บทที่ 1-2
http://ppantip.com/topic/34581823
บทที่ 3 นาทีระทึก !
เสียงของฟุรุคาวะดังลงไปถึงชั้นล่างและเงียบหายไปเมื่อมือหยาบหนาของคาวาเบะบีบปากเอาไว้ จากนั้นก็หันไปสั่งลูกน้อง
“หาอะไรมาปิดปากมันที”
สมุนคนหนึ่งควักผ้าเข็ดหน้าผืนโตออกมา พอผูกปากเรียบร้อยคาวาเบะก็ก้มลงไปกรอกคำพูดเข้าหูฟุรุคาวะ
“แย่จังที่ต้องทำแบบนี้ ทั้งที่ฉันอยากได้ยินเสียงครางของนายแท้ๆ”
เด็กหนุ่มทำเสียงอึกอักและพยายามดิ้นอีกครั้ง อันธพาลประจำโรงเรียนจึงออกคำสั่ง
“จับมันให้แน่นๆ” มือทั้งสองลูบไล้สะโพกขาวอย่างย่ามใจขณะที่เจ้าตัวแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยท่าทางหิวกระหาย “ฉันจะเริ่มละนะ”
พูดจบคาวาเบะก็ปลดเข็มขัด รูดซิปกางเกงและขยับเข้าไปบดเบียดหมายล่วงเกิน แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ ประตูห้องก็ถูกเลื่อนให้เปิดเสียงดังโครม
“เฮ้ย!”
ทั้งสี่อุทานออกมาพร้อมกัน และหันไปจ้องคนที่กำลังก้าวเข้ามาเป็นตาเดียว พอเห็นว่าเป็นใครทุกคนก็ร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ซาคาโมโตะ เคียวยะ!”
“เออ” เขาพูดสั้นๆและพลางใช้สายตามองไล่ไปทีละคน แม้สีหน้าจะดูสงบเยือกเย็นแต่ดวงตากลับทอแสงวาวโรจน์เหมือนเจ้าตัวกำลังเดือดดาล “เย็นป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน”
“ฉันต่างหากที่ควรจะถามแบบนั้น” อันธพาลประจำโรงเรียนพูดและรูปซิปกางเกงไปพร้อมกัน “เลิกเรียนไปตั้งนานแล้ว คุณหนูอย่างนายยังมาเดินลอยชายหาสวรรค์วิมานอะไร”
คิ้วเข้มของซาคาโมโตะเลิกขึ้นเล็กน้อย เพราะขณะที่คาวาเบะพูด สมุนของเขาก็เริ่มตีวงล้อมกรอบเข้ามาด้วยสีหน้าที่พร้อมจะลงมือทันทีที่ได้รับคำสั่ง เขาตวัดสายตามองไปทางฟุรุคาวะแวบหนึ่งก่อนเลื่อนกลับมาที่หัวโจกตัวร้าย
“ฉันชอบขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้าเพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกดิน” ดวงตาคมเข้มหรี่ลงอย่างมาดร้าย “แต่ไม่คิดเลยว่าจะเจอพวกแมลงสาบ”
“ว่าไงนะ!” คาวาเบะคำรามลั่น “แกกล้าว่าพวกฉันเป็นแมลงสาบเลยเหรอ”
“ฉันไม่ได้เจาะจงไปที่ใคร” ซาคาโมโตะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่ตากลับจ้องเขม็งอยู่ที่คนตรงหน้า คาวาเบะกำหมัดแน่น หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาจ้องอีกฝ่ายอย่างชิงชังก่อนจะเหยียดยิ้ม
“ถึงจะเป็นพวกซาคาโมโตะ แต่ตอนนี้แกอยู่คนเดียว”
พูดจบสมุนทั้งหมดก็กรูเข้าไปพร้อมกัน แต่ต้องอ้าปากค้างเมื่อซาคาโมโตะหลบด้วยการกระโดดหมุนตัวตีลังกาขึ้นไปยืนอยู่บนโต๊ะ
“ทำได้ยังไงกันน่ะ” คนหนึ่งหลุดปากถาม ขณะที่อีกสามคนยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก คาวาเบะจึงตะโกนลั่น
“มัวยืนเซ่ออะไรอยู่ รีบจัดการมันเร็ว”
