหมือนกันเลย    ตัวผมเองเป็นคนต่างชาติที่มีสิทธิ์โหวตได้ยังไม่เคยถูกถามในทำนองเหยียดด้วยซ้ำ     ก็ในเมื่อรัฐบาลอังกฤษ(ที่คนส่วนใหญ่เลือกเข้ามา)ให้ “สิทธิ์” นั้นกับผม   แล้วถ้าคนอังกฤษจะมาเหยียดผมว่าเป็นชาวต่างชาติแต่มาโหวตได้ไง?  ก็เท่ากับว่าเขาเหยียดตัวเขาเองด้วย   นี่คือมุมมองส่วนใหญ่ของชาวอังกฤษต่อการเคารพสิทธิ์ของคนอื่นและของตัวเอง


สำหรับเมืองไทยที่ผ่านการเลือกตั้งประชาพิจารณ์(ระดับท้องถิ่น  ภูมิภาค และระดับประเทศ) มาไม่น้อย  คือเราเลือกที่จะเดินเส้นทาง(ประชาธิปไตย)แห่งนี้กันมาระยะหนึ่งแล้ว จู่ๆ ก็มีคนกู่ตะโกนบนเส้นทางว่า  “คุณภาพเสียงของคนชนบทไม่เท่ากับเสียงคนในกรุงฯ” จากนั้นก็มีกลุ่มคนสนับสนุนคำพูดนั้นให้กังวานขึ้นเรื่อยๆ.....อนิจจา...นี่เรากำลังหลอกตัวเองหรือว่าเราถูกหลอกมาตลอดว่าประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย?   แม้บันไดขั้นแรกของประชาธิปไตย “หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง” เท่าเทียมกันเรายังข้ามไม่พ้น??
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่