บทที่ 21
http://ppantip.com/topic/35178456
บทที่ 22 ความทรงจำที่เหมือนสายลม
สายฟ้าลำมหึมาฟาดเปรี้ยงลงมายังผืนดิน ใกล้โกดังร้างที่พวกของคาวาเบะใช้เป็นที่ซ่อนตัว แสงของมันสว่างเจิดจ้ามากกว่าทุกครั้งตามด้วยเสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงตะโกนอันเกิดจากแรงโทสะของผู้ที่กำลังตกอยู่ในความพิโรธ
คาวาเบะ มุซาชิ ไม่ได้สำเหนียกถึงสิ่งปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเลยสักนิด เพราะความนึกคิดทั้งหมดถูกตัณหาดึงให้จมดิ่งลงไปในห้วงแห่งกามารมณ์ มือสองข้างบดขยี้เรือนร่างที่พยายามดิ้นรนขัดขืนอย่างเมามัน หูทั้งสองอื้ออึงไปด้วยเสียงกระซิบที่พร่ำบอกให้ลิ้มรสความบริสุทธิ์ของเหยื่อที่เพิ่งจับมาได้โดยเร็ว จึงไม่รู้ว่าบัดนี้ภายในห้อง สมุนของเขากำลังยืนตกตะลึงกับการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของชายร่างสูงใหญ่สองคน สิ่งที่สร้างความตระหนกให้กับพวกมันไม่ใช่แค่การมาเพียงอย่างเดียว หากเป็นรูปลักษณ์อันน่ากลัว เพราะดูยังไงทั้งสองก็ไม่เหมือนมนุษย์
“ล ลูกพี่” หนึ่งในนั้นเรียกคาวาเบะที่กำลังก้มหน้าก้มตา ‘กิน’ ฟุบุกิโดยไม่สนสิ่งใด อีกฝ่ายจึงขานรับอย่างเสียไม่ได้ด้วยการส่งเสียงสั้นๆในลำคอ เมื่อเห็นหัวหน้าไม่สนใจลูกน้องคนเดิมจึงเรียกอีกครั้ง ดังกว่าเดิม “ลูกพี่ !”
คราวนี้คาวาเบะกระแทกลมหายใจออกมาด้วยความรำคาญก่อนจะกระชากเสียงถามเพราะเริ่มหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ
“อะไร !”
เขาเงี่ยหูฟังคำอธิบายแต่ต้องมุ่นคิ้วไม่ได้ไม่รับคำตอบ ความหงุดหงิดจึงกลายเป็นความโมโห เจ้าตัวร้ายหันไปมองลูกน้องพร้อมกับตะคอกถามอย่างโกรธจัด
“ฉันถามว่_” คำพูดหยุดค้างดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นอาคันตุกะตัวสูงใหญ่สองคนซึ่งกำลังยืนตระหง่านอยู่กลางห้อง ลำพังรูปร่างยังไม่สร้างความตระหนกเท่าไหร่ ลักษณะอันน่ากลัวของทั้งคู่ต่างหากที่ทำให้คาวาเบะรีบผละจากฟุรุคาวะและรีบสวมกางเกงอย่างลุกลน
“พวกแกเป็นใคร !” เขาพยายามบังคับเสียงไมให้สั่นขณะถามพลางจ้องผู้มาเยือนทั้งสองอย่างกึ่งกล้ากึ่งกลัว ตาเรียวเล็กกวาดสำรวจลวกๆและบดกรามอย่างกังวล คนหนึ่งผิวคล้ำร่างกายกำยำล่ำสันราวกับยักษ์ สวมชุดโบราณเปลือยท่อนบน ผมสีดำยาวเหยียดลงมาปรกแผ่นหลัง ดวงตาสีแดงก่ำและมีหูขนาดใหญ่คล้ายสุนัขบนศีรษะ ส่วนอีกคนที่แม้จะตัวเล็กกว่าแต่ก็ยังสูงกว่าพวกเขาทุกคนในห้อง สวมชุดโบราณที่ดูภูมิฐานราวกับเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์ ผิวกายขาวจัดเส้นผมสีเงินยาวจรดบั้นเอวและมีหูสุนัขแบบเดียวกันแต่เป็นสีขาว สิ่งที่ทำให้คาวาเบะต้องฉงนคือคนผู้นี้มีใบหน้าคล้ายกับซาคาโมโตะ เคียวยะหากน่ากลัวกว่ามาก โดยเฉพาะดวงตาสีอำพันที่กำลังคุกรุ่นราวกับเปลวเพลิงจ้องเขม็งตรงมาอย่างโกรธแค้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
สายตาคู่นั้นทำให้คาวาเบะจำต้องละจากเด็กหนุ่ม ลงจากเตียงปราดไปยืนรวมกับสมุนแต่ก็ยังทำเป็นใจกล้า
“ฉันถามว่า” เขากลืนน้ำลายลงคอเพื่อกดความกลัวก่อนหลุดปากถามต่อ “พวกแกเป็นใคร”
“มัจจุราช” คนตัวใหญ่ผมดำตอบเสียงต่ำ ตาสีแดงเพลิงไล่มองสมุนของคาวาเบะไปทีละคน นิ้วที่มีเล็บแหลมคมกริบกระดิกราวกับเชื้อเชิญ “ใครจะเป็นคนแรก”
พวกอันธพาลมองหน้ากันก่อนพร้อมใจถอยหลังกรูด ท่าทางหวาดกลัวทั้งที่จำนวนคนเยอะกว่าสร้างความไม่พอใจให้กับคาวาเบะจนเขาต้องตวาดเสียงดัง
“มันมากันแค่สองคนเท่านั้น พวกแกจะกลัวไปทำไม !”