นั่นเองที่ทำให้สามคนได้สติ พวกเขาคว้าเก้าอี้วิ่งเข้าไปหมายจะใช้มันฟาดคนที่ยืนอยู่บนโต๊ะแต่พลาดเพราะซาคาโมโตะกระโดดข้ามหัวลงมาและเตะก้านคอลูกกระจ๊อกสองคนอย่างรวดเร็ว พวกเขาร่วงลงไปกองกับพื้น ส่วนอีกหนึ่งที่เหลือยืนตกตะลึงตาค้าง
“ไง” ชายหนุ่มพูดก่อนตวัดขาฟาดเข้าที่ใบหน้าอย่างจังจนเจ้านั่นปลิวไปกระแทกกับกระดานดำหน้าห้องและนอนแน่นิ่งไป พอจัดการสมุนทั้งสามแล้ว ซาคาโมโตะจึงหันไปทางหัวโจกที่กำลังยืนตัวสั่นกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
“แก!” คาวาเบะคำรามพลางมองลูกน้องของตัวเองที่นอนระเนระนาดอย่างแค้นใจ อีกฝ่ายมองเขาอย่างใจเย็น
“ว่าไง” ซาคาโมโตะพูดพร้อมกับกวักมือเรียก “อยากจัดการฉันไม่ใช่เหรอจะมัวรออะไรอยู่ เข้ามาเลยสิ”
คาวาเบะบดกรามแน่น เขาทั้งโกรธและแค้นจนอยากจะฉีกคนตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้นแต่พอเห็นฝีมือการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าแล้ว เขาจำต้องยั้งใจเอาไว้เพราะรู้ดีว่าแค่กำปั้นกับจำนวนคนเพียงแค่นี้ไม่มีทางล้มซาคาโมโตะ เคียวยะได้แน่
คิดทบทวนอยู่หลายตลบ ในที่สุดหัวโจกตัวร้ายก็ตัดสินใจคว้าเก้าอี้ขึ้นมาทุ่มเข้าใส่ซาคาโมโตะเต็มแรง พออีกฝ่ายยกมือขึ้นป้อง เขาก็ฉวยโอกาสพุ่งไปที่ประตู จากนั้นก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
ซาคาโมโตะมองคนหนีแต่ไม่ได้สนใจไล่ตาม เขากวาดตามองลูกสมุนของคาวาเบะที่ยังคงนอนหมดสติด้วยความสมเพชก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังฟุรุคาวะซึ่งตอนนี้ถอยไปยืนตรงมุมห้อง ถึงจะพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า แต่มือสั่นเทาขณะจัดเสื้อผ้าให้เข้ารูปทำให้รู้ว่า เขาทั้งตกใจและหวาดกลัว
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบปราศจากอารมณ์ แต่ดวงตากลับฉายความเป็นห่วงออกมาจางๆ
ฟุรุคาวะเม้มปากน้อยๆก่อนจะส่ายหน้า
“ฉันไม่เป็นไร”
เสียงสั่นตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด ซาคาโมโตะจึงเดินเข้าไปหาและยื่นมือออกไปหมายตรวจดูอาการ แต่เด็กหนุ่มกลับสะดุ้งถอยไปจนชิดกำแพง
“จะทำอะไรน่ะ” เขาถามเสียงดัง มือกุมเสื้อตัวเองแน่น อีกฝ่ายนิ่วหน้า
“ก็แค่จะดูว่ามีแผลตรงไหนบ้าง”
“ก็บอกไปแล้วไงว่าฉันไม่เป็นไร” ฟุรุคาวะพูดพร้อมกับปัดมืออีกฝ่ายออกไปและเตรียมเดินหนี แต่พอขยับตัวเท่านั้นเขาก็ทรุดฮวบลง โชคดีที่ซาคาโมโตะคว้าเอาไว้ได้ทัน
“เฮ้ย!” เขาร้องด้วยความตระหนกและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อพบคนในอ้อมแขนกำลังสั่นไปทั้งตัว
“เฮ้ เป็นอะไรมากไหม เดินไหวหรือเปล่า” ชายหนุ่มถาม อีกฝ่ายขมวดคิ้วอย่างขัดใจ
“ฉันไม่เป็นอะไร” กระแทกน้ำเสียงอย่างฉุนเฉียวพร้อมกับผลักอีกฝ่ายออกในขณะเดียวกันก็ดันตัวให้ลุกขึ้น แต่ขาทั้งสองข้างกลับอ่อนปวกเปียกทำให้ล้มลงอีกครั้ง “บ้าเอ๊ย!”