“แต่มันไม่ใช่คนนะลูกพี่” คนหนึ่งเถียงเสียงอ่อยและหดกลัวหุบปากนิ่งทันทีเมื่อหัวโจกร้ายหันไปถลึงตาจ้อง
“ไอ้โง่ !” เขาร้องด่าก่อนเบนกลับไปบุรุษลึกลับแล้วแบะปากอย่างดูถูก “พวกมันก็แค่แต่งตัวให้ดูน่ากลัวเท่านั้น จริงๆแล้วไม่มีอะไรหรอก”
จอมวายร้ายจ้องชายทั้งสองด้วยดวงตาอำมหิตก่อนออกคำสั่ง “ฆ่าพวกมันให้หมด !”
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะขยับตัว ทาคุซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วก็โถมเข้าใส่ คว้าคนแรกที่พุ่งเข้ามาเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงก่อนฉวยอีกคนขึ้นมาหักแขนทั้งสองข้างแล้วโยนทิ้งและตรงรี่ไปหาคนต่อไปอย่างดุร้าย ทุกครั้งที่จับใครคนหนึ่งได้จะมีเสียงกรอบของกระดูกที่ถูกบดหรือหักจนแตกดังขึ้นตามด้วยเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจนระงมทั้งห้อง บางคนคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตาแต่สารถีหนุ่มไม่สน เขายังคงลงมือกับคนเหล่านั้นอย่างไร้ความปรานีเพื่อให้สมกับความเลวของพวกมัน
การลงมืออย่างดุดันของสารถีหนุ่มสร้างความประหวั่นต่อคาวาเบะเป็นอย่างยิ่ง เขาจ้องคนผมดำซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาด้วยความหวาดกลัวแต่ยังน้อยกว่าคนที่มีผมสีเงินซึ่งยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับ หากดวงตานั้นยังคงจ้องเข็งมาที่เขาตลอดเวลา นั่นเองที่ทำให้หัวโจกตัวร้ายสำนึกได้ว่าตนเองคือเป้าหมายหลักและหากคนผู้นั้นลงมือ คงไม่ใช่แค่การหักแขนหักขาเพียงอย่างเดียว คาวาเบะถอยหลังพลางมองหาทางหนีแต่ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเสียบทุ้มต่ำทรงอำนาจเอ่ยขึ้น
“แกหนีไม่พ้นหรอก”
ประโยคนั้นทำให้คาวาเบะได้คิด การปรากฏตัวอย่างไมมีปี่มีขลุ่ยของชายแปลกหน้าทั้งสองคนเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีออกจากห้องนี้ไปได้ง่ายๆ ครั้นจะให้คุกเข่ายอมแพ้หรือก้มหัวอ้อนวอนขอความเมตตา คนอย่างคาวาเบะ มุซาชิไม่มีวันทำอย่างนั้นอย่างเด็ดขาด เมื่อไม่อาจหนีเขาก็จำต้องหันหน้าเข้าสู้แต่ดูจากฝีมือแล้วคงไม่มีทางชนะได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องหาทางที่ทำให้ตนเองได้เปรียบ แต่จะด้วยวิธีไหนล่ะ ?