ฟุรุคาวะหลุดปากออกมาด้วยความเจ็บใจ เพราะไม่ต้องการให้นักเรียนใหม่อย่างซาคาโมโตะ เคียวยะเห็นว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้กลัวเจ้าหัวโจกประจำโรงเรียนเท่าใดนัก แต่ที่ไม่มีแรงก็เนื่องมาจากความตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประกอบกับอาการมึนจากฤทธิ์ฝ่ามือของคาวาเบะมากกว่า
“ฉันรู้ว่าไม่อยากให้ใครช่วย แต่สภาพแบบนี้นายกลับบ้านเองไม่ไหวหรอก” ซาคาโมโตะพูดพร้อมกับยื่นมือเข้าไปหา ฟุรุคาวะขยับตัวหนีอย่างระแวง ตอนแรกก็คิดว่าอีกฝ่ายตั้งแง่แต่พอเห็นสีหน้าของคนเจ็บแล้ว เขาก็ยิ้ม “ฉันไม่อุ้มนายหรอกน่า แค่ประคองไปที่รถเท่านั้น”
พอได้ยินแบบนั้น ฟุรุคาวะจึงยอมให้พยุงโดยดี เพราะคิดว่าเขาหมายถึงสถานีรถไฟ แต่พอถูกพาไปยังรถยนต์สีขาวซึ่งจอดรออยู่หน้าโรงเรียน เด็กหนุ่มก็หยุดไม่ยอมเดินตามแถมยังขืนตัวและพยายามผลักคนช่วยออกอย่างแรง
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่” ที่ถามออกไปแบบนั้นเพราะหมู่นี้ข่าวเรื่องนักเรียนหนุ่มถูกพาไปสังเวยพวกนักเลงอันธพาลหรือยากูซ่าที่มีรสนิยมแปลกประหลาดแพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้ฟุรุคาวะไม่ไว้ใจพฤติกรรมของซาคาโมโตะเท่าใดนัก ยิ่งคิดได้ว่า หมอนี่เองก็เป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพล บางทีเรื่องที่คาวาเบะทำในวันนี้ อาจเป็นแผนที่ต้องการพาตัวเขาไปสังเวยเกย์แก่ๆก็เป็นได้
ดูเหมือนซาคาโมโตะจะไม่ค่อยเข้าใจความระแวงของฟุรุคาวะมากนัก เพราะเขาตอบกลับมาแบบซื่อๆ“พานายไปส่งบ้าน”
“ฉันกลับเองได้” ไม่พูดเปล่ายังสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากมือของอีกฝ่าย เมื่อไม่สำเร็จ เด็กหนุ่มจึง
พูดเสียงเข้มขึ้น “ปล่อยนะ”
ซาคาโมโตะคลายมือออกแต่โดยดี ทำให้ฟุรุคาวะซึ่งยังไม่ทันได้ตั้งตัวล้มทั้งยืน
“ทำอะไรของนายน่ะ” ฟุรุคาวะพูดด้วยความโกรธพร้อมกับดันตัวให้ลุกขึ้น แต่อาการมึนจากฤทธิ์หมัดของคาวาเบะทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่ถนัดนัก ผลสุดท้ายเลยต้องนั่งอยู่กับที่ ส่วนซาคาโมโตะยืนกอดอกมองด้วยใบหน้าที่เฉยชา
“นายบอกให้ปล่อย”
“มันก็ใช่ แต่ก็น่าจะรอให้ฉันตั้งตัวก่อน” คนตัวเล็กกว่าพูดด้วยใบหน้าเข้มพร้อมกับลุกขึ้นอีกครั้ง แม้จะยืนได้แต่ก็ยังโซเซไปมาและคงจะล้มลงไปอีกถ้าซาคาโมโตะไม่ยื่นมือไปประคอง
“ดื้อไม่เคยเปลี่ยน” เขาพูดเบาๆ อีกฝ่ายขมวดคิ้วและหันไปมองหน้า
“พูดเรื่องอะไรของนาย”
ซาคาโมโตะมองฟุรุคาวะด้วยสายตาที่เหมือนจะฉายความโหยหาอย่างลึกซึ้งออกมา แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น เพราะเขายักไหล่อย่างไม่สนใจ