ระหว่างคิดตาเหลือบไปเห็นฟุรุคาวะที่ยังคงถูกมัดอยู่บนเตียง สมองไล่เรียงแผนการอย่างฉับไว จอมโฉดปราดไปหาเด็กหนุ่มพร้อมกับใช้มีดจ่อไว้ตรงคอ
“ขืนเข้ามาอีกก้าว เด็กเวรนี้คอขาดแน่” คาวาเบะร้องขู่และแสยะยิ้มอย่างลำพองเมื่อคนทั้งสองหยุดการเคลื่อนไหวทันที เสียงคำรามด้วยความโกรธจัดดังมาจากทาคุ แต่คนผมสีเงินยังคงยืนนิ่ง มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่กำลังฉายแสงแสดงอารมณ์ของเขาออกมา
เปลวไฟสีอำพันเปล่งแสงลุกโพลงและกำลังเต้นระริกด้วยความโกรธที่พุ่งถึงขีดสุด ใจอยากจะปราดเข้าไปฉีกคนโฉดให้เป็นร้อยชิ้นแต่หากทำเช่นนั้นคนรักที่ตกเป็นตัวประกันจะพลอยได้รับอันตราย เพื่อความปลอดภัยของฟุรุคาวะเขาจึงจำต้องหยุดนิ่งเพื่อรอจังหวะ อาการนิ่งเฉยของบุรุษผมสีเงินทำให้คาวาเบะนึกกระหยิ่มเพราะคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า ดังนั้นเขาควรดำเนินแผนการขั้นต่อไปเพื่อหนีไปจากที่นี่ คิดแล้วหัวโจกตัวร้ายก็เริ่มลงมือตัดเชือกที่พันธนาการแขนขาของฟุรุคาวะ เมื่อเป็นอิสระเด็กหนุ่มก็เริ่มดิ้นซึ่งดูเหมือนคาวาเบะเองก็คาดการณ์เอาแล้วว่าต้องเป็นแบบนั้น เพียงแค่ขยับเขาก็กดคมมีดแรงขึ้นพร้อมกับขู่
“ขืนขยับคอของแกได้มีรูเพิ่มขึ้นแน่”
เด็กหนุ่มยอมหยุดนิ่งโดยดีแต่ไม่สนใจคำขู่นั่นเลยสักนิด ดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดถึงจับจ้องอยู่ที่ชายผมเงิน เมื่อสบกับนัยน์ตาสีอำพัน เขาก็ส่งยิ้มน้อยๆให้พร้อมกับเอ่ยเรียกด้วยเสียงที่ทำให้คนได้ยินต้องใจเต้น
“ไรโชมารุ”
มือข้างหนึ่งยื่นไปข้างหน้าหมายสัมผัสกับคนที่เฝ้ารอมานานแสนนาน แต่การกระทำแบบนั้นทำให้คาวาเบะเข้าใจผิดคิดว่าตัวประกันขัดขืน หัวโจกตัวร้ายขยับมีดเพื่อเชือดลำคอของเด็กหนุ่ม พอเห็นเลือดสดๆพุ่งกระฉูดออกมาเขาก็แสยะยิ้มด้วยความสะใจ เพียงชั่วพริบตารอยยิ้มนั้นก็บิดเบี้ยวแหยเกเมื่อความเจ็บปวดอย่างสุดขั้วแทรกเข้ามาทุกรูขุมขน คาวาเบะมองมือข้างที่ถือมีดและเบิกตาอ้าปากค้าง เพราะสิ่งที่ถูกบั่นไม่ใช่คอของฟุรุคาวะหากเป็นข้อมือของเขาเอง
“พอแค่นี้แหละ” เสียงทุ้มดังข้างตัว พอหันไปมองคาวาเบะต้องใจหายวาบเมื่อเห็นชายผมเงินกำลังยืนจ้องเขาโดยที่มือข้างหนึ่งยังคงมีเลือดติดอยู่บนปลายเล็บ ส่วนมืออีกข้างดึงฟุรุคาวะเข้าไปกอดไว้แนบอก พอทาคุเดินเข้ามาสมทบเขาก็ส่งเด็กหนุ่มให้พร้อมกับพูด “ดูแลเขาด้วย”
สารถีหนุ่มเข้าใจความหมายนั้นดี เขารีบใช้ตัวบังฟุรุคาวะเอาไว้เพื่อไม่ให้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อส่งเด็กหนุ่มให้ทาคุแล้วซาคาโมโตะก็หันกลับไปที่คาวาเบะ และใช้กรงเล็บที่แหลมคมตวัดผ่านหัวไหล่เพื่อตักแขนทั้งสองข้างของเจ้าคนชั่ว ความเจ็บปวดที่ไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิตทำให้มันร้องลั่นเข่าอ่อนยวบแต่ยังไม่ทันทรุดตัวลงปิศาจจิ้งจอกก็ตะครุบหมับเข้าที่ลำคอ ลากไปกระแทกกับกำแพง
“นี่เป็นผลที่แกบังอาจตบหน้าฟุบุกิ” ดวงตาทอประกายกร้าวขณะที่มือวาดผ่านหว่างขาของคาวาเบะ “และนี่คือโทษในสิ่งที่แกคิดจะทำกับเขา”
เลือดสีแดงสดไหลรินจากบาดแผลลงไปตามขานองเต็มพื้น ความเจ็บปวดในครั้งนี้มันมากเสียจนคาวาเบะร้องไม่ออก ซาคาโมโตะมองใบหน้าอุบาทว์ที่บิดเบี้ยวจนดูอัปลักษณ์แต่ยังน้อยกว่าหากเทียบกับเงาเลือนของบางสิ่งที่กำลังลอยอยู่เหนือหัวคนโฉด
หน้ากาก
ชายหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าการที่คาวาเบะเบนเบนเป้าหมายเปลี่ยนจากการทำร้ายฟุรุคาวะมาเป็นการพยายามขืนใจก็เนื่องมาจากหน้ากากของคาราสุเฮบิ แต่ความชั่วร้ายที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเสริมให้คนผู้นี้เลวบัดซบมากขึ้น เขาจึงไม่มีความคิดที่จะช่วยหรือให้อภัย
“ความจริงฉันไม่อยากยุ่งกับมนุษย์ แต่คนอย่างแก” เขากดเล็บให้จมลึกลงไปในคอ แหวกเนื้อสดๆออกเป็นช่อง นิ้วควานลึกเข้าไปข้างใน “สมควรตายอย่างทรมาน”
หลอดลมถูกกระชากอย่างแรงจนฉีกออกจากกัน ซาคาโมโตะดึงส่วนหนึ่งให้โผล่ออกมาจากลำคอของคาวาเบะก่อนปล่อยร่างที่กำลังสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวดร่วงลงไปกองกับพื้น เจ้าคนโฉดนอนชักดิ้นชักคออย่างน่าอนาถ พลันหน้ากากแห่งความริษยาก็ปรากฏขึ้น ซาคาโมโตะจ้องมันด้วยดวงตาเยียบเย็นก่อนพูด
“ข้าจะขยี้โอโรจิให้พินาศ หากเจ้ายังไม่เลิกยุ่งกับฟุบุกิ”
ดวงตาของหน้ากากจ้องชายหนุ่มเขม็ง ปากสีแดงน่าเกลียดแสยะยิ้มกว้างก่อนที่มันจะสลายเป็นผงและถูกสายลมเป่าหายไป นั่นทำให้ซาคาโมโตะรู้ว่าคาราสุเฮบิปฏิเสธและไม่สนคำเตือน เขาจึงลดตาลง มองสภาพอันน่าทุเรศของคาวาเบะแวบหนึ่งก่อนหมุนตัวเดินไปหาทาคุ ยังไม่ทันถึงตัวฟุรุคาวะซึ่งทาคุยืนรออยู่แล้วก็โผเข้ากอดทันที ซาคาโมโตะจึงรีบปลดเสื้อตัวนอกคลุมร่างเปลือยเปล่าเพื่อให้คลายความตระหนกในขณะเดียวกันก็เพื่อลดอาการตื่นเต้นของตัวเอง
“ไรโชมารุ” ฟุรุคาวะพูดและเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขรึมดุแต่สง่างามของชายหนุ่ม “ในที่สุดฉันก็นึกชื่อนายออก”
สองแขนโอบกอดอีกฝ่ายแน่นพลางซบหน้ากับแผ่นอกกว้าง ซาคาโมโตะกอดตอบและก้มลงจุมพิตเรือนผมนุ่มอย่างโหยหา ทั้งที่ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจว่าคำพูดที่ได้ยินเป็นของใคร ฟูจินหรือฟุรุคาวะ แต่จะสนไปทำไมในเมื่อทั้งสองคือคนเดียวกัน
“เจ้ากลับมาแล้ว” เขากระซิบบอกพร้อมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น บรรยากาศคงหวานซึ้งมากกว่านี้หากทาคุซึ่งทนรำคาญเสียงร้องโอดโอยของคนโฉดกลับสะอิดสะเอียนกลิ่นเหม็นของเลือดไม่ไหวไม่เอ่ยปากพูด
“กลับไปกอดกันต่อที่บ้านเถอะ”
ลมเย็นพัดกระโชกผ่านตัวไปวูบหนึ่ง พอผละจากอกของชายหนุ่ม ฟุรุคาวะจึงพบตัวเวลานี้เขากำลังยืนอยู่ในห้อง ภายในอพาร์ทเม้นท์ของตัวเอง เด็กหนุ่มมองซาคาโมโตะซึ่งตอนนี้อยู่ในร่างของมนุษย์แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรจู่ๆขาทั้งสองข้างก็หมดแรงจนทรงกายเอาไว้ไม่ไหว ร่างผอมบางทรุดลงโชคดีที่ซาคาโมโตะประคองเอาไว้ทัน เขาจึงอุ้มร่างเปลือยเปล่านั้นกลับไปนอนที่เตียง พอดึงผ้าขึ้นมาคลุมเด็กหนุ่มก็รีบพูดอย่างอายๆ
“ขอโทษ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายพูดคำนั้น” เขาพูดพลางแตะใบหน้าบวมช้ำของฟุรุคาวะ หัวใจเจ็บแปลบด้วยความสำนึกผิด เพราะความพลั้งเผลอเพียงแค่ไม่กี่วินาทีทำให้คนที่เขารักมากที่สุดถูกจับและโดนทำร้าย ยิ่งคิดได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นถ้าเขากับทาคุไปช้ากว่านี้ ความแค้นก็ถาโถมเข้ามาในร่าง หากเป็นไปได้เขาอยากย้อนกลับไปที่โกดังร้างนั่นอีกครั้ง จับคาวาเบะถลกหนัง เชือดเนื้อออกเป็นริ้วๆให้เจ้าคนชั่วได้รับความทรมานจนกว่ามันจะตาย
“ขอโทษนะ”
สายใยรักจิ้งจอกพันปี(yaoi) บทที่ 22 ความทรงจำที่เหมือนสายลม
บทที่ 22 ความทรงจำที่เหมือนสายลม
สายฟ้าลำมหึมาฟาดเปรี้ยงลงมายังผืนดิน ใกล้โกดังร้างที่พวกของคาวาเบะใช้เป็นที่ซ่อนตัว แสงของมันสว่างเจิดจ้ามากกว่าทุกครั้งตามด้วยเสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงตะโกนอันเกิดจากแรงโทสะของผู้ที่กำลังตกอยู่ในความพิโรธ
คาวาเบะ มุซาชิ ไม่ได้สำเหนียกถึงสิ่งปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเลยสักนิด เพราะความนึกคิดทั้งหมดถูกตัณหาดึงให้จมดิ่งลงไปในห้วงแห่งกามารมณ์ มือสองข้างบดขยี้เรือนร่างที่พยายามดิ้นรนขัดขืนอย่างเมามัน หูทั้งสองอื้ออึงไปด้วยเสียงกระซิบที่พร่ำบอกให้ลิ้มรสความบริสุทธิ์ของเหยื่อที่เพิ่งจับมาได้โดยเร็ว จึงไม่รู้ว่าบัดนี้ภายในห้อง สมุนของเขากำลังยืนตกตะลึงกับการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของชายร่างสูงใหญ่สองคน สิ่งที่สร้างความตระหนกให้กับพวกมันไม่ใช่แค่การมาเพียงอย่างเดียว หากเป็นรูปลักษณ์อันน่ากลัว เพราะดูยังไงทั้งสองก็ไม่เหมือนมนุษย์
“ล ลูกพี่” หนึ่งในนั้นเรียกคาวาเบะที่กำลังก้มหน้าก้มตา ‘กิน’ ฟุบุกิโดยไม่สนสิ่งใด อีกฝ่ายจึงขานรับอย่างเสียไม่ได้ด้วยการส่งเสียงสั้นๆในลำคอ เมื่อเห็นหัวหน้าไม่สนใจลูกน้องคนเดิมจึงเรียกอีกครั้ง ดังกว่าเดิม “ลูกพี่ !”
คราวนี้คาวาเบะกระแทกลมหายใจออกมาด้วยความรำคาญก่อนจะกระชากเสียงถามเพราะเริ่มหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ
“อะไร !”
เขาเงี่ยหูฟังคำอธิบายแต่ต้องมุ่นคิ้วไม่ได้ไม่รับคำตอบ ความหงุดหงิดจึงกลายเป็นความโมโห เจ้าตัวร้ายหันไปมองลูกน้องพร้อมกับตะคอกถามอย่างโกรธจัด
“ฉันถามว่_” คำพูดหยุดค้างดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นอาคันตุกะตัวสูงใหญ่สองคนซึ่งกำลังยืนตระหง่านอยู่กลางห้อง ลำพังรูปร่างยังไม่สร้างความตระหนกเท่าไหร่ ลักษณะอันน่ากลัวของทั้งคู่ต่างหากที่ทำให้คาวาเบะรีบผละจากฟุรุคาวะและรีบสวมกางเกงอย่างลุกลน
“พวกแกเป็นใคร !” เขาพยายามบังคับเสียงไมให้สั่นขณะถามพลางจ้องผู้มาเยือนทั้งสองอย่างกึ่งกล้ากึ่งกลัว ตาเรียวเล็กกวาดสำรวจลวกๆและบดกรามอย่างกังวล คนหนึ่งผิวคล้ำร่างกายกำยำล่ำสันราวกับยักษ์ สวมชุดโบราณเปลือยท่อนบน ผมสีดำยาวเหยียดลงมาปรกแผ่นหลัง ดวงตาสีแดงก่ำและมีหูขนาดใหญ่คล้ายสุนัขบนศีรษะ ส่วนอีกคนที่แม้จะตัวเล็กกว่าแต่ก็ยังสูงกว่าพวกเขาทุกคนในห้อง สวมชุดโบราณที่ดูภูมิฐานราวกับเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์ ผิวกายขาวจัดเส้นผมสีเงินยาวจรดบั้นเอวและมีหูสุนัขแบบเดียวกันแต่เป็นสีขาว สิ่งที่ทำให้คาวาเบะต้องฉงนคือคนผู้นี้มีใบหน้าคล้ายกับซาคาโมโตะ เคียวยะหากน่ากลัวกว่ามาก โดยเฉพาะดวงตาสีอำพันที่กำลังคุกรุ่นราวกับเปลวเพลิงจ้องเขม็งตรงมาอย่างโกรธแค้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
สายตาคู่นั้นทำให้คาวาเบะจำต้องละจากเด็กหนุ่ม ลงจากเตียงปราดไปยืนรวมกับสมุนแต่ก็ยังทำเป็นใจกล้า
“ฉันถามว่า” เขากลืนน้ำลายลงคอเพื่อกดความกลัวก่อนหลุดปากถามต่อ “พวกแกเป็นใคร”
“มัจจุราช” คนตัวใหญ่ผมดำตอบเสียงต่ำ ตาสีแดงเพลิงไล่มองสมุนของคาวาเบะไปทีละคน นิ้วที่มีเล็บแหลมคมกริบกระดิกราวกับเชื้อเชิญ “ใครจะเป็นคนแรก”
พวกอันธพาลมองหน้ากันก่อนพร้อมใจถอยหลังกรูด ท่าทางหวาดกลัวทั้งที่จำนวนคนเยอะกว่าสร้างความไม่พอใจให้กับคาวาเบะจนเขาต้องตวาดเสียงดัง
“มันมากันแค่สองคนเท่านั้น พวกแกจะกลัวไปทำไม !”