“ช่างเถอะ” พูดพลางพยุงอีกฝ่ายไปที่รถ ฟุรุคาวะพยายามฝืนตัวและทำท่าจะปฏิเสธแต่คนขับซึ่งเป็นชายหนุ่มที่น่าจะอยู่ในวัยใกล้เคียงกับทั้งคู่เปิดกระจกรถพร้อมกับชะโงกหน้าออกมาถาม
“มัวทำอะไรกันอยู่ ฉันหิวข้าวแล้วนะ”
เสียงทุ้มกล่าวห้วนๆ ซาคาโมโตะมองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน
“คิดเป็นอยู่เรื่องเดียวหรือยังไง”
“ก็มันเย็นแล้วนี่หว่าครับคุณชาย” สารถีโต้กลับมาด้วยท่าทางกวนประสาทก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังฟุรุคาวะ “เห็นสั่งให้วกกลับมาไอ้เราก็นึกว่าลืมของ ที่แท้ก็มารับเพื่อนนี่เอง”
พลขับจอมกวนตั้งใจจะหยอกให้มากกว่านั้นแต่พอเห็นรอยช้ำบนแก้มกับสีหน้าตระหนกของเด็กหนุ่มแล้ว เขาก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น พอเห็นฟุรุคาวะยืนนิ่งไม่ยอมขยับ เขาก็คลี่ยิ้ม “ถ้ามันลำบากมากนัก อุ้มเสียก็สิ้นเรื่อง”
“นั่นสินะ” ซาคาโมโตะคล้อยตามอย่างว่าง่ายและช้อนร่างของอีกฝ่ายในทันที ฟุรุคาวะถึงกับเบิกตาโพลง
“วางฉันลงเดี๋ยวนี้นะเจ้าบ้า!” ไม่พูดเปล่าแถมยังรัวกำปั้นทุบอกคนอุ้มเสียงดังตุบตับ แต่ดูเหมือนซาคาโมโตะจะไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด เพราะเขายังคงเดินเรื่อยๆ ตรงไปที่รถ ข้างฟุรุคาวะพอแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ยอมวางตัวเองลงง่ายๆ เลยงัดแผนสุดท้ายขึ้นมาขู่ “ถ้าไม่ปล่อยฉันจะร้องให้คนช่วย”
“เอาเลยสิ คนอื่นจะได้รู้ว่านายเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน” ซาคาโมโตะพูดยั่วด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย และอมยิ้มเมื่อคนอ้อมแขนโกรธจนหน้าแดง “ใจเย็นน่า ก็แค่นั่งรถกลับบ้านเท่านั้น ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
“แต่ฉันไม่ชอบให้ใครไปบ้าน”
“งั้นก็ส่งแค่บันได” ซาคาโมโตะต่อรอง พลางมองแก้มที่มีรอยช้ำ “ยังไงฉันก็ไม่ยอมปล่อยให้คนเจ็บต้องกลับบ้านตามลำพังหรอก”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“แน่ใจหรือ”
ถามพร้อมกับวางฟุรุคาวะไว้ที่เบาะหลังและฉวยโอกาสแตะแก้มเบาๆ เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว
“เจ็บนะ”
“ไหนบอกว่าไม่เป็นไร” ซาคาโมโตะพูดเสียงเย็นและมุดตัวตามเข้าไป พอนั่งเรียบร้อยก็ออกคำสั่ง “ออกรถได้”
“จะให้ไปไหนล่ะ” คนขับจอมกวนถาม คนเป็นนายนิ่วหน้าและขยับมือไปมาเหมือนอยากจะเขกกะโหลกเขาเต็มแก่แต่กลับเปลี่ยนใจหันไปถามคนตัวเล็กที่นั่งข้างตัว
“บ้านนายอยู่ไหน”
สายใยรักจิ้งจอกพันปี บทที่ 3 นาทีระทึก!
http://ppantip.com/topic/34581823
บทที่ 3 นาทีระทึก !
เสียงของฟุรุคาวะดังลงไปถึงชั้นล่างและเงียบหายไปเมื่อมือหยาบหนาของคาวาเบะบีบปากเอาไว้ จากนั้นก็หันไปสั่งลูกน้อง
“หาอะไรมาปิดปากมันที”
สมุนคนหนึ่งควักผ้าเข็ดหน้าผืนโตออกมา พอผูกปากเรียบร้อยคาวาเบะก็ก้มลงไปกรอกคำพูดเข้าหูฟุรุคาวะ
“แย่จังที่ต้องทำแบบนี้ ทั้งที่ฉันอยากได้ยินเสียงครางของนายแท้ๆ”
เด็กหนุ่มทำเสียงอึกอักและพยายามดิ้นอีกครั้ง อันธพาลประจำโรงเรียนจึงออกคำสั่ง
“จับมันให้แน่นๆ” มือทั้งสองลูบไล้สะโพกขาวอย่างย่ามใจขณะที่เจ้าตัวแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยท่าทางหิวกระหาย “ฉันจะเริ่มละนะ”
พูดจบคาวาเบะก็ปลดเข็มขัด รูดซิปกางเกงและขยับเข้าไปบดเบียดหมายล่วงเกิน แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ ประตูห้องก็ถูกเลื่อนให้เปิดเสียงดังโครม
“เฮ้ย!”
ทั้งสี่อุทานออกมาพร้อมกัน และหันไปจ้องคนที่กำลังก้าวเข้ามาเป็นตาเดียว พอเห็นว่าเป็นใครทุกคนก็ร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ซาคาโมโตะ เคียวยะ!”
“เออ” เขาพูดสั้นๆและพลางใช้สายตามองไล่ไปทีละคน แม้สีหน้าจะดูสงบเยือกเย็นแต่ดวงตากลับทอแสงวาวโรจน์เหมือนเจ้าตัวกำลังเดือดดาล “เย็นป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน”
“ฉันต่างหากที่ควรจะถามแบบนั้น” อันธพาลประจำโรงเรียนพูดและรูปซิปกางเกงไปพร้อมกัน “เลิกเรียนไปตั้งนานแล้ว คุณหนูอย่างนายยังมาเดินลอยชายหาสวรรค์วิมานอะไร”
คิ้วเข้มของซาคาโมโตะเลิกขึ้นเล็กน้อย เพราะขณะที่คาวาเบะพูด สมุนของเขาก็เริ่มตีวงล้อมกรอบเข้ามาด้วยสีหน้าที่พร้อมจะลงมือทันทีที่ได้รับคำสั่ง เขาตวัดสายตามองไปทางฟุรุคาวะแวบหนึ่งก่อนเลื่อนกลับมาที่หัวโจกตัวร้าย
“ฉันชอบขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้าเพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกดิน” ดวงตาคมเข้มหรี่ลงอย่างมาดร้าย “แต่ไม่คิดเลยว่าจะเจอพวกแมลงสาบ”
“ว่าไงนะ!” คาวาเบะคำรามลั่น “แกกล้าว่าพวกฉันเป็นแมลงสาบเลยเหรอ”
“ฉันไม่ได้เจาะจงไปที่ใคร” ซาคาโมโตะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่ตากลับจ้องเขม็งอยู่ที่คนตรงหน้า คาวาเบะกำหมัดแน่น หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาจ้องอีกฝ่ายอย่างชิงชังก่อนจะเหยียดยิ้ม
“ถึงจะเป็นพวกซาคาโมโตะ แต่ตอนนี้แกอยู่คนเดียว”
พูดจบสมุนทั้งหมดก็กรูเข้าไปพร้อมกัน แต่ต้องอ้าปากค้างเมื่อซาคาโมโตะหลบด้วยการกระโดดหมุนตัวตีลังกาขึ้นไปยืนอยู่บนโต๊ะ
“ทำได้ยังไงกันน่ะ” คนหนึ่งหลุดปากถาม ขณะที่อีกสามคนยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก คาวาเบะจึงตะโกนลั่น
“มัวยืนเซ่ออะไรอยู่ รีบจัดการมันเร็ว”
นั่นเองที่ทำให้สามคนได้สติ พวกเขาคว้าเก้าอี้วิ่งเข้าไปหมายจะใช้มันฟาดคนที่ยืนอยู่บนโต๊ะแต่พลาดเพราะซาคาโมโตะกระโดดข้ามหัวลงมาและเตะก้านคอลูกกระจ๊อกสองคนอย่างรวดเร็ว พวกเขาร่วงลงไปกองกับพื้น ส่วนอีกหนึ่งที่เหลือยืนตกตะลึงตาค้าง
“ไง” ชายหนุ่มพูดก่อนตวัดขาฟาดเข้าที่ใบหน้าอย่างจังจนเจ้านั่นปลิวไปกระแทกกับกระดานดำหน้าห้องและนอนแน่นิ่งไป พอจัดการสมุนทั้งสามแล้ว ซาคาโมโตะจึงหันไปทางหัวโจกที่กำลังยืนตัวสั่นกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
“แก!” คาวาเบะคำรามพลางมองลูกน้องของตัวเองที่นอนระเนระนาดอย่างแค้นใจ อีกฝ่ายมองเขาอย่างใจเย็น
“ว่าไง” ซาคาโมโตะพูดพร้อมกับกวักมือเรียก “อยากจัดการฉันไม่ใช่เหรอจะมัวรออะไรอยู่ เข้ามาเลยสิ”
คาวาเบะบดกรามแน่น เขาทั้งโกรธและแค้นจนอยากจะฉีกคนตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้นแต่พอเห็นฝีมือการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าแล้ว เขาจำต้องยั้งใจเอาไว้เพราะรู้ดีว่าแค่กำปั้นกับจำนวนคนเพียงแค่นี้ไม่มีทางล้มซาคาโมโตะ เคียวยะได้แน่
คิดทบทวนอยู่หลายตลบ ในที่สุดหัวโจกตัวร้ายก็ตัดสินใจคว้าเก้าอี้ขึ้นมาทุ่มเข้าใส่ซาคาโมโตะเต็มแรง พออีกฝ่ายยกมือขึ้นป้อง เขาก็ฉวยโอกาสพุ่งไปที่ประตู จากนั้นก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
ซาคาโมโตะมองคนหนีแต่ไม่ได้สนใจไล่ตาม เขากวาดตามองลูกสมุนของคาวาเบะที่ยังคงนอนหมดสติด้วยความสมเพชก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังฟุรุคาวะซึ่งตอนนี้ถอยไปยืนตรงมุมห้อง ถึงจะพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า แต่มือสั่นเทาขณะจัดเสื้อผ้าให้เข้ารูปทำให้รู้ว่า เขาทั้งตกใจและหวาดกลัว
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบปราศจากอารมณ์ แต่ดวงตากลับฉายความเป็นห่วงออกมาจางๆ
ฟุรุคาวะเม้มปากน้อยๆก่อนจะส่ายหน้า
“ฉันไม่เป็นไร”
เสียงสั่นตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด ซาคาโมโตะจึงเดินเข้าไปหาและยื่นมือออกไปหมายตรวจดูอาการ แต่เด็กหนุ่มกลับสะดุ้งถอยไปจนชิดกำแพง
“จะทำอะไรน่ะ” เขาถามเสียงดัง มือกุมเสื้อตัวเองแน่น อีกฝ่ายนิ่วหน้า
“ก็แค่จะดูว่ามีแผลตรงไหนบ้าง”
“ก็บอกไปแล้วไงว่าฉันไม่เป็นไร” ฟุรุคาวะพูดพร้อมกับปัดมืออีกฝ่ายออกไปและเตรียมเดินหนี แต่พอขยับตัวเท่านั้นเขาก็ทรุดฮวบลง โชคดีที่ซาคาโมโตะคว้าเอาไว้ได้ทัน
“เฮ้ย!” เขาร้องด้วยความตระหนกและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อพบคนในอ้อมแขนกำลังสั่นไปทั้งตัว
“เฮ้ เป็นอะไรมากไหม เดินไหวหรือเปล่า” ชายหนุ่มถาม อีกฝ่ายขมวดคิ้วอย่างขัดใจ
“ฉันไม่เป็นอะไร” กระแทกน้ำเสียงอย่างฉุนเฉียวพร้อมกับผลักอีกฝ่ายออกในขณะเดียวกันก็ดันตัวให้ลุกขึ้น แต่ขาทั้งสองข้างกลับอ่อนปวกเปียกทำให้ล้มลงอีกครั้ง “บ้าเอ๊ย!”
ฟุรุคาวะหลุดปากออกมาด้วยความเจ็บใจ เพราะไม่ต้องการให้นักเรียนใหม่อย่างซาคาโมโตะ เคียวยะเห็นว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้กลัวเจ้าหัวโจกประจำโรงเรียนเท่าใดนัก แต่ที่ไม่มีแรงก็เนื่องมาจากความตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประกอบกับอาการมึนจากฤทธิ์ฝ่ามือของคาวาเบะมากกว่า
“ฉันรู้ว่าไม่อยากให้ใครช่วย แต่สภาพแบบนี้นายกลับบ้านเองไม่ไหวหรอก” ซาคาโมโตะพูดพร้อมกับยื่นมือเข้าไปหา ฟุรุคาวะขยับตัวหนีอย่างระแวง ตอนแรกก็คิดว่าอีกฝ่ายตั้งแง่แต่พอเห็นสีหน้าของคนเจ็บแล้ว เขาก็ยิ้ม “ฉันไม่อุ้มนายหรอกน่า แค่ประคองไปที่รถเท่านั้น”
พอได้ยินแบบนั้น ฟุรุคาวะจึงยอมให้พยุงโดยดี เพราะคิดว่าเขาหมายถึงสถานีรถไฟ แต่พอถูกพาไปยังรถยนต์สีขาวซึ่งจอดรออยู่หน้าโรงเรียน เด็กหนุ่มก็หยุดไม่ยอมเดินตามแถมยังขืนตัวและพยายามผลักคนช่วยออกอย่างแรง
“นายคิดจะทำอะไรกันแน่” ที่ถามออกไปแบบนั้นเพราะหมู่นี้ข่าวเรื่องนักเรียนหนุ่มถูกพาไปสังเวยพวกนักเลงอันธพาลหรือยากูซ่าที่มีรสนิยมแปลกประหลาดแพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้ฟุรุคาวะไม่ไว้ใจพฤติกรรมของซาคาโมโตะเท่าใดนัก ยิ่งคิดได้ว่า หมอนี่เองก็เป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพล บางทีเรื่องที่คาวาเบะทำในวันนี้ อาจเป็นแผนที่ต้องการพาตัวเขาไปสังเวยเกย์แก่ๆก็เป็นได้
ดูเหมือนซาคาโมโตะจะไม่ค่อยเข้าใจความระแวงของฟุรุคาวะมากนัก เพราะเขาตอบกลับมาแบบซื่อๆ“พานายไปส่งบ้าน”
“ฉันกลับเองได้” ไม่พูดเปล่ายังสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากมือของอีกฝ่าย เมื่อไม่สำเร็จ เด็กหนุ่มจึง
พูดเสียงเข้มขึ้น “ปล่อยนะ”
ซาคาโมโตะคลายมือออกแต่โดยดี ทำให้ฟุรุคาวะซึ่งยังไม่ทันได้ตั้งตัวล้มทั้งยืน
“ทำอะไรของนายน่ะ” ฟุรุคาวะพูดด้วยความโกรธพร้อมกับดันตัวให้ลุกขึ้น แต่อาการมึนจากฤทธิ์หมัดของคาวาเบะทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่ถนัดนัก ผลสุดท้ายเลยต้องนั่งอยู่กับที่ ส่วนซาคาโมโตะยืนกอดอกมองด้วยใบหน้าที่เฉยชา
“นายบอกให้ปล่อย”
“มันก็ใช่ แต่ก็น่าจะรอให้ฉันตั้งตัวก่อน” คนตัวเล็กกว่าพูดด้วยใบหน้าเข้มพร้อมกับลุกขึ้นอีกครั้ง แม้จะยืนได้แต่ก็ยังโซเซไปมาและคงจะล้มลงไปอีกถ้าซาคาโมโตะไม่ยื่นมือไปประคอง
“ดื้อไม่เคยเปลี่ยน” เขาพูดเบาๆ อีกฝ่ายขมวดคิ้วและหันไปมองหน้า
“พูดเรื่องอะไรของนาย”
ซาคาโมโตะมองฟุรุคาวะด้วยสายตาที่เหมือนจะฉายความโหยหาอย่างลึกซึ้งออกมา แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น เพราะเขายักไหล่อย่างไม่สนใจ
“ช่างเถอะ” พูดพลางพยุงอีกฝ่ายไปที่รถ ฟุรุคาวะพยายามฝืนตัวและทำท่าจะปฏิเสธแต่คนขับซึ่งเป็นชายหนุ่มที่น่าจะอยู่ในวัยใกล้เคียงกับทั้งคู่เปิดกระจกรถพร้อมกับชะโงกหน้าออกมาถาม
“มัวทำอะไรกันอยู่ ฉันหิวข้าวแล้วนะ”
เสียงทุ้มกล่าวห้วนๆ ซาคาโมโตะมองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน
“คิดเป็นอยู่เรื่องเดียวหรือยังไง”
“ก็มันเย็นแล้วนี่หว่าครับคุณชาย” สารถีโต้กลับมาด้วยท่าทางกวนประสาทก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังฟุรุคาวะ “เห็นสั่งให้วกกลับมาไอ้เราก็นึกว่าลืมของ ที่แท้ก็มารับเพื่อนนี่เอง”
พลขับจอมกวนตั้งใจจะหยอกให้มากกว่านั้นแต่พอเห็นรอยช้ำบนแก้มกับสีหน้าตระหนกของเด็กหนุ่มแล้ว เขาก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น พอเห็นฟุรุคาวะยืนนิ่งไม่ยอมขยับ เขาก็คลี่ยิ้ม “ถ้ามันลำบากมากนัก อุ้มเสียก็สิ้นเรื่อง”
“นั่นสินะ” ซาคาโมโตะคล้อยตามอย่างว่าง่ายและช้อนร่างของอีกฝ่ายในทันที ฟุรุคาวะถึงกับเบิกตาโพลง
“วางฉันลงเดี๋ยวนี้นะเจ้าบ้า!” ไม่พูดเปล่าแถมยังรัวกำปั้นทุบอกคนอุ้มเสียงดังตุบตับ แต่ดูเหมือนซาคาโมโตะจะไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด เพราะเขายังคงเดินเรื่อยๆ ตรงไปที่รถ ข้างฟุรุคาวะพอแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ยอมวางตัวเองลงง่ายๆ เลยงัดแผนสุดท้ายขึ้นมาขู่ “ถ้าไม่ปล่อยฉันจะร้องให้คนช่วย”
“เอาเลยสิ คนอื่นจะได้รู้ว่านายเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน” ซาคาโมโตะพูดยั่วด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย และอมยิ้มเมื่อคนอ้อมแขนโกรธจนหน้าแดง “ใจเย็นน่า ก็แค่นั่งรถกลับบ้านเท่านั้น ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
“แต่ฉันไม่ชอบให้ใครไปบ้าน”
“งั้นก็ส่งแค่บันได” ซาคาโมโตะต่อรอง พลางมองแก้มที่มีรอยช้ำ “ยังไงฉันก็ไม่ยอมปล่อยให้คนเจ็บต้องกลับบ้านตามลำพังหรอก”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“แน่ใจหรือ”
ถามพร้อมกับวางฟุรุคาวะไว้ที่เบาะหลังและฉวยโอกาสแตะแก้มเบาๆ เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว
“เจ็บนะ”
“ไหนบอกว่าไม่เป็นไร” ซาคาโมโตะพูดเสียงเย็นและมุดตัวตามเข้าไป พอนั่งเรียบร้อยก็ออกคำสั่ง “ออกรถได้”
“จะให้ไปไหนล่ะ” คนขับจอมกวนถาม คนเป็นนายนิ่วหน้าและขยับมือไปมาเหมือนอยากจะเขกกะโหลกเขาเต็มแก่แต่กลับเปลี่ยนใจหันไปถามคนตัวเล็กที่นั่งข้างตัว
“บ้านนายอยู่ไหน”