“แต่มันไม่ใช่คนนะลูกพี่” คนหนึ่งเถียงเสียงอ่อยและหดกลัวหุบปากนิ่งทันทีเมื่อหัวโจกร้ายหันไปถลึงตาจ้อง
“ไอ้โง่ !” เขาร้องด่าก่อนเบนกลับไปบุรุษลึกลับแล้วแบะปากอย่างดูถูก “พวกมันก็แค่แต่งตัวให้ดูน่ากลัวเท่านั้น จริงๆแล้วไม่มีอะไรหรอก”
จอมวายร้ายจ้องชายทั้งสองด้วยดวงตาอำมหิตก่อนออกคำสั่ง “ฆ่าพวกมันให้หมด !”
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะขยับตัว ทาคุซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วก็โถมเข้าใส่ คว้าคนแรกที่พุ่งเข้ามาเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงก่อนฉวยอีกคนขึ้นมาหักแขนทั้งสองข้างแล้วโยนทิ้งและตรงรี่ไปหาคนต่อไปอย่างดุร้าย ทุกครั้งที่จับใครคนหนึ่งได้จะมีเสียงกรอบของกระดูกที่ถูกบดหรือหักจนแตกดังขึ้นตามด้วยเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจนระงมทั้งห้อง บางคนคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตาแต่สารถีหนุ่มไม่สน เขายังคงลงมือกับคนเหล่านั้นอย่างไร้ความปรานีเพื่อให้สมกับความเลวของพวกมัน
การลงมืออย่างดุดันของสารถีหนุ่มสร้างความประหวั่นต่อคาวาเบะเป็นอย่างยิ่ง เขาจ้องคนผมดำซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาด้วยความหวาดกลัวแต่ยังน้อยกว่าคนที่มีผมสีเงินซึ่งยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับ หากดวงตานั้นยังคงจ้องเข็งมาที่เขาตลอดเวลา นั่นเองที่ทำให้หัวโจกตัวร้ายสำนึกได้ว่าตนเองคือเป้าหมายหลักและหากคนผู้นั้นลงมือ คงไม่ใช่แค่การหักแขนหักขาเพียงอย่างเดียว คาวาเบะถอยหลังพลางมองหาทางหนีแต่ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเสียบทุ้มต่ำทรงอำนาจเอ่ยขึ้น
“แกหนีไม่พ้นหรอก”
ประโยคนั้นทำให้คาวาเบะได้คิด การปรากฏตัวอย่างไมมีปี่มีขลุ่ยของชายแปลกหน้าทั้งสองคนเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีออกจากห้องนี้ไปได้ง่ายๆ ครั้นจะให้คุกเข่ายอมแพ้หรือก้มหัวอ้อนวอนขอความเมตตา คนอย่างคาวาเบะ มุซาชิไม่มีวันทำอย่างนั้นอย่างเด็ดขาด เมื่อไม่อาจหนีเขาก็จำต้องหันหน้าเข้าสู้แต่ดูจากฝีมือแล้วคงไม่มีทางชนะได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องหาทางที่ทำให้ตนเองได้เปรียบ แต่จะด้วยวิธีไหนล่ะ ?
ระหว่างคิดตาเหลือบไปเห็นฟุรุคาวะที่ยังคงถูกมัดอยู่บนเตียง สมองไล่เรียงแผนการอย่างฉับไว จอมโฉดปราดไปหาเด็กหนุ่มพร้อมกับใช้มีดจ่อไว้ตรงคอ
“ขืนเข้ามาอีกก้าว เด็กเวรนี้คอขาดแน่” คาวาเบะร้องขู่และแสยะยิ้มอย่างลำพองเมื่อคนทั้งสองหยุดการเคลื่อนไหวทันที เสียงคำรามด้วยความโกรธจัดดังมาจากทาคุ แต่คนผมสีเงินยังคงยืนนิ่ง มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่กำลังฉายแสงแสดงอารมณ์ของเขาออกมา
เปลวไฟสีอำพันเปล่งแสงลุกโพลงและกำลังเต้นระริกด้วยความโกรธที่พุ่งถึงขีดสุด ใจอยากจะปราดเข้าไปฉีกคนโฉดให้เป็นร้อยชิ้นแต่หากทำเช่นนั้นคนรักที่ตกเป็นตัวประกันจะพลอยได้รับอันตราย เพื่อความปลอดภัยของฟุรุคาวะเขาจึงจำต้องหยุดนิ่งเพื่อรอจังหวะ อาการนิ่งเฉยของบุรุษผมสีเงินทำให้คาวาเบะนึกกระหยิ่มเพราะคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า ดังนั้นเขาควรดำเนินแผนการขั้นต่อไปเพื่อหนีไปจากที่นี่ คิดแล้วหัวโจกตัวร้ายก็เริ่มลงมือตัดเชือกที่พันธนาการแขนขาของฟุรุคาวะ เมื่อเป็นอิสระเด็กหนุ่มก็เริ่มดิ้นซึ่งดูเหมือนคาวาเบะเองก็คาดการณ์เอาแล้วว่าต้องเป็นแบบนั้น เพียงแค่ขยับเขาก็กดคมมีดแรงขึ้นพร้อมกับขู่
“ขืนขยับคอของแกได้มีรูเพิ่มขึ้นแน่”
เด็กหนุ่มยอมหยุดนิ่งโดยดีแต่ไม่สนใจคำขู่นั่นเลยสักนิด ดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดถึงจับจ้องอยู่ที่ชายผมเงิน เมื่อสบกับนัยน์ตาสีอำพัน เขาก็ส่งยิ้มน้อยๆให้พร้อมกับเอ่ยเรียกด้วยเสียงที่ทำให้คนได้ยินต้องใจเต้น
“ไรโชมารุ”
มือข้างหนึ่งยื่นไปข้างหน้าหมายสัมผัสกับคนที่เฝ้ารอมานานแสนนาน แต่การกระทำแบบนั้นทำให้คาวาเบะเข้าใจผิดคิดว่าตัวประกันขัดขืน หัวโจกตัวร้ายขยับมีดเพื่อเชือดลำคอของเด็กหนุ่ม พอเห็นเลือดสดๆพุ่งกระฉูดออกมาเขาก็แสยะยิ้มด้วยความสะใจ เพียงชั่วพริบตารอยยิ้มนั้นก็บิดเบี้ยวแหยเกเมื่อความเจ็บปวดอย่างสุดขั้วแทรกเข้ามาทุกรูขุมขน คาวาเบะมองมือข้างที่ถือมีดและเบิกตาอ้าปากค้าง เพราะสิ่งที่ถูกบั่นไม่ใช่คอของฟุรุคาวะหากเป็นข้อมือของเขาเอง
“พอแค่นี้แหละ” เสียงทุ้มดังข้างตัว พอหันไปมองคาวาเบะต้องใจหายวาบเมื่อเห็นชายผมเงินกำลังยืนจ้องเขาโดยที่มือข้างหนึ่งยังคงมีเลือดติดอยู่บนปลายเล็บ ส่วนมืออีกข้างดึงฟุรุคาวะเข้าไปกอดไว้แนบอก พอทาคุเดินเข้ามาสมทบเขาก็ส่งเด็กหนุ่มให้พร้อมกับพูด “ดูแลเขาด้วย”
สารถีหนุ่มเข้าใจความหมายนั้นดี เขารีบใช้ตัวบังฟุรุคาวะเอาไว้เพื่อไม่ให้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อส่งเด็กหนุ่มให้ทาคุแล้วซาคาโมโตะก็หันกลับไปที่คาวาเบะ และใช้กรงเล็บที่แหลมคมตวัดผ่านหัวไหล่เพื่อตักแขนทั้งสองข้างของเจ้าคนชั่ว ความเจ็บปวดที่ไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิตทำให้มันร้องลั่นเข่าอ่อนยวบแต่ยังไม่ทันทรุดตัวลงปิศาจจิ้งจอกก็ตะครุบหมับเข้าที่ลำคอ ลากไปกระแทกกับกำแพง
“นี่เป็นผลที่แกบังอาจตบหน้าฟุบุกิ” ดวงตาทอประกายกร้าวขณะที่มือวาดผ่านหว่างขาของคาวาเบะ “และนี่คือโทษในสิ่งที่แกคิดจะทำกับเขา”
เลือดสีแดงสดไหลรินจากบาดแผลลงไปตามขานองเต็มพื้น ความเจ็บปวดในครั้งนี้มันมากเสียจนคาวาเบะร้องไม่ออก ซาคาโมโตะมองใบหน้าอุบาทว์ที่บิดเบี้ยวจนดูอัปลักษณ์แต่ยังน้อยกว่าหากเทียบกับเงาเลือนของบางสิ่งที่กำลังลอยอยู่เหนือหัวคนโฉด
หน้ากาก
ชายหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าการที่คาวาเบะเบนเบนเป้าหมายเปลี่ยนจากการทำร้ายฟุรุคาวะมาเป็นการพยายามขืนใจก็เนื่องมาจากหน้ากากของคาราสุเฮบิ แต่ความชั่วร้ายที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเสริมให้คนผู้นี้เลวบัดซบมากขึ้น เขาจึงไม่มีความคิดที่จะช่วยหรือให้อภัย
“ความจริงฉันไม่อยากยุ่งกับมนุษย์ แต่คนอย่างแก” เขากดเล็บให้จมลึกลงไปในคอ แหวกเนื้อสดๆออกเป็นช่อง นิ้วควานลึกเข้าไปข้างใน “สมควรตายอย่างทรมาน”
หลอดลมถูกกระชากอย่างแรงจนฉีกออกจากกัน ซาคาโมโตะดึงส่วนหนึ่งให้โผล่ออกมาจากลำคอของคาวาเบะก่อนปล่อยร่างที่กำลังสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวดร่วงลงไปกองกับพื้น เจ้าคนโฉดนอนชักดิ้นชักคออย่างน่าอนาถ พลันหน้ากากแห่งความริษยาก็ปรากฏขึ้น ซาคาโมโตะจ้องมันด้วยดวงตาเยียบเย็นก่อนพูด
“ข้าจะขยี้โอโรจิให้พินาศ หากเจ้ายังไม่เลิกยุ่งกับฟุบุกิ”
ดวงตาของหน้ากากจ้องชายหนุ่มเขม็ง ปากสีแดงน่าเกลียดแสยะยิ้มกว้างก่อนที่มันจะสลายเป็นผงและถูกสายลมเป่าหายไป นั่นทำให้ซาคาโมโตะรู้ว่าคาราสุเฮบิปฏิเสธและไม่สนคำเตือน เขาจึงลดตาลง มองสภาพอันน่าทุเรศของคาวาเบะแวบหนึ่งก่อนหมุนตัวเดินไปหาทาคุ ยังไม่ทันถึงตัวฟุรุคาวะซึ่งทาคุยืนรออยู่แล้วก็โผเข้ากอดทันที ซาคาโมโตะจึงรีบปลดเสื้อตัวนอกคลุมร่างเปลือยเปล่าเพื่อให้คลายความตระหนกในขณะเดียวกันก็เพื่อลดอาการตื่นเต้นของตัวเอง
“ไรโชมารุ” ฟุรุคาวะพูดและเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าขรึมดุแต่สง่างามของชายหนุ่ม “ในที่สุดฉันก็นึกชื่อนายออก”
สองแขนโอบกอดอีกฝ่ายแน่นพลางซบหน้ากับแผ่นอกกว้าง ซาคาโมโตะกอดตอบและก้มลงจุมพิตเรือนผมนุ่มอย่างโหยหา ทั้งที่ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจว่าคำพูดที่ได้ยินเป็นของใคร ฟูจินหรือฟุรุคาวะ แต่จะสนไปทำไมในเมื่อทั้งสองคือคนเดียวกัน
“เจ้ากลับมาแล้ว” เขากระซิบบอกพร้อมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น บรรยากาศคงหวานซึ้งมากกว่านี้หากทาคุซึ่งทนรำคาญเสียงร้องโอดโอยของคนโฉดกลับสะอิดสะเอียนกลิ่นเหม็นของเลือดไม่ไหวไม่เอ่ยปากพูด
“กลับไปกอดกันต่อที่บ้านเถอะ”
ลมเย็นพัดกระโชกผ่านตัวไปวูบหนึ่ง พอผละจากอกของชายหนุ่ม ฟุรุคาวะจึงพบตัวเวลานี้เขากำลังยืนอยู่ในห้อง ภายในอพาร์ทเม้นท์ของตัวเอง เด็กหนุ่มมองซาคาโมโตะซึ่งตอนนี้อยู่ในร่างของมนุษย์แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรจู่ๆขาทั้งสองข้างก็หมดแรงจนทรงกายเอาไว้ไม่ไหว ร่างผอมบางทรุดลงโชคดีที่ซาคาโมโตะประคองเอาไว้ทัน เขาจึงอุ้มร่างเปลือยเปล่านั้นกลับไปนอนที่เตียง พอดึงผ้าขึ้นมาคลุมเด็กหนุ่มก็รีบพูดอย่างอายๆ
“ขอโทษ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆพร้อมกับถอนหายใจออกมา
“ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายพูดคำนั้น” เขาพูดพลางแตะใบหน้าบวมช้ำของฟุรุคาวะ หัวใจเจ็บแปลบด้วยความสำนึกผิด เพราะความพลั้งเผลอเพียงแค่ไม่กี่วินาทีทำให้คนที่เขารักมากที่สุดถูกจับและโดนทำร้าย ยิ่งคิดได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นถ้าเขากับทาคุไปช้ากว่านี้ ความแค้นก็ถาโถมเข้ามาในร่าง หากเป็นไปได้เขาอยากย้อนกลับไปที่โกดังร้างนั่นอีกครั้ง จับคาวาเบะถลกหนัง เชือดเนื้อออกเป็นริ้วๆให้เจ้าคนชั่วได้รับความทรมานจนกว่ามันจะตาย
“ขอโทษนะ